“มิเช่นนั้นเจ้าจะถูกถอดชื่อออกไปจากเผ่ามังกรทะเลตะวันตกชั่วชีวิต!”
ตอนนี้เขากลายเป็นคนพิการไปแล้ว เวยเอ๋อร์คือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของเขา นางคือมังกรทอง! คือผู้ที่มีพรสวรรค์ชั้นยอดที่สุดของเผ่ามังกร!
ต่อให้เขาต้องตายก็จะไม่ยอมปล่อยให้ดาบของนางตกไปอยู่ในมือของนังลูกเดรัจฉานนั่น!
นางไม่คู่ควร!
มีแต่เวยเอ๋อร์เท่านั้นที่คู่ควรจะใช้ดาบเล่มนั้น!
ตอนนี้ ลู่กว่างไม่เพียงแต่คิดเสียดายโอกาส ในใจยังจงเกลียดจงชังชือหลีอย่างที่สุดอีกด้วย หากมิใช่เพราะว่านังเดรัจฉานนี้ชักนำเผ่ามนุษย์ที่โหดเ**้ยมมาเป็นทัพหนุน เขาไหนเลยจะต้องมาอยู่ในสภาพนี้!”
ชือหลีอยากจะหัวเราะแล้ว ตู๋กูเจวี๋ยรีบช่วยตอกย้ำกลับไป “ข้าว่าที่น้องเล็กเลาะออกมาคงไม่ใช่กระดูกมังกรของเจ้าหรอก แต่ว่าเป็นสมองของเจ้ามากกว่า! ไอ้ปลาดุกเฒ่าอย่างเจ้าทำไมถึงได้โอ้อวดคำโตได้โดยไม่รู้สึกกระดากอายเลยสักนิด?”
ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่คิดจะเสียเวลากล่าววาจาไร้สาระกับเขาอีกต่อไป
นางเดินไปยังดาบยักษ์ของตนเอง ยื่นมือข้างหนึ่งไปจับเอาไว้ ก็ดึงดาบยักษ์ขึ้นมาแบกเอาไว้บนบ่า
จากนั้นก็หันไปมองดูลู่เวยด้วยสายตาเย็นชา
“มังกรทองหรือ?” ฮึ….” น้ำเสียงที่หัวเราะออกมาอย่างเย็นชานั้น แฝงเอาไว้ด้วยความเหยียดหยามอย่างที่สุด
หลิ่วฮุ่ยที่อยู่ข้างกายลู่เวยรู้สึกเหมือนถูกมองจนทะลุ เสียงหัวเราะของตู๋กูซิงหลันทำให้นางต้องหน้าชา ใจสั่นอยู่ลึกๆ
ตู๋กูซิงหลันขยับปลายนิ้ว ขณะที่ใจกลางฝ่ามือของนางกำลังปรากฏมุกมังกรขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีปี่พาทย์ดังมาจากด้านนอก
เสียงดนตรีเหล่านั้นแฝงความลึกลับอึมครึมบางอย่าง
ดวงตาของหลิ่วฮุ่ยแม่ลูกเปล่งประกายขึ้นมาในทันที
“มาแล้ว! พวกเขามาแล้ว!”
ลู่กว่างที่นอนพังพาบอยู่บนพื้นก็ตื่นเต้นขึ้นมาเช่นกัน…..ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง แต่ก็ยังคงไม่สาย กระดูกมังกรพึ่งถูกถอดออกมา ยังสามารถใส่กลับเข้าไปได้
คนของเผ่ามังกรทมิฬย่อมไม่มีทางมองดูเขาที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ญาติ’ ถูกรังแกอย่างแน่นอน
มิเช่นนั้นนั่นมิเท่ากับว่าตบหน้าพวกเขาหรอกหรือ?
“รีบไปจากที่นี่!” พอรู้สึกถึงความอึมครึมที่กำลังเคลื่อนเข้ามา สีหน้าของชือหลีก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่ นางหันไปบอกกับตู๋กูซิงหลันว่า “พวกเขาไม่ใช่คนที่เจ้าจะไปหาเรื่องได้!”
เผ่ามังกรทมิฬ…..ถือเป็นอันดับหนึ่งเหนือเผ่ามังกรทั้งสี่ทะเล ในหกภพภูมิล้วนสามารถทำให้ทุกผู้คนบังเกิดความหวาดผวา
ตอนที่ยังเล็กยามเมื่อนางดื้อดึง มารดาจะยกเผ่ามังกรทมิฬมาขู่นาง
ทุกครั้งที่ได้ยินหลายคำนั้น นางล้วนกลัวจนต้องยอมเชื่อฟังแต่โดยดี
กลัวว่าจะถูกจับไปยังทะเลไร้ก้น กลายเป็นอาหารของเผ่ามังกรทมิฬ
ความกลัวที่ฝังอยู่ในใจนี้แม้ผ่านไปแล้วหลายปีก็ยังไม่จางหาย
หลายปีมานี้ เผ่ามังกรทมิฬที่ถูกกักขังเอาไว้ใต้ก้นทะเลลึกเริ่มเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมาบ้างแล้ว…..
เดิมทีนางกำลังจะถูกลู่กว่างส่งไปแต่งงานเป็นอนุของไท่จื่อ (รัชทายาท)ของเผ่ามังกรทมิฬ ครั้งนี้ถึงแม้ว่าจะมิใช่ไท่จื่อเผ่ามังกรทมิฬเสด็จมาด้วยตนเอง แต่ว่าคนของเผ่ามังกรทมิฬที่มารับตัวแม้แต่ลู่กว่างก็ยังไม่อาจเทียบชั้นได้
ที่จริงแล้ว…..เผ่ามังกรทั้งสี่ทะเลและเผ่ามังกรทมิฬมิใช่ฝ่ายเดียวกันด้วยซ้ำ
เผ่ามังกรทมิฬนั้น…..คือเผ่าที่มีความสามารถจะต่อกรกับเหล่าทวยเทพเบื้องบนได้
“เฮอะ เฮอะ ตอนนี้รู้จักเกรงกลัวบ้างแล้วหรือ? สายไปแล้วละ!” ลู่เวยหัวเราะเสียเย็นออกมา นางรู้ว่าเช่นนี้เรียกว่าอะไร?
คืนสนอง!
ถึงแม้ว่าพวกนางจะสู้เผ่ามนุษย์ผู้นั้นไม่ได้ แต่ว่าคนของเผ่ามังกรทมิฬสมควรทำได้กระมั้ง?
ตู๋กูซิงหลันมิใช่คนที่หลบหนีง่ายๆ นางแบกดาบยักษ์เอาไว้บนบ่า ยืนอยู่บนลานกลางตำหนัก มองออกไปด้านนอก
พอมองออกไป สิ่งแรกที่ได้เห็นก็คือดวงตาสีครามคู่หนึ่ง
เป็นดวงตารูปดอกท้อเหมือนกับนาง เพียงแต่นัยตาต่างสีกัน
นัยตาที่ดูลึกล้ำดั่งอัญมณีใต้ทะเล ขนตาเป็นแพคมชัด ดวงตาของนางเหมือนดังท้องทะเลกว้าง
อีกฝ่ายก็มