จิวโมไป๋สูดลมหายใจลึกๆ ตั้งสติ สมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
เขาก็เข้าใจทันที
ไม่น่าแปลกใจเลย หลังจากที่เขาออกจากเขาวงกตโครงกระดูก เขาไม่เคยคิดที่จะสำรวจต่อ
เพราะความทรงจำบางส่วนของเขาถูกผนึกไว้ โดยเฉพาะความทรงจำเกี่ยวกับประตูยักษ์ตรงหน้า ที่หายไปอย่างสิ้นเชิง
ถ้าเขาไม่ลงมาที่นี่เพราะตามหาโครงกระดูกสีเขียว เขาคงไม่ลงมาที่นี่อีก และอาจจะปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ตลอดไป
จิวโมไป๋ถอนหายใจ โชคดีที่เขาตามโครงกระดูกสีเขียวมาที่นี่ ถ้าเขาไม่มา เขาอาจไม่รู้ว่าตัวเองพลาดอะไรไป
จิวโมไป๋เปิดกำไลข้อมือและรีบบันทึกทุกอย่างลงไป เพื่อกันลืม
แม้ว่าความสามารถของประตูยักษ์จะสามารถลบความทรงจำได้ แต่มันคงไม่สามารถลบสิ่งที่บันทึกลงไปในสิ่งของกายภาพได้ แต่เขาไม่ประมาท เขาบันทึกในกำไลข้อมือและยังส่งมันไปยังพื้นที่เก็บข้อมูลของบริษัทเนบิวลา เป็นหลักประกันอีกต่อหนึ่ง
เขามั่นใจว่าไม่มีทางที่ข้อความที่เขาบันทึก จะสูญหายไปอย่างแน่นอน
เมื่อบันทึกทุกอย่างเสร็จ เขาก็เบาใจลง แต่เขาก็นึกบางอย่างได้ เขาตั้งระบบแจ้งเตือน เผื่อว่าความทรงจำของเขาจะสูญหายไป ลืมว่าเคยบันทึกอะไรไปยังพื้นที่เก็บข้อมูล
เมื่อเสร็จแล้ว จิวโมไป๋ก็ละสายตาออกจากประตูยักษ์
เขามองไปรอบๆ ก็พบว่าโครงกระดูกนับแสนนับล้านตัว ในหุบเหวด้านล่างกลายเป็นเศษผงไปหมดแล้ว
แต่ไม่พบร่างของโครงกระดูกสีเขียวเลย
โครงกระดูกสี่เขียวไม่ได้อยู่ที่นี่ มันหายไปไหน หรือว่าออกไปโดยที่เขาไม่รู้ตัว
จิวโมไป๋ยกมือลูบค้าง เป็นไปไม่ได้ที่จะลอบออกไปจากเกาะโดดเดี่ยวโดยไม่มีใครรู้ เพราะเขาได้ตั้งกล้องวงจรปิดทั่วทั้งเกาะ แม้แต่แมลง กล้องวงจรปิดก็สามารถบันทึกภาพเอาไว้ได้
จิวโมไป๋มองไปหน้าผาฝั่งตรงข้าม ก่อนจะตัดสินใจนั่งลงและวางฝ่ามือส้องข้างลงพื้นด้านหน้าหุบเหว แสงสีเขียวสายประกายเจิดจ้า รากไม้นับไม่ถ้วนถักทอกันเป็นบันไดเชือกพุ่งไปข้างหน้า ข้ามหุบเหวไปเกาะที่หน้าผาฝั่งตรงข้าม
จิวโมไป๋ลุกขึ้นและใช้ท่าร่างเคลื่อนตัวไปตามบันได ข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม
ก่อนจะมองไปรอบๆ เขาก็สังเกตเห็นรอยขีดเล็กๆบนพื้นดินข้างหน้า มันบางจนแทบจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้
เหมือนรอยเท้าของโครงกระดูก!
จิวโมไป๋มองไปรอบๆ ก็ไม่พบรอยเท้าอีก
เขาคาดเดาได้ว่าโครงกระดูกสีเขียว จะต้องใช้ท่าร่างที่เบาจนไม่ทิ้งรอยเท้าไว้มาที่นี่ แต่เฉพาะตรงนี้ที่มันต้องกระโดดข้ามหุบเหวมาจากอีกด้าน จึงต้องทิ้งรอยเท้าเอาไว้
เขาจึงมั่นใจแล้วว่าโครงกระดูกสีเขียว ต้องมาที่นี่
แต่ทำไมมันต้องกระโดดมาตรงนี้? ที่นี่ไม่มีอะไรเลย
จิวโมไป๋ยืนครุ่นคิด ก่อนที่จะอ่านรอยเท้า เขาก็เงยหน้าขึ้น เขาก็มองประตูยักษ์
ความทรงจำก็ถูกกระตุ้นอีกครั้ง
“แย่มาก!”สีหน้าของจิวโมไป๋เปลี่ยนไป มือที่กำพลองสีทองกระชับแน่น
เพียงแค่ล่ะสายตา ความทรงจำของเขาเกี่ยวกับประตูยักษ์ก็หายไปทันที
ไม่ใช้แค่นั้น เขายังไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของมันอีกด้วย
ถ้าเขาหาร่องรอยของโครงกระดูกสีเขียวไม่เจอ เขาคงกลับไปโดยไม่รู้ตัว
ดูเหมือนว่าโครงกระดูกสีเขียวจะช่วยเขาอีกครั้ง!
หรือว่ารอยเท้านี้มันจะจงใจทิ้งไว้
จิวโมไป๋อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นยะเยือก
มองประตูยักษ์ด้วยความระมัดระวัง ความรู้สึกที่สูญเสียความทรงจำไปในชั่วอึดใจ มันทำให้เขารู้สึกไม่ดีอย่างมาก
เขาจำได้แล้วว่า หลังจากที่เขาดูดซับเพลิงนิรันดร์ เขาก็จากไปทันทีโดยลืมประตูยักษ์ไปอย่างสิ้นเชิง
เขายืนมองประตูยักษ์ ตาของเขาก็หรี่ ก่อนที่แสงสีทองคำดำจะปรากฏขึ้นที่ดวงตา พร้อมกับลวดลายดอกบัวสีทองจะฉายออกจากรูม่านตา
พลังวิญญาณอันทรงพลังระเบิดออกมาอย่างรุนแรง
เขาเร่งเร้าพลังวิญญาณ มองเข้าไปในประตูยักษ์
แต่ในทันใดนั้นเอง
ประตูยักษ์ก็เปล่งแสงสีเทาเลือนลางไร้ตัวตน กลิ่นอายสยองขวัญแผ่ขยายออกมา ปะทะกับพลังวิญญาณ และบดขยี้มันในพริบตา!
ปัง คลื่นพลังวิญญาณของจิวโมไป๋แตกกระจายออกไป
“อัก”ร่างของจิวโมไป๋กระเด็นกลับไปด้านหลัง กลิ้งตัวไปตามพื้นหลายตลบ เขาพยายามทรงตัว ก่อนจะปักพลองสีทองลงพื้น หยุดการกลิ้งได้สำเร็จ ห่างจากหุบเหวเพียงไม่ถึงครึ่งเมตร
จิวโมไป๋ผยุงตัวยืนขึ้น ดวงตากลับมาปรกติ แต่ตาขาวสองข้างแดงก่ำ เลือดไหลออกมาจากตาขวาช้าๆ ใบหน้าของเขาขาวซีดเผือด ก่อนจะไอออกมาเป็นเลือด
แต่เขาไม่ละสายตาออกจากประตูยักษ์ มือที่สั่นเทา พยายามบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะลืมมันไป
เขามองประตูยักษ์ ด้วยความตกใจ เขารู้แล้วว่าประตูยักษ์ตรงหน้าคืออะไร
มันคือประตูเชื่อมต่อโลกวิญญาณด้านล่าง!
หรือให้เรียกง่ายๆก็คือประตูนรก!
จิวโมไป๋สูดลมหายใจระงับความตกใจ ก่อนจะกลายเป็นเคร่งขรึม เขาไม่คิดเลยว่าด้านล่างของเกาะโดดเดียวจะมีประตูนรกตั้งอยู่
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องย้ายสำนักไปยังที่อื่น เพื่อไม่ให้สำนักถูกทำลายในอนาคต
จิวโมไป่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขาโชคร้ายจริงๆที่เลือกที่นี่ แต่ใครจะคิดว่าประตูนรกจะอยู่ที่นี่