จางฮั่วที่ยืนบนแท่นสูงขมวดคิ้ว ก้มมองจิวโมไป๋ที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลและกำลีงนั่งคุกเข่าบนพื้นสนามประลองที่พังยับเยิน ก่อนจะมองฟูชวนหยุน คังหรงและฮั่วอวี่หลินที่นอนหมดสติ เขายกมือขึ้นม่านพลังงานป้องกันที่ล้อมรอบสนามประลองก็หายไป
“เข้าไปพาคนที่ไม่สามารถต่อสู้ได้ออกมา”
ทีมแพทย์สนามรีบขึ้นไปบนสนามประลองทันที พวกเขาเข้าไปตรวจสอบอาการบาดเจ็บของฟูชวนหยุน คังหรงและฮั่วอวี่หลินที่หมดสติก่อนเป็นอันดับแรก
ร่างกายของทั้งสามมีบาดแผลเล็กๆทั่วร่าง แต่ไม่มีบาดแผลฉกรรจ์รุนแรง พวกเขาแค่หมดแรงจากการใช้พลังเท่านั้น ทีมแพทย์สนามก็เบาใจ หันไปยังจางฮั่วและพยักหน้าส่งสัญญาณว่าพวกเขาไม่เป็นอะไร
จางฮั่วคล้ายความกังวลลง ทั้ง 3 เป็นศิษย์ในอันดับต้นของตระกูล แม้พวกเขาจะกลายเป็นผู้ติดตามของคนอื่นนอนาคต แต่พวกเขาก็ยังเป็นคนของตระกูล ถ้าพวกเขาเป็นอะไรไป ตระกูลจะสูญเสียพรสวรรค์อันมีค่าไป เขาจึงไม่ต้องการที่จะเห็นศิษย์เหล่านี้เป็นอะไรไป
ทีมแพทย์พาทั้งสามคน และศิษย์ในคนอื่นๆที่ได้รับบาดเจ็บอยู่อีกด้านของสนามประลองออกจากสนามประลอง ก่อนที่แพทย์สนามสองคนจะเข้าไปตรวจสอบร่างกายของจิวโมไป๋ พวกเขามองจากภายนอก อาการบาดเจ็บของจิวโมไป๋มากกว่าฟูชวนหยุนทั้งสามคนรวมกันด้วยซ้ำ!
แต่ก่อนที่พวกเขาจะเข้าใกล้จิวโมไป๋
“ผมไม่เป็นไร”จิวโมไป๋ยกมือห้ามไม่ให้แพทย์สนามเข้ามา ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองอย่างช้าๆ เขาใช้มือซ้ายหยิบพลองสีทองจากมือขวาที่อาบเลือด
“คุณไม่เป็นอะไรแน่นะ?”แพทย์สนามเห็นดังนั้น ก็ถามจิวโมไป๋อย่างไม่แน่ใจ
“ผมยังต่อสู้ไหว”จิวโมไป๋สูดลมหายใจยืนตัวตรง ดวงตาสาดประกายมุ่งมั่น แม้ร่างกายภายนอกจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ความแข็งแกร่งที่แผ่ออกมามันยังไม่อ่อนแอลงเลย
แพทย์สนามทั้งสองมองจิวโมไป๋ด้วยความชื่นชม
“ถ้าไม่ไหวก็รีบยอมแพ้ ร่างกายของคุณได้รับเสียหายไปมากแล้ว ถ้าร่างกายเสียหายไปมากกว่านี้ มันอาจจะส่งผลถึงอนาคตได้ คุณสามารถแข็งแกร่งได้มากกว่านี้ อย่าทิ้งพรสวรรค์ไปกับการต่อสู้อย่างเปล่าประโยชน์”
“ขอบคุณ”จิวโมไป๋พยักหน้าตอบรับอย่างสุภาพ เขาสัมผัสได้ว่าแพทย์สนามตรงหน้าเป็นห่วงเขาจริงๆ แต่เขาไม่ยอมแพ้การต่อสู้
แพทย์สนามทั้งสองคน เห็นว่าจิวโมไป๋ไม่ยอมแพ้ก็ไม่พูดอะไรอีก พวกเขาถอนตัวออกจากสนามประลอง
ฟงอี้เฟยวิ่งมาข้างสนามประลองฝั่งที่อยู่ใกล้จิวโมไป๋ที่สุด เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยเกาะที่ไหล่ของเขา พวกเขาเห็นว่าจิวโมไป๋ยังจะต่อสู้ต่อพวกเขาก็แสดงความกังวลออกมา
ผู้ชมเห็นว่าจิวโมไป๋ยังสามารถต่อสู้ได้อีก พวกเขาก็ส่งเสียงตะโกนด้วยความชื่นชม แต่พวกเขาก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย พวกเขายอมรับความแข็งแกร่งของจิวโมไป๋ แต่ถ้าจิวโมไป๋ต่อสู้กับศิษย์หลักอีก 4 คน ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้
