เปรี้ยง! เฮยหยุนคังหลับตาแน่นด้วยความกลัว แต่ไม่นานก็รู้สึกตัว ว่าเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บ เขาจึงลืมตาขึ้น ก็เห็นแผ่นหลังอันกว้างใหญ่อยู่ตรงหน้า
ชายร่างกำยำเข้ามาขวางเอาไว้ได้ทัน มือของเขากำที่แส้โลหิต เลือดสีแดงไหลทะลักอาบมือและตกลงพื้น เขากำแส้แน่นไม่ยอมปล่อย สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยน เขามองไปที่จ้าวลู่เฟินและก้มหัวลงเล็กน้อย
“คุณหนูจ้าว ผมอ้าวซื่อ ผู้อาวุโสนอกของสำนักหัวใจทมิฬ ผมขออภัยแทน คุณชายด้วย ที่ทำให้คุณไม่พอใจ ได้โปรดยุติการต่อสู้แต่เพียงแค่นี้ เพื่อไม่ให้กระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างสำนักและหอการค้าหิมะบิน”
จ้าวลู่เฟินย่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะดึงแส้โลหิตกลับ อ้าวซื่อคลายมือที่กำแส้ ปล่อยแส้โลหิตไป และใช้มืออีกข้างกำมือที่เลือดยังไหลไม่หยุด
“ฉันไม่สนว่าพวกนาย กำลังทำอะไรในเมืองเทียนซู ฉันจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่ถ้าพวกนายสร้างความเดือดร้อนให้กับคนธรรมดาอีก ฉันจะทำให้พวกนายได้เห็นนรกที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร”จ้าวลู่เฟินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกจากร่าง
เฮยหยุนคังพยายามจะพูดอะไร
อ้าวซื่อยกมือขึ้นห้ามเอาไว้ เขามองจ้าวลู่เฟินและก้มหัวอีกครั้ง
“คุณหนูจ้าว ผมสัญญาว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนธรรมดา”
ได้ยินคำสัญญาของอ้าวซื่อ ดวงตาของจ้าวลู่เฟินหรี่ลงเล็กน้อย ครุ่นคิดบางอย่าง
“คุณหนูจ้าว ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมต้องขอตัวกลับไปก่อน”พูดจบอ้าวซื่อก็หันหลังไปจับตัวของเฮยหยุนคัง และจากไปทันที โดยไม่สนใจซุนกวนสุ่ยและคนอื่นๆที่หมดสติ
จ้าวลู่เฟินเห็นดังนั้นก็ยิ้มเยาะอย่างแผ่วเบา เธอไม่แปลกใจกับความโหดเหี้ยมของสำนักหัวใจทมิฬ เธอหันมามองจิวโมไป๋และคนอื่นๆ
“พวกนายกลับไปก่อน ทางนี้ฉันจะจัดการเอง”
จิวโมไป๋และคนอื่นๆมองหน้ากัน พวกเขาอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่พูด พวกเขาพากันออกจากร้านหม้อไฟ พอดีกับที่รถตำรวจห้าคันขับเข้ามาพอดี
บนรถหรู
“ผู้อาวุโสอ้าว คุณพาฉันออกมาทำไม แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับหอการค้าหิมะบินจริงๆ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวพวกเขาเลย”เฮยหยุนคังพูดกับอ้าวซื่อด้วยความโกรธ
อ้าวซื่อประจำตำแหน่งคนขับรถ เขาขับรถไปตามถนนด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
“คุณชาย ตอนนี้สำนักของเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาฟื้นฟูหลังการต่อสู้ เราไม่พร้อมที่จะต่อสู้กับกองกำลังอื่น”อ้าวซื่อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“หอการค้าหิมะบิน เราไม่สามารถประมาทพวกเขาได้ แม้พวกเขาจะไม่ได้เป็นกองกำลังของตระกูลหรือสำนักดังเดิม ที่สืบทอดมาหลายร้อยหลายพันปี แต่พวกเขามีทรัพยากรมากมายและมียอดฝีมือเข้ารวมนับไม่ถ้วน แม้จะไม่ได้ใช้ระดับสุดยอดฝีมือ แต่จำนวนของพวกเขาก็ไม่สามารถประมาทได้ มดกัดช้างยังสามารถฆ่าช้างได้ นอกจากนั้นหอการค้าหิมะบินยังมีเครือข่ายและความสัมพันธิ์กับกองกำลังมากมาย ถ้าพวกเรามีเรื่องกับพวกเขาในตอนนี้ มันจะเปิดโอกาสให้กองกำลังอื่นเข้ามาแทรกแทรงและเล่นงานเรา”
เฮยหยุนคังได้ยินดังนั้นก็เงียบและไม่พูดอะไรอีก แม้ว่าเขาจะเป็นคนสิ้นเปลืองของตระกูล แต่เขาก็พอรู้จักกับกองกำลังที่แข็งแกร่งอยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงรู้ถึงความแข็งแกร่งของพวกเขาเป็นอย่างดี ที่เขาโกรธเพราะเขาพยายามระบายความอับอายออกไป
“หึ นายกังวลมากไปแล้ว แม้ว่าหอการค้าหิมะบินจะแข็งแกร่ง แต่สำนักหัวใจทมิฬก็มีกองกำลังใต้ดินมากมาย ฉันไม่เชื่อว่าจะทำอะไรหอการค้าหิมะบินไม่ได้”
อ้าวซื่อเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าว
“คุณชาย จ้าวลู่เฟินเป็นคนสนิทหรืออาจเป็นคนรักของจี้หยางเฟย”
“ไอ้สารเลวนั้น!”เฮยหยุนคังขบฟันแน่นด้วยความโกรธ เมื่อหนึ่งเดือนก่อนชื่อของจี้หยางเฟย เป็นชื่อที่รวบรวมความโกรธแค้นของทุกคนในสำนักหัวใจทมิฬ เพราะจี้หยางเฟยได้ทำลายแผนการของพวกเขาในการ กำจัดตระกูลถัง หนึ่งในตระกูลหลักของสำนักผีเสื้อดารา สำนักคู่แค้นของพวกเขา
ในเหตุการนั้น ถ้าจี้หยางเฟยไม่เข้ามายุ่ง พวกเขาจะสามารถกำจัดตระกูลถังทั้งหมด และได้ครอบครองทรัพยากรมากมาย ทำให้สำนักผีเสื้อดาราสูญเสียผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งไปหนึ่งตระกูล
แต่เพราะจี้หยางเฟย แผนการทุกอย่างก็ล้มเหลว พวกเขาไม่สามารถกำจัดตระกูลถังจนสิ้นซากได้ และยังสูญเสียยอดฝีมือจำนวนมากในการต่อสู้
ทำให้สำนักของพวกเขาอ่อนแอลงอย่างมาก ศัตรูที่จ้องจะทำลายพวกเขาก็ฉวยโอกาสรวมมือกัน กำจัดพวกเขา โชคดีที่บรรพบุรุษของพวกเขาที่มีระดับการบ่มเพาะพลังขั้นที่ 9 กำเนิดปราณออกจากการปิดด่าน ออกมาช่วยได้ทัน ไม่อย่างนั้นสำนักของพวกเขาจะต้องเสียหายอย่างหนัก
ความเสียหายครั้งนั้น ทำให้พวกเขาเปลี่ยนแผน จากการโจมตีทำลายล้างอย่างเด็กขาด เปลี่ยนเป็นค่อยๆกลืนกินธุระกิจของตระกูลถังแทน
หลังจากเหตุการณ์นั้น แม้ว่าตระกูลถังจะสามารถรอดจากวิกฤติ ถูกทำลายล้างมาได้ พวกเขาก็เสียหายอย่างหนักเช่นกัน
ทำให้ธุระกิจกลายเป็นยุ่งเหยิง จากการต่อสู้จากคนภายใน และคนภายนอกที่ต้องการแบ่งชิ้นเค้ก
ดังนั้นสำนักของพวกเขาจึงส่งศิษย์นอก ไปสร้างกองกำลังใต้ดินและพยายามยืดครองและสร้างความเสียหายให้กับธุระกิจของตระกูลถังในเมืองต่างๆ ให้มากที่สุด
เมืองเทียนซูเป็นสถานที่ตระกูลถังอ่อนแอที่สุดและตระกูลเซียว ตระกูลระดับสูงของเมืองเทียนซูก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก
พูดได้ว่าเมืองเทียนซู เป็นเมืองที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการเข้ายึดครอง เพราะไม่ใช่แค่ได้รับตระกูลถัง ยังสามารถใช้โอกาสนี้กลืนกองกำลังระดับสูงในเมืองเทียนซูได้อีกด้วย
ถ้าสามารถยึดครองเมืองเทียนซูได้สำเร็จ มันหมายถึงทรัพยากรการบ่มเพาาพลังจำนวนมหาศาล
ในการได้รับภารกิจสร้างกองกำลังใต้ดินในเมืองเทียนซู แม้ว่าเขาจะเป็นลูกชายของหัวหน้าตระกูลเฮย มันก็ยังยากที่จะได้รับ เพราะมีคนต้องการมันจำนวนมาก เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก กว่าจะได้รับภารกิจนี้มา
ถ้าเขาครองครองเมืองเทียนซูได้ เขาจะมีทรัพยากรในการบ่มเพาะพลัง แม้ว่าเขาจะไม่มีพรสวรรค์ เขาก็สามารถพัฒนาอย่างรวดเร็ว
