นางเอียงศีรษะลงมาเล็กน้อย มือก็สามารถสกัดศรน้ำแข็งที่พุ่งมาทางด้านหลังเอาไว้ในฝ่ามือ
ศรน้ำแข็งพุ่งมาด้วยความเร็ว มันควงหมุนอยู่ตรงฝ่ามือของนาง คิดจะพุ่งทะลุฝ่ามือนางออกไป
ตู๋กูซิงหลันคว้าศรน้ำแข็งดอกนั้นเอาไว้ พลังในมือขับเคลื่อนออกมา เป็นหมอกสีดำกลุ่มหนึ่งผุดขึ้นที่ใจกลางฝ่ามือ ทำลายศรน้ำแข็งดอกนั้นสลายเป็นผุยผง
เถ้าถ่านเหล่านั้นไหลผ่านฝ่ามือร่วงลงไปในอากาศ
บนตึกสูง ซ่งชิงอีที่ถือคันธนูเอาไว้ในมือถึงกับหน้าเปลี่ยนสี
คันธนูด้ามหยกของนาง เป็นอาวุธวิญญาณชั้นยอด ลูกศรก็หลอมขึ้นมาจากเหล็กผสมทองคำ แต่กลับถูกคนทำลายจนกลายเป็นผงธุลี?
นางมองดูคนที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยสายตาเย็นเฉียบ ทั้งยังประหลาดใจอยู่บ้าง
เพราะอยู่ห่างไกลกันมา จึงไม่อาจมองเห็นรูปโฉมได้อย่างชัดเจน แต่แค่โครงหน้าที่ได้เห็นก็รู้ว่าเป็นหนุ่มน้อยผู้หนึ่ง
ในเมื่อสามารถบุกเข้ามาในวังตันติ่งกงของนางได้ ….ดูท่าคงจะมีความสามารถอยู่ไม่น้อย!
ซ่งชิงอีเพียงชะงักไปครู่เดียวเท่านั้น จากนั้นก็น้าวคันธนูอย่างเต็มแรงอีกครั้ง ยินลูกศรออกไปติดๆกันถึงสามดอก
สองดอกแรกไม่มีอะไรเกินกว่าที่คาดเอาไว้ ล้วนถูกตู๋กูซิงหลันคว้าเอาไว้ ทำลายสลายกายเป็นผงธุลี แต่ว่าลูกศรดอกสุดท้ายนั่น ตู๋กูซิงหลันกลับกุมลูกศรนั้นเอาไว้ในมือหันมาเหลือบตาดูตึกสูงหลังนั้นแวบหนึ่งก็เขวี้ยงลูกศรกลับคืนไป
ไม่มีคันธนู อาศัยเพียงกำลังข้อมือเขวี้ยงกลับไปเท่านั้น แต่ว่าความเร็วที่พุ่งคืนมาก็ยังเหนือกว่าซ่งชิงอีที่ใช้ธนูด้ามหยกที่มีจิตวิญญาณคันนั้นอีกเท่าหนึ่ง
ลูกศรส่งเสียงลากยาวไปในอากาศ มันถูกเขวี้ยงมาลงตรงหน้าซ่งชิงอีราวกับลูกระเบิด
ซ่งชิงอีถึงกับหน้าเขียว นางหลบวูบ แต่ว่าลูกศรนั้นก็ยังสะกิดโดนใบหน้าของนางอยู่ หยดเลือดไหลออกมาจากปากแผลบนใบหน้าของนาง นองลงไปครึ่งใบหน้า
ฝูลั่วที่ประกบอยู่ด้านข้างถึงกับตกตะลึงจนโง่งมไปแล้ว!
คนที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ บุกเข้ามาในวังตันติ่งกง แล้วยัง….แล้วยังทำร้ายใบหน้าของท่านเจ้า!
รู้หรือไม่ว่า สิ่งที่ท่านเจ้าให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือใบหน้าอันงดงามดุจนางเซียนของตนเอง
ก่อนหน้านี้เคยมีหญิงรับใช้ผู้หนึ่ง เพราะไม่ทันระวังทำเส้นผมของท่านเจ้าขาดไปเส้นหนึ่ง จึงต้องพบกับจุดจบที่เป็นการตายอย่างอนาถและถูกโยนลงไปในหุบเหว
เจ้าคนชั่วร้ายที่บุกเข้ามาในวังตันติ่งกง นี่ถึงกับ….
พึ่งรู้ว่า อีกเพียงครึ่งเดือนก็จะถึงเทศกาลหมื่นบุปผาแล้ว ท่านเจ้าคิดจะปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้แข็งแกร่งในดินแดนจิ่วโจวอย่างเพริดพริ้งที่สุด!
แต่ในช่วงเวลาที่ใกล้จะถึงกลับถูกทำร้ายใบหน้า…..
