คืนที่ตู๋กูซิงหลันถือกำเนิดมานั้น แม้แต่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็ยังมีความเคลื่อนไหว
ในตอนนั้นปฏิกริยาอย่างแรกที่เขามีก็คือหาทางปกป้องพวกนางแม่ลูก
ดังนั้นเขาจึงผนึกพลังของเผ่ามังกรทมิฬในตัวของนางเอาไว้ ทั้งยัง….ถ่ายเทพลังของสายเลือดคลุ้มคลั่งในกระดูกของนางไปไว้ที่ร่างของบุตรคนรอง
บุตรชายจะอย่างไรก็มีภูมิต้านทานมากกว่าบุตรสาว ต่อให้เลือดคลุ้มคลั่งนั้นตื่นขึ้นมา ก็คงจะไม่ทรมานสักเท่าไร
เยี่ยจ้านคิดแต่เพียงว่าของเพียงพลังในร่างของตู๋กูซิงหลันไม่ถูกพบเจอ ครอบครัวของเขาก็ยังจะสามารถมีชีวิตเช่นนี้ต่อไปได้
อย่างน้อยๆ…..เขาก็อยากจะอยู่กับชิงชิงไปจนเส้นผมขาวโพลน
แต่ใครจะไปรู้ว่า นางจะได้รับมรดกทางสายเลือดของเผ่ามังกรทมิฬมาอย่างสมบูรณ์พร้อม ทั้งๆที่เป็นเพียงทารก แต่แค่โบกมือเพียงเบาๆก็สามารถทำลายก้อนหินขนาดใหญ่ภายในจวนจนกลายเป็นผงธุลีไปได้
พลังเช่นนี้ถือเป็นความเมตตาที่ฟ้าประทานให้ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเภทภัยด้วย
พลังของเผ่ามังกรทมิฬที่เยี่ยเฉินไม่ได้รับสืบทอดไป….กลับถูกส่งต่อมาให้เสี่ยวหลัน….เรื่องเช่นนี้ขอเพียงหวาชางสุ่ยรู้เข้า ผลลัพธ์ย่อมเลวร้ายเกินกว่าจะคาดคิด
ดังนั้นสุดท้ายแล้ว เขาจึงทำการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุด
ในตอนที่นางอายุครบเดือน เขาเปิดทางช่องว่างกาลเวลาด้วยตนเอง ส่งนางไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย มอบให้กับคนที่สามารถฝากฝังเอาไว้ได้
ที่หลงเหลืออยู่ในตระกูลตู๋กู จึงเป็นเพียงร่างเนื้อของนาง…..และ ‘ตัวแทน’ ที่เกิดจากเศษเสี้ยวของวิญญาณนางเท่านั้น
อาจกล่าวได้ว่า จิตวิญญาณที่อยู่ในร่างเนื้อแต่เดิมนั้น ก็คือตัวแทน ที่เขาใช้พลังวิญญาณของนางมาสร้างเป็นตัวแทน
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต่อมา ‘ตู๋กูซิงหลัน’ กลายเป็นคนอ่อนแออย่างยิ่ง เป็นเพียงลูกพลับนิ่มที่ไม่ว่าใครก็สามารถบีบได้
ร่างที่ส่งไปในอีกโลกหนึ่งเป็นร่างที่เขาใช้เลือดเนื้อและกระดูกของตนเองสร้างขึ้นมาให้กับนาง
เขานึกว่าเมื่อตนเองทำเช่นนี้แล้วก็จะสามารถปิดบังฟ้าดินได้สำเร็จ ให้นางเติบโตขึ้นมาอย่างปลอดภัย และใช้ชีวิตอย่างราบรื่นภายใต้ความคุ้มครองของคนผู้นั้น
คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายแล้วนางที่เป็นเจ้าของร่างที่แท้จริงก็ยังจะกลับมาที่นี่อยู่ดี
ท่ามกลางความมืดมิดและสับสนวุ่นวาย…..บางสิ่งคงจะถูกกำหนดเอาไว้แต่แรกแล้วกระมัง
นางไปจากที่นี่ สุดท้ายก็ยังต้องกลับมาที่นี่อยู่ดี
เยี่ยจ้านถอนหายใจ เอ่ยว่า “เสี่ยวหลัน หลายปีมานี้ ซื่อมั่วดีกับเจ้าหรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงจนหน้าเปลี่ยนสี นางนึกว่าตนเองกำลังหูฝาดไปแล้ว
เขาว่าอะไรนะ?
“ดูท่าคงจะไม่ดีสักเท่าไร…เขาไม่ได้คอยดูแลเจ้าให้ดี ถึงได้ปล่อยให้เจ้ากลับมาที่นี่…” เยี่ยจ้านส่ายศีรษะเบาๆ “หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้แต่แรกก็คงไม่ส่งเจ้าให้กับเขาแล้ว”
ตู๋กูซิงหลันสีหน้างุนงงไปอย่างไม่เข้าใจเลยว่าเขากำลังหมายความว่าอะไร?
เขามอบนางให้กับอาจารย์? ทั้งยังเรียกชื่อของอาจารย์ตรงๆ?
“เขากับข้าเป็นสหายที่เคยช่วยชีวิตกันเอาไว้ เดิมทีที่ส่งเจ้าให้กับเขา ก็คิดว่าเจ้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขปลอดภัยอยู่ในโลกโน้น” เยี่ยจ้านส่ายศีรษะต่อไป พลางยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของนาง “เขาเลี้ยงดูเจ้าจนเติบโตก็นับว่าไม่ง่ายดายแล้ว ข้าจะไม่ถือโทษเขา”
เพียงแต่ว่าจะอย่างไรก็มิใช่บิดาแท้ๆ จะเลี้ยงดูอย่างไรก็คงจะไม่ดีเท่ากับตนเอง
ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”
เยี่ยจ้านเองก็ไม่ได้อมพะนำปิดบังนางต่อไป แต่ค่อยๆเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาให้นางได้ฟัง
ตู๋กูซิงหลันจากที่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ตอนนี้ถึงกับงุนงงไปหมดแล้ว
วิญญาณทมิฬเองก็ตกตะลึงจนขนลุกฟอง
“สรุปแล้วที่เล่ากันมาครึ่งค่อนวัน เจ้าก็คือเจ้าของร่างตัวจริง? ที่แท้ ‘ไทเฮาน้อย’ ผู้นั้นต่างหากที่เป็นตัวสำรอง?”
วิญญาณทมิฬรู้สึกว่าตนเองจะต้องจัดลำดับการรับรู้ใหม่แล้ว
นี่มันช่างซับซ้อนเหลือเกิน!
ใครจะไปนึกว่าคนที่เติบโตอยู่ในโลกปัจจุบันผู้หนึ่ง ที่จริงแล้วกลับถูกส่งข้ามมิติมาจากโลกใบนี้?
คนที่เลี้ยงดูนาง ก็ยังเป็นเกลอเก่าของบิดาอีกด้วย?
เช่นนี้จะเรียกว่าเป็นบิดาบุญธรรมสักคำก็คงจะไม่ผิดละมั้ง?
ตู๋กูซิงหลันนิ่งงันไปพักใหญ่จึงค่อยได้สติกลับมา….
ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ นางต้องการเวลามาค่อยๆทำความเข้าใจ
เยี่ยจ้านเองก็ไม่ได้บีบคั้นนาง เขาเพียงแต่วาดฝ่ามือออกไป ด้านหน้าของตู๋กูซิงหลันก็ปรากฏภาพๆหนึ่งขึ้นมา
เป็นตอนที่นางพึ่งจะครบเดือนแล้วเขาใช้เลือดเนื้อและกระดูกของตนเองสร้างร่างใหม่ให้กับนาง จากนั้นก็ย้ายวิญญาณของนางจากร่างเดิมเข้าไปในร่างใหม่ ค่อยส่งร่างใหม่นี้ไปยังโลกปัจจุบัน
ตอนนั้นเยี่ยจ้านยังไม่ได้ตาบอด ….ยามอยู่ในเผ่ามนุษย์เส้นผมของเขาดกดำ สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายธรรมดา ดูไปแล้วยังถ่อมตนลงกว่าตอนนี้อยู่มาก
เขาโอบอุ้มทารกหญิงตัวน้อยเอาไว้ ค่อยๆประคองส่งนางให้กับคนผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นอยู่ในหมอกสีดำทั่วทั้งร่าง
ขณะที่รับตัวนางไปก็เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง “เผิงอี้ ข้าจะรักเอ็นดูนาง เหมือนดั่งเป็นบุตรสาวของตนเอง”
เผิงอี้ เป็นชื่อรองของเยี่ยจ้าน
คนที่สามารถเรียกชื่อนี้ของเขาได้ แสดงว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะต้องใกล้ชิดสนิทสนมอย่างยิ่ง
ตู๋กูซิงหลันคิดอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่า ….นางจะได้ยินเสียงของท่านอาจารย์ในโลกใบนี้
ถึงแม้ว่าไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ของคนที่อยู่ในเงามืด …..แต่ว่าน้ำเสียงนั่นนางฟังมาแล้วมากมายหลายปี….
