พ่อจิวโมเทียนเดินเข้ามาในบ้านในชุดสูทสีเทาเต็มยศ เขาพึ่งกลับจากการพูดคุยกับร้านตัวแทนจำหน่าย เพื่อจัดกิจกรรม แจกรางวัลกำไลข้อมือ NL 1 รุ่นพิเศษ ในวันปีใหม่
จิวโมไป๋เห็นพ่อกลับมา เขาก็ได้โอกาสสลัดตัวป่วนทั้งสามออกจากร่าง ลุกขึ้นไปช่วยพ่อหยิบกระเป๋าทำงานไปเก็บที่ห้องทำงาน
เมื่อกลับลงมาพ่อก็ถอนชุดสูทออก นั่งบนโซฟาพูดคุยกับแม่และน้องสาวของเขาอย่างมีความสุข
เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมย นั่งทะเลาะกันบนโซฟาอีกด้าน เสี่ยวหงนอนขดตัวบนตักของจิวเสวี่ยเหม่ย
จิวโมไป๋กลับเข้ามานั่งข้างๆจิวเสวี่ยเหม่ย เสี่ยวเหมยยกเท้ายาวๆตบเสี่ยวไป๋จกโซฟาและกระโดดมาบนตักของจิวโมไป๋ มันเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง
เสี่ยวไป๋กระโดดกลับขึ้นมาร้องคำรามขู่ด้วยความไม่พอใจ
ในตอนนั้นเอง แม่บ้านก็นำอาหารมาวางบนโต๊ะเล็กๆตัวยาวหน้าโซฟา
หยุดการทะเลาะวิวาทของตัวยุ่งทั้งสองลง
พวกเขาทานอาหารและพูดคุยกันไป พร้อมกับดูซี่รี่ไปด้วย
ทั้งสี่คนไม่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้ากันมานาน มีเรื่องมากมายให้พูดคุยไม่รู้จบ
บรรยากาศของครอบครัว เต็มไปด้วยความรื่นเริง
เป็นการฉลองของครอบครัวอย่างเรียบง่าย แต่อบอุ่น
วันสิ้นปีใหม่ผ่านไปอย่างเงียบเชียบ
เช้าวันต่อมา
จิวโมไป๋ลุกขึ้นจากการหลับไหล ร่างกายที่โหมทำการวิจัยอย่างหนักติดต่อกันหลาย ได้รับการฟื้นฟูกลับมาเต็มเปี่ยม ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลัง
เขาลุกขึ้นช้าๆ กำไลข้อมือก็สั่นเบาส่งเสียงเตือน เขาก้มลงดู ก็พบข้อความจากคนที่รู้จักหลายข้อความ
รวมถึงเฉินหู ที่ตอนนี้อยู่ที่กองทัพ กองกำลังพิเศษ เฉินหูส่งข้อความมาแสดงความยินดีวันปีใหม่ และบอกสถานการณ์ของตัวเอง เกี่ยวกับการฝึกฝนในกองทัพ เฉินหูไม่ได้บอกอะไรอย่างเจาะจง เพราะเป็นความลับ
เขายังขอจิวโมไป๋ ว่าถ้ามีเวลาช่วยดูแลเย่จื่อปิงด้วย
จิวโมไป๋ตอบข้อความกลับทันที
ก่อนจะตอบข้อความคนอื่นๆ ก่อนที่เขาจะลุกอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย
วันปีใหม่อากาศเย็นลงเล็กน้อย
จิวโมไป๋และครอบครัวทานอาหารเช้า ก่อนจะพากันไปข้างนอก เพื่อเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวรอบๆเมืองเทียนซู
แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวัง เพราะสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ปิดตัวลง
สานที่เหล่านี้ได้รับผลกระทบ จากการตรวจสอบทั่วประเทศ
สถานที่ท่องเที่ยวที่เปิดอยู่ ก็เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก พวกเขาเหล่านี้ไม่สามารถไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่ปิดได้ พวกเขาจึงแห่กันมายังสถานที่ท่องเที่ยวที่เปิดอยู่เพียงไม่กี่แห่งพร้อมๆกัน
ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวแออัดอย่างมาก
จิวโมไป๋และครอบครัวมองจากที่ไกลๆ เห็นหัวคนนับไม่ถ้วนยืนเปียดกันอย่างหนาแน่น
เขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่าถ้ามีคนเป็นลม หมดสติขึ้นมา ด้วยจำนวนคนที่มากมายที่เบียดเสียดขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะพาคนเป็นลมออกมาได้แน่
ทำให้พวกเขาทั้งสี่คนและสามตัวต้องขับรถไปรอบๆเมือง เพื่อหาสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนเบาบาง แต่ทุกสถานที่ท่องเสี่ยวเต็มไปด้วยผู้คน
จิวโมไป๋นิ่งคิดครู่นึ่งก่อนจะตัดสินใจพาครอบครัวไปที่เกาะโดดเดี่ยว
พ่อ แม่และน้องสาวของเขาแปลกใจเล็กน้อย ที่เขาซื้อเกาะส่วนตัว แม้จะเป็นเกาะใจกลางทะเลสาบก็ตาม
ก่อนจะเข้าไป จิวโมไป๋ก็หยิบป้ายไม้แกะสลักมอบให้กับทั้งสามคน เพื่อที่ทั้งสามจะไม่ถูกข่ายอาคมปิดบังสายตาและปิดกั้นพลังงานธรรมชาติในเกาะโดดเดี่ยว
เมื่อพวกเขาผ่านประตูเหล็กด้านหน้าเข้าไป ภายในเกาะโดดเดี่ยวแตกต่างจากภายนอกที่ขาวโพลนอย่างสิ้นเชียง
ภายในเกาะโดดเดียว ต้นไม้ ใบหญ้าพืชสมุนไพรต่างๆยังคงสีเขียว ชอุ่ม ไม่มีหิมะตกอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
อากาศก็อบอุ่น ไม่หนาวเย็น
จิวเสวี่ยเหม่ยวิ่งออกจากรถพร้อมกับเสียวหง
“พ่อ แม่ อากาศที่นี่ดีมากๆ”จิวเสวี่ยเหม่ยวิ่งไปรอบๆ เต็มไปด้วยพลังงานอันล้นเหลือ อย่างมีความสุข แม้ว่าเธอจะเกิดในฤดูหนาว แต่เธอไม่ชอบความหนาวเย็นเลย
ไม่แปลกที่หญิงสาวจะมีความสุขมาก
“ลูก ทำไมที่นี่ถึงไม่หนาวล่ะ”ฮั่วหวูเหยาถามลูกชาย ขณะถอดเสื้อกันหนาวออก
“ที่นี่ได้รับการวางค่ายกลจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำให้ที่นี่มีอากาศอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา”จิวโมไป๋แต่งเรื่อง พูดไร้สาระ
แม่พยักหน้าอย่างไม่แปลกใจ เธอรู้ว่ามีผู้ใช้ค่ายกลอยู่
ตระกูลถังและสำนักผีเสื้อดาราที่เธอรู้จัก เป็นตระกูลและสำนักผู้ใช้ค่ายกลอันดับต้นๆของประเทศมังกร
จิวโมไป๋ตะโกนเรียกจิวเสวี่ยเหม่ย ก่อนจะพาทุกคนไปที่ตั้งของสำนัก
ในตอนนั้นเอง
เงาสีทองก็บินตรงเข้ามาด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ ขนาดของมันค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว
“ระวัง!”จิวโมเทียนที่ยืนอยู่ร้องตะโกนทันที
“ไม่เป็นไรครับพ่อ นั้นคือเสียวจิ้น”จิวโมไป๋พูดขึ้น