ฝูลั่วรู้เลยว่า เจ้าโจรร้ายผู้นั้นจะต้องได้ตายอย่างอนาถที่สุด!
ตู๋กูซิงหลันมิได้ใส่ใจจะหันไปมองดูซ่งชิงอีเลยสักนิด
ปลายนิ้วของนางยังคงค้างอยู่ในท่วงท่ายามที่เขวี้ยงลูกศรคืนไป สายตาของนางก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของบุรุษผู้นั้นอยู่ตลอดเวลาเช่นเดิม
“เจ้าดูสิ ตอนนี้ข้า ….. แข็งแกร่งขึ้นมากแล้วนะ สามารถปกป้องพวกเจ้าได้แล้ว” นางจ้องมองเขา ขณะเอ่ยด้วยนะเสียงที่แหบพร่าไปบ้าง
ทั้งๆที่แม้แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายก็ยังไม่ได้เห็นแท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นางถึงได้รู้สึกว่า จะต้องเป็นเขาแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ หรือว่าจีเฉวียน ขอเพียงพวกเขาสามารถกลับคืนมาได้คนหนึ่ง เช่นนั้นอีกคนหนึ่งก็จะต้องสามารถกลับมาได้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่านางอ่อนแอจนเกินไป ไม่มีพลังเพียงพอที่จะต่อต้านชาวสวรรค์ ดังนั้นจึงได้แต่ต้องทนมองดูพวกเขาสูญสลายไปกับตาของตนเอง
แต่ว่าตอนนี้ หากเทียบกับเมื่อก่อน นางก็แข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว
ถึงแม้ว่าจะยังไม่อาจต่อสู้กับชาวสวรรค์ได้อย่างเท่าเทียม แต่ว่าหากคู่มือเป็นแค่ยอดนักพรตที่อยู่ในขั้นฝึกฝนเช่นนี้ ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ใดๆเลย
นักพรตในดินแดนจิ่วโจวต่อให้แข็งแกร่งถึงเพียงไร ก็ยังเป็นเพียงคนธรรมดาที่กลายเป็นนักพรต…….
แต่ว่าในร่างของนางมีสายโลหิตของราชามังกรทมิฬไหลเวียนอยู่ จิตวิญญาณของนางก็ผนึกรวมกับหยกสรรพชีวิตก้อนใหญ่ ทั้งยังพึ่งจะได้ไม้คฑาที่มีพลังดึงดูดลึกลับมาอันหนึ่ง ร่างกายของนาง ต้องถือว่ากลายเป็นแข็งแกร่งดั่งตัวประหลาดไปแล้ว
“ครั้งนี้ ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง จะไม่ให้ใครมาทำร้ายพวกเจ้าได้อีกแล้ว”
แววตาของนางมีหมอกหนาเพิ่มขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันพยายามฝืนอาการคัดจมูกเอา บอกกับตนเองให้สงบจิตใจลงเข้าไว้
นางพึ่งจะมาถึงดินแดนจิ่วโจว หากว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าตรงนี้ เป็นท่านอาจารย์หรือว่าจีเฉวียนจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องนับว่าฟ้าดินเมตตานางมากแล้ว
นางประหม่าแล้ว ทั้งยังหวาดกลัว
ศิลาโลหิตที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้นางก็ยังไม่ผลิบาน…..
นางเกรงว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ จะไม่ได้มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับท่านอาจารย์และจีเฉวียนเลยแม้แต่นิดเดียว
ใบหน้าของคนผู้นี้ถูกหน้ากากทองแดงทรงโบราณครึ่งใบปิดบังเอาไว้ ทำให้มองไม่เห็นแววตาของเขา ทั้งยังอ่านความรู้สึกของเขาไม่ได้
ทั่วร่างของเขามีแต่ไอหยินที่เหน็บหนาวรุนแรง ราวกับว่ามีดวงวิญญาณนับพันนับหมื่นรายล้อมอยู่
ด้านหลังของเขามีแต่ความมืดมิดราวกับว่ามันเกิดมาจากตัวเขาอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งๆที่ยืนอยู่เพียงลำพัง แต่ก็เหมือนมีกองทัพนับพันนับหมื่นอยู่ด้วย บรรยากาศที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ช่างน่าประหลาดไปแล้ว
เขานิ่งฟังคำพูดของตู๋กูซิงหลันอย่างเงียบๆ มุมปากที่เหมือนจะยกยิ้มอยู่เมื่อครู่นี้ โค้งตัวลงมา
“ที่นี่คือวังตันติ่งกง” ครู่หนึ่ง เขาถึงได้เอ่ยประโยคออกมา “ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาเปิดเผยความในใจ”
ไม่ยอมรับ แต่ก็มิได้ปฏิเสธ คำตอบของเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคำถามของตู๋กูซิงหลันเลยสักนิดเดียว
…………………………
บนตึกสูง ใบหน้าของซ่งชิงอียังคงมีหยดเลือดไหลลงมาไม่ขาดสาย เมื่อมองดูฝ่ามือที่แดงไปด้วยเลือด นางก็แทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว!