แม้ศิษย์หลักจะแข็งแกร่งกว่าศิษย์ใน 3 อันดับแรกไม่มากนัก แต่ก็ไม่สามารถประมาทได้ ศิษย์หลักได้รับการสั่งสอนจากผู้อาวุโสของตระกูลโดยตรง ทำให้พวกเขามีประสบการณ์มากกว่าศิษย์ในที่ฝึกฝนด้วยตัวเอง
แม้ว่าความแข็งแกร็งจะไม่ต่างกันนัก แต่ความสามารถในการต่อสู้ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย ไม่ต้องพูกถึง ถ้าทั้งสี่คนร่วมมือกันต่อสู้ การที่จิวโมไป๋จะเอาชนะทั้งสี่พร้อมกัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ทีมแพทย์สนามพาคนที่บาดเจ็บออกจากการต่อสู้จนหมด
จางฮั่วมองจิวโมไป๋ก่อนจะถาม
“จะยอมแพ้การท้าทายหรือจะต่อสู้ต่อ”
“ผมยังไหว”จิวโมไป๋หันไปตอบอย่างสุภาพ
จางฮั่วเห็นความแน่วแน่ของจิวโมไป๋ดวงตาเป็นประกายชื่นชมเล็กน้อย
ฟุบ ร่างของหญิงสาวร่างเพรียวลมปรากฏขึ้นตรงหน้าของจิวโมไป๋ห่างสิบเมตร หญิงสาวมีผมสีน้ำตาลเข้มมัดเป็นหางม้า ใบหน้างดงามราวกับภูต เธอใส่เสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนปักลายดอกโบตันสีขาวชมพู ในมือของเธอถือกระบี่สั้นด้ามจับสีน้ำเงิน
“นายยังจะต่อสู้ต่ออีกเหรอ?”หญิงสาวส่งยิ้มอ่อนหวาน ดวงตาคู่งามส่องประกายระยิบระยับ เต็มไปด้วยความชื่นชมมองไปที่จิวโมไป๋ ท่าทางของหญิงสาวดูเป็นกันเอง ทำให้ผู้คนอดไม่มีความรู้ถึงเป็นศัตรูกับเธอ
จิวโมไป๋มองหญิงสาว แต่ไม่ตอบ เขากำลังใช้สมาธิเร่งการฟื้นฟูพลังอยู่
หญิงสาวเห็นว่าจิวโมไป๋ไม่ตอบตัวเอง เธอก็ไม่แสดงความผิดหวัง เธอกล่าวแนะนำตัวเอง
“ฉันเหมิงฉีฉี ศิษย์หลักอันดับ 8 หวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันในอนาคต”
ฟุบ อยู่ๆเงาสีเขียวเข้มก็ปรากฏขึ้นข้างๆเหมิงฉีฉี เป็นชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาจริงจัง เขาใส่เสื้อคลุมสีเขียวอ่อนไร้ลวดลายในมือถือดาบยาวแหลมคม สายตาที่มองจิวโมไป๋ฉายแววหึงหวงเล็กน้อย
“ฉีฉี เธอไม่ต้องต่อสู้ก็ได้ ฉันคนเดียวก็สามารถจัดการเขาได้แล้ว”น้ำเสียงของชายหนุ่มแฝงไปด้วยความเหย่อหยิ่ง เขาไม่คิดที่จะซ้อนความรู้สึกของตัวเอง
“นาย…”ดวงตาของเหมิงฉีฉีพลันฉายแววเย็นยะเยือก บรรยากาศกดดันแผ่ออกมาจากร่างกายของเธออย่างรุนแรง
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ฉินฟู่หาน น้ำเสียงของนายต้องสุภาพมากกว่านี้! อย่าทำให้พวกเราต้องขายหน้า”คำพูดเสียดสีดังขึ้นจากด้านหลังของจิวโมไป๋อย่างกระทันหัน
จิวโมไป๋รีบหันไปมอง เขาเห็นชายหนุ่มใบหน้าเจ้าเล่ห์ ดวงตาสีดำไร้ประกายไม่สามารถบ่งบอกอารมณ์ใดๆได้ ท่าทางเฉื่อยชาไม่จริงจัง เขาใส่เสื้อคลุมแขนสั้นสีดำ สองมือว่างเปล่าไม่ถืออาวุธใดๆ
เขามองจิวโมไป๋และส่งยิ้มด้วยดวงตาไร้อารมณ์มาให้ ความรู้สึกอันตรายแผ่ซ่านมาจากร่างของเขา
“ฉันต้องขอโทษแทนหมาเลียคนนั้นด้วย ที่ทำตัวไม่สุภาพ เขาคือ ฉินฟู่หาน ศิษย์หลักอันดับ 7 และเป็นศิษย์น้องของฉัน ถังเตี่ยวหย่ง ศิษย์หลักอันดับ 6″ถังเตี่ยวหย่งแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไร้อารมณ์