ก่อนที่นกอินทรีสีทองขนาดใหญ่ ปีกที่กางออกกว้าง 7 เมตร จะร่อนลงบนพื้น มันร้องเสียงใส มองจิวโมไป๋ด้วยสายตาตัดพ้อ ราวกับว่าเขาทิ้งมันไป
“เสี่ยวจิ้นนายตัวใหญ่ขึ้นนะ”จิวโมไป๋พูดเล่นกับมัน พร้อมกับลูบขนมันเบาๆ
“แกว๊กๆ”เสี่ยวจิ้นร้องอย่างพอใจ
เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยบนไหล่ของจิวโมไป๋ มองมันอย่างไม่พอใจที่ส่งเสียงดัง ก่อนจะกระโดดลง และวิ่งหายลับไปพร้อมกัน พวกมันวิ่งไปทางภูเขาวัดดอกบังทอง
“พี่ชายเสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยหายไปแล้ว”จิวเสวี่ยเหม่ยวิ่งเข้ามาหา
“ไม่เป็นไรที่นี่เป็นอาณาเขตของพวกมัน”จิวโมไป๋พูดด้วยรอยยิ้มไม่ใส่ใจ
จิวเสวี่ยวเหม่ยเบาใจลง ก่อนจะมองเสี่ยวจิ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย เธอก้าวเข้าไปหาและยกมือลูบขนมันเบาๆ อย่างไม่เกรงกลัว
แต่เสี่ยวจิ้น ไม่สนใจหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย สายตาอันแหลมคมของมันจ้องเขม่งไปยังเสี่ยวหง ที่พันรอบไหล่ของจิวเสวี่ยเหม่ยอยู่
เสี่ยวหงก็กำลังจ้องเสี่ยวจิ้นเช่นกัน
สายตาของทั้งสองปะทะกัน โดยไม่มีใครถอนสายตาออก
เผ่าพันธุ์ของพวกมันทั้งสองตัว เป็นศัตรูตามธรรมชาติกัน เมื่อพบกันจะต้องต่อสู้กัน
แต่เพราะพวกมันได้เปิดสติปัญญาแล้ว ทำให้พวกมันไม่ต่อสู้กันตามสัญชาติญาณอีกต่อไป
แต่พวกมันก็ไม่ลดความเป็นศัตรูต่อกันอย่างสิ้นเชิง
จิวโมไป๋อ่านสถานการณ์ออก เขาจึงปลอบพวกมัน ไม่ให้ต่อสู้กัน ก่อนจะพาครอบครัวไปที่สำนัก
ขณะที่พวกเขากำลังเดินๆอยู่ ใบหน้าของจิวโมเทียน ฮั่วหวูเหยาและจิวเสวี่ยเหม่ยค่อยๆแดงขึ้นเรื่อยๆ
“นี่มัน”ฮั่นหวูเหยาเหมือนพบอะไรบางอย่าง เธอหยุดและยกมือซ้ายจับที่แขนขวา เธอรู้สึกว่าผิวของเธอดูมีน้ำมีนวลขึ้นเล็กน้อย จนแทบมองไม่เห็นความแตกต่างจากเดิม
จิวโมเทียนมองด้วยสายตาประหลาดใจ ก่อนจะยกแขนตัวเองขึ้นมาดู ด้วยสีหน้าจริงจัง
จิวเสวี่ยเหม่ยมองพ่อและแม่ด้วยสายตางุนงง เพราะเธอยังเด็กอยู่ร่างกายจึงอยู่ในสภาพที่ดี
แต่จิวโมเทียนและฮั่ยหวูเหยาอายุมากแล้ว แม้ว่าจะได้รับโอสถล้ำค่าปรับสภาพร่างกาย แต่มันก็ไม่ช่วยทำให้ร่างกายของพวกเขากลับไปยังช่วงวัยรุ่นได้
ทำให้พวกเขามีความรู้สึกละเอียดกับร่างกายของตัวเอง
โดยเฉพาะฮั่นหวูเหยาที่เป็นผู้หญิง เธอมีสัมผัสที่ละเอียดอ่อนต่อสุขภาพร่างกายของตัวเองอย่างมาก ทำให้เธอรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของผิวของเธอได้
จิวโมไป๋ยิ้มและอธิบายให้ทุกคนฟัง
“ไม่ต้องแปลกใจครับ เพราะที่นี่ ได้ใช้ค่ายกลดึงดูดพลังงานธรรมชาติโดยรอบ ทำให้ที่นี่มีพลังธรรมชาติหนาแน่นกว่าข้างนอกหลายเท่า ทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังเร็วขึ้นและยังทำให้สุภาพร่างกายดีขึ้นอีกด้วย ถ้าทุกคนมีเวลาผมแนะนำให้หาเวลามาที่นี่เพื่อบ่มเพาะพลัง”จิวโมไป๋ยิ้มพร้อมกับยกป้ายไม้ขึ้น
“ป้ายไม้ที่ผมให้ทุกคนก่อนมาที่นี่ มีการวางอาคมบางอย่างเอาไว้ ถ้าไม่ถือมัน ก็จะไม่สามารถสัมปัสได้ถึงพลังงานธรรมชาติที่นี่ ถ้าทุกคนมาที่นี่ต้องไม่ลืมพกมันมาด้วย”
ทุกคนพยักหน้ารับด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะสงบลง มือกระชับป้ายไม้ในมือแน่น
จิวโมเทียนมองภรรยาและลูกสาว ก่อนจะพูด
“เก็บป้ายไม้นี้ไว้ให้ดีอย่าทำมันหาย และอย่าพูดอะไรเกี่ยวกับเกาะนี้ให้คนอื่นรู้ ถ้ามีคนอื่นรู้มันจะเป็นอันตรายกับครอบครัวของเราได้”
ทุกคนพยักหน้าช้าๆ
พวกเขาพอจะรู้มาบ้างว่า พื้นที่ ที่มีพลังธรรมชาติหนาแน่น จะเป็นพื้นที่พิเศษที่สำคัญอย่างมาก
เพราะแม้ว่าในปัจจุบันพลังธรรมชาติบนโลกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็ยังบางเบาอยู่ โดยเฉพาะในเมืองที่มีผู้คนหนาแน่น พลังธรรมชาติจะเบาบางอย่างมาก
ทำให้สำนักต่างๆมักจะอยู่นอกเมือง หรือในป่าลึกห่างไกลผู้คน
พื้นที่มีพลังธรรมชาติหนาแน่น ทำให้บ่มเพาะพลังได้เร็วขึ้น มันจึงเป็นพื้นที่ ที่ทุกกองกำลังต้องการครอบครอง
แต่ในปัจจุบันพื้นที่เหล่านั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในมือของกองกำลังที่แข็งแกร่ง
แม้แต่ตระกูลระดับสูงก็แทบจะไม่สามารถครอบครองได้
ถ้ามีคนพบว่าครอบครัวเล็กๆมีพื้นที่พลังธรรมชาติหนาแน่น
แทบไม่ต้องคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แม้ว่าจิวโมไป๋จะมีสถานะพิเศษ
เขาก็ไม่สามารถป้องกันความโลภของผู้คนได้
แม้แต่กองกำลังที่ดี พวกเขาก็ไม่อาจระงับความต้องการที่จะครอบครองพื้นที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นได้
จึงไม่แปลกเลย ที่จิวโมไป๋จะกลางข่ายอาคมปกปิดพลังธรรมชาติตั้งแต่แรก เขาทำเพื่อป้องกันคนมาพบ และแย่งชิงพื้นที่นี้ไป
ทั้งสี่คนขึ้นไปบนภูเขาสำนัก
จิวโมไป๋บอกถึงแผนการในการก่อตั้งสำนักของตัวเองในอนาคต
พ่อและแม่สนับสนุนโดยไม่ต้องคิด ในปัจจุบัน พวกเขาได้รับเงินจำนวนมากจากบริษัทเนบิวลา เงินที่ได้ทำให้พวกเขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายอีกต่อไป
การสร้างสำนักจึงไม่ได้เป็นเรื่องยาก
และด้วยความสามารถของจิวโมไป๋ พวกเขาเชื่อว่าลูกชายของพวกเขามีความสามรถเพียงพอ
จิวเสวี่ยเหม่ยได้ยินว่าพี่ชายของเธอจะก่อตั้งสำนักของตัวเอง เธออยากจะเข้าร่วมด้วย
แต่จิวโมไป๋ไม่เห็นด้วย เขาให้น้องสาวของเขาพยายามฝึกฝนที่สาขาสำนักผีเสือดาราต่อไป
หญิงสาวไม่พอใจ แต่เธอก็เชื่อฟังพี่ชายของเธอ
จิวโมไป๋พาทุกคนไปที่พื้นที่พักของแขก จัดห้องให้กับทุกคน ก่อนที่เขาจะเป็นคนพานำทุกคน ไปรอบๆเกาะโดดเดี่ยว โดยหลีกเลี่ยงสถานที่พิเศษบางแห่ง เช่นวัดดอกบัวทอง และภูเขาสมบัติ ที่เสี่ยวหวงกำลังฝึกฝนอยู่
เขาสัมผัสได้ว่ามันกำลังเลื่อนไปขั้นที่ 6 โลหิต เขาจึงไม่เข้าไปรบกวน
จิวเสวี่ยเหม่ยวิ่งเล่นไปรอบๆพร้อมกับเสี่ยวหง โดยมีเสี่ยวจิ้นบินอยู่ด้านบนเพื่อรักษาความปลอดภัยตามคำสั่งของจิวโมไป๋
พวกเขาไปที่ทะเลสาบเล็กๆพบกับเสี่ยวเฮย เต่ายักษ์ที่กำลังนอนอาบแดดอยู่
หญิงสาวตาเป็นประกายขั้นไปขี่มัน และบอกให้มันพาลงทะเลสาบ
พ่อและแม่ต้องเข้ามาดุ ไม่ให้เธอซนเกินไป
หญิงสาวมุ่ยหน้าไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะลงจากหลังเสี่ยวเฮยอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
จิวโมไป๋ยิ้มและสร้างเตาเผา สำหรับทำอาหารริมทะเลสาบ
เสี่ยวเฮยดำลงไปในทะเลสาบ ก่อนจะคาบปลาตัวใหญ่ขึ้นมา ในเวลาไม่นานมันก็จับปลาได้หลายตัว
จิวเสวี่ยเหม่ยมองด้วยตาเป็นประกาย อยากจะกระโดดลงน้ำไปช่วย แต่พ่อและแม่ยืนคุมอยู่ข้างๆ เธอได้แต่มองด้วยความเสียใจ
จิวโมไป๋เผาปลา ทำอาหาร กลิ่นหอมลอยอบอวลไปทั่ว ทั้งสี่คน และสัตว์สามตัวนั่งทานด้วยกันอย่างมีความสุข
เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหม่ยได้กลิ่นอาหารก็วิ่งมาแต่ไกล เข้ามาทานด้วยกัน
จิวโมไป๋ถือโอกาสใช้จิตสัมผัสแผ่ขยายไปโดยรอบ
จิตสัมผัสขยายไปยังฝั่งเหนือของเกาะโดดเดียว ไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่จุดธาตุไม้
เขาก็พบว่าต้นไม้ใหญ่สูงถึง 50 เมตรแล้ว ใบไม้สีเขียวอ่อนแปล่งประกายสะท้อนแสงแดด ให้ความรู้สึกอ่อนโยน
สัตว์นับไม่ถ้วนบนเกาะ ยังคงนั่งหลับตาพักผ่อนอย่างสงบ แต่ที่น่าแปลกคือขนาดตัวของพวกมันใหญ่ขึ้นผิดกับสัตว์ทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
จิตสัมผัสตรวจสอบต่อไป เขาก็พบถึงความผิดปรกติ
ใบหน้าของจิวโมไป๋พลันเปลี่ยนไปทันที
เพราะโครงกระดูกสีเขียวได้หายไปแล้ว!
เขาขยายจิตสัมผัสออกก็ไม่พบร่างของมัน
จิวโมไป๋ยืดตัวขึ้น และกดกำไลข้อมือ ตรวจสอบกล้องวงจรปิด
เขาตรวจสอบภาพที่บันทึก ก็พบว่าเมื่อประมาณ 3 วันก่อน โครงกระดูกสีเขียว ได้ลุกขึ้นยืนอย่างน่าประหลาด และมันก็เดินกลับเข้าไปที่เขาวงกตโครงกระดูกและไม่ขึ้นมาอีกเลย
สีหน้าของจิวโมไป๋กลายเป็นเคร่งเคียด เพราะมีอะไรหลายๆอย่าง เขาจึงลืมไปเลยว่า ด้านล่างของเกาะโดดเดียวมีสถานที่ลับ ที่เขายังตรวจสอบไม่หมดอยู่
ถ้าปล่อยไว้นาน อาจเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้
จิวโมไป๋สูดลมหายใจลึกๆ
ดูเหมือนว่าช่วงนี้เขาจะผ่อนคลาย จนประมาทเกินไป