เยี่ยจ้านสะบัดแขนเสื้อภาพตรงหน้าก็ค่อยๆเลือนหลายไป เงาร่างของคนที่อยู่ในภาพก็ค่อยๆเลือนลางไปเหมือนดังพระจันทร์ที่ลับไป
ตู๋กูซิงหลันพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน นางรู้ว่าที่เยี่ยจ้านพูดมาทั้งหมดไม่ใช่เรื่องปั้นแต่ง….
“เสี่ยวหลัน เจ้าไม่ต้องประหลาดใจไป” เห็นนางไม่พูดไม่จาอยู่เป็นนาน มือของเยี่ยจ้านก็ตบลงบนบ่าของนางเบาๆ “ด้วยความสามารถของเจ้าในตอนนี้ ยังคงไม่อาจเข้าใจโลกของผู้เข้มแข็ง ก็เป็นเรื่องธรรมดา”
ตู๋กูซิงหลัน “…….” อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนตนเองถูกดูหมิ่น นางควรทำเช่นไรดี?
“ในเมื่อกลับมาแล้ว…ก็แสดงว่าซื่อมั่วไม่อาจปกป้องเจ้าได้ดี เขาเองก็คงมีข้อติดขัดที่ทำให้ต้องลำบากเช่นกัน” เยี่ยจ้านมิได้โทษว่าซื่อมั่ว เพราะแต่เดิมเขาก็ไม่ได้มีข้อเกี่ยวข้องผูกพันใดๆกับเสี่ยวหลัน
“ท่านอาจารย์เค้า…ที่จริงก็รักษาคำพูด เลี้ยงดูข้าดุจบุตรสาวผู้หนึ่ง” ตู๋กูซิงหลันแก้ตัวแทนซื่อมั่ว
การเลี้ยงดูให้เติบโตย่อมมีระยะเวลาเป็นขั้นเป็นตอน ย่อมต้องอาศัยความทุ่มเท
ตลอดหลายปีในโลกปัจจุบันนั้น ถึงแม้ท่านอาจารย์จะเข้มงวดกับนาง แต่ว่าทุกครั้งที่นางประสบปัญหา คนแรกที่ออกมาเช็ดก้นให้กับนางก็คืออาจารย์
ตอนยังเด็ก เขามักจะบอกอยู่เสมอว่า…นางไม่มีบิดามารดา ย่อมต้องดูแลเอาใจใส่ให้มากหน่อย
ยามอยู่ในสำนักหุบเขาภูต อะไรดีอะไรอร่อยอะไรที่สนุก นางล้วนมีอย่างครบครัน
นอกจากห้ามไม่ให้ถ่ายละครอีกต่อไปแล้ว ซื่อมั่วไม่เคยกีดกันความชอบของนาง นางคิดจะทำอะไร ก็ปล่อยให้นางได้ทำตามสบายอยู่เสมอ สิ่งที่นางต้องการแต่ว่าไม่อาจหามาได้ด้วยตนเอง อยู่ๆก็ มักจะถูกส่งมาถึงมือของนางอย่าง ‘ไม่รู้เหนือรู้ใต้’ อยู่เสมอ
ความปรารถนาดีที่ซื่อมั่วมีต่อนาง เกรงว่าแม้แต่บิดาแท้ๆก็ไม่แน่ว่าจะเทียบได้
ที่นางกลับมายังโลกใบนี้ ก็เป็นเพราะว่านางไปหาเรื่องตายเอง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับท่านอาจารย์เลยทั้งสิ้น
ท่านอาจารย์ถึงกับเสกยันต์ฟื้นคืนวิญญาณรักษาดวงจิตให้นาง….เป็นนางที่เป็นศิษย์อกตัญญูต่างหาก
พอได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น เยี่ยจ้านก็ประเมินได้แล้ว
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าข้าติดค้างซื่อมั่วแล้ว ต่อไปยังจะต้องตอบแทนเขา” เยี่ยจ้านก็หันศีรษะไปทางจีเฉวียน
คนที่เดิมสมควรจะกระดูกแตกแหลกละเอียดผู้นี้ ถูกเขาช่วยเอาไว้
ในร่างของเขามีกลิ่นอายของซื่อมั่ว ….แต่ว่าเขาก็ไม่ใช่ซื่อมั่ว
จุดนี้แม้แต่เยี่ยจ้านเองก็รู้สึกว่าแปลกประหลาด
ตู๋กูซิงหลันไม่เข้าใจที่เขาบอกว่า ‘ยังจะต้อง’ นั้นหมายความว่าอะไร
ชั่วระยะเวลาเพียงสั้นๆก็ได้รับรู้เรื่องราวมากมาย นางยังมีบางอย่างที่ไม่ทันได้ทำความเข้าใจ….นางคือตู๋กูซิงหลันและก็คือเยี่ยซิงหลัน
……………………….
ตอนต่อไป “ขอเคียงข้างนางทุกชาติไป”