ก่อนที่จะใช้ยาบุปผาสะคราญ นางจะต้องรักษาใบหน้าของตนอย่างทะนุถนอม แม้แต่บาดแผลเล็กๆก็ไม่อาจมี มิเช่นนั้นผลของยาบุปผาสะคราญจะถูกลดทอนลงไป
แต่ว่าเจ้าโจรชั่วที่บุกเข้ามาในวันนี้ กลับขวัญกล้าจนถึงขั้นบังอาจทำร้ายใบหน้าของนาง?
ทั้งยังดูถูกนางถึงเพียงนี้?
ซ่งชิงอีที่อยู่บนชั้นบนสุด ยกดาบน้ำแข็งในมือขึ้นมา ชี้ออกไปในท้องฟ้าพลางออกคำสั่งว่า “สังหารสองคนนั้นเสีย!”
จะอย่างไรที่นี่ก็คือพื้นที่ของตนเอง ไหนเลยจะยอมให้สุนัขเรร่อนมาเพ่นพ่านได้?
สองคนนั้นแค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นพวกเดียวกัน ไยจะต้องไปปราณี!
นางจะให้พวกมันจ่ายค่าตอบแทนอย่างแสนเจ็บปวดเพื่อชดเชยที่พวกมันล่วงล้ำเข้ามาและไร้มารยาทต่อนาง!
เมื่อท่านเจ้ามีบัญชาให้สังหาร ทั่วทั้งวังตันติ่งกงก็เคลื่อนไหวโดยทันที
ศิษย์นับพันและเหล่าผู้อาวุโสพากันรวมตัว ต่างก็ชักอาวุธของตนขึ้นมา ตั้งกระบวนท่า ล้อมพวกตู๋กูซิงหลันทั้งสองคนเอาไว้อย่างแน่นหนา!
พวกเขาไม่มีทางหลบหนีได้อย่างแน่นอน เพราะแม้แต่ด้านบนก็ยังมีเขตอาคมของวังตันติ่งกงกางกั้นอยู่!
เมื่อถูกคนทั้งวังตันติ่งกงล้อมเอาไว้เช่นนี้ ต่อให้มีปีกก็ไม่อาจบินหนีไปได้!
“ให้พวกมันตายอย่างไม่เหลือซากสมบูรณ์!” ซ่งชิงอียืนอยู่บนตึก ส่งเสียงบัญชาอย่างเย็นชา
ทันทีที่มีคำสั่งลงไป ศิษย์ชุดแรกก็บุกเข้าไปในทันที
ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองดูแวบหนึ่ง คนเหล่านี้มีพลังจิตวิญญาณเข้มแข็ง เพียงแค่ในดินแดนโบราณมีคนเช่นนี้สักคนก็ต้องนับว่าเป็นยอดนักพรตแล้ว
แต่เมื่อมีกันนับพันเช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะถล่มแว่นแคว้นใดแคว้นหนึ่งในดินแดนโบราณให้ราบเป็นหน้ากลองได้แล้ว
แต่ว่าน่าเสียดาย…. ที่นางมิใช่ตู๋กูซิงหลันคนเดิมแล้ว
นางมิได้หนี เพียงแต่ขยับตัวเข้าไปใกล้คนผู้นั้นอีกเล็กน้อย ยื่นมือไปคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้ ใช้มือซ้ายจับฝ่ามือของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีหายไป
อีกมือหนึ่ง ก็ผุดแสงสีดำขึ้นมา ทั้งยังคีบยันต์โลหิตเอาไว้ในมือ
สายตาของนางมองผ่านพวกศิษย์เหล่านั้น ไปยังซ่งชิงอีที่อยู่บนตึกสูง
“เจ้าคนนั้นน่ะ ข้าขอเตือนให้เจ้ายอมแพ้ซะ!” ริมฝีปากสีแดงของตู๋กูซิงหลันขยับ
ดูเถอะ! ไม่โอ้อวดเกินจริงไปหน่อยหรือ!
ทั้งๆที่นางเป็นฝ่ายถูกพบตัวและล้อมเอาไว้แล้ว แต่ว่าตอนนี้นางกลับให้ผู้อื่นยอมแพ้
“เจ้าพูดจาไร้สาระใดกัน? ความตายมาเยือนถึงศีรษะแล้วยังจะกล้าต่อปากต่อคำอีก?”
…………………………………