เฮยหยุนคังสูดลมหายใจข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่านลง เขาเหลือบตามองอ้าวซื่อ โชคดีที่อีกฝ่ายเป็นผู้ติดตามของเขา ไม่อย่างนั้น เขาอาจจะเผลอทำอะไรโง่เขลา อย่างกู่ไม่กลับ ทำให้สูญเสียภารกิจที่ได้รับไป
เชื่อได้เลยว่า ทันทีที่เขาทำผิดพลาด ศิษย์คนอื่นๆจะพยายามมาแทนที่เขา
เฮยหยุนคังหลับตาใช้ความคิด
ดูเหมือนว่า เขาต้องเร่งจัดการกองกำลังใต้ดินอื่นๆแล้ว
หอพักมหาวิทยาลัยเทียนซู
หวังเสี่ยวเบาที่กำลังนั่งสมาธิพลันลืมตาขึ้น ก่อนจะกระอักเลือดดำออกมา ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อกลับมามีพลังอีกครั้ง
จิวโมไป๋เดินออกจากห้องน้ำ มือซ้ายใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เปียก เขามองหวังเสี่ยวเปา
“พี่ใหญ่เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก”หวังเสี่ยวเปาขยับร่างกาย แสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีอาการเจ็บปวดหลงเหลือ
จิวโมไป๋พยักหน้า ก่อนจะยกมือขึ้น ก้อนหินสีเทาประกายสีแดงดำก็ปรากฏบนฝ่ามือ
หวังเสี่ยวเปามองด้วยความสงสัย
“น้องเล็ก มันคืออะไร”
จิวโมไป๋โยนมันให้หวังเสี่ยวเปารับก่อนจะบอก
“นี้คือโลหิตคิงคองศิลา สายเลือดของสิ่งมีชีวิตธาตุดินอันทรงพลัง พี่ใหญ่สายเลือดนี้เข้ากับพี่มาก ถ้าพี่หลอมรวมสายเลือดนี้ ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด”
ดวงตาของหวังเสี่ยวเปาเป็นประกายวาบ ก่อนที่จะหายไป เขาข่มความตื่นเต้นลง เงยหน้าขึ้นมองจิวโมไป๋
“มันมีค่าเกินไป นายเอาไปใช้เองเถอะ”
จิวโมไป๋ยิ้มและส่ายหน้า
“ไม่ มันไม่เหมาะกับฉัน พี่ใหญ่ใช้มันเถอะ ถ้านายไม่ใช้ ฉันจะโยนมันทิ้ง”
หวังเสี่ยวเปายิ้มกว้างกำโลหินคิงคองศิลาแน่น
“น้องเล็กนายบอกว่า มันเข้ากับฉันไม่ใช่เหรอ นายจะทิ้งได้ยังไง”
จิวโมไป๋หัวเราะและสอนการหลอมรวมโลหิตให้กับหวังเสี่ยวเปาอย่างละเอียดทุกขั้นตอน
หวังเสี่ยวเปาหยิบมีดเล่มเล็กที่จิวโมไป๋ยื่นให้ แล้วใช้มีดกรีดมือขวาและมือซ้าย ให้เลือดไหลออกมา ก่อนจะหยิบโลหิตคิงคองศิลาขึ้นมาและประกบตรงกลางฝ่ามือสองข้าง ตรงกับรอยกรีดที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง
เลือดสีแดงสดไหลชโลมทั้วโลหิตคิงคองศิลา ผ่านไปครู่ใหญ่โลหิตคิงคองศิลาก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ
จิวโมไป๋โบกมือข่ายอาคมอาบทั่วห้อง ทำให้เสียงไม่สามารถดังออกไปนอกห้อง
ใบหน้าของหวังเสี่ยวเปาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แต่เขาไม่กรีดร้องออกมา เขาขบฟันแน่น ฝืนความเจ็บปวด
ผิวนอกของโลหิตคิงคองศิลาค่อยๆเกิดรอยแตกร้าว ไม่นานมันก็แตกออกเป็นโลหิตสีแดงน้ำตาลทองหนึ่งหยด โลหิตคิงคองศิลาเปล่งแสงสีน้ำตาลเข้มข้นก่อนจะพุ่งเข้าไปที่หัวใจของหวังเสี่ยวเปา
ร่างของหวังเสี่ยวเปาเปล่งแสงสีน้ำตาล แสงสีน้ำตาลหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนร่างของเขากลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม ราวกับก้อนหิน
จิวโมไป๋เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ การหลอมรวมโลหิตคิงคองศิลาเป็นไปได้ด้วยดี ที่เหลือก็แค่รอให้พี่ใหญ่หลอมรวมสายเลือดอย่างสมบูรณ์เท่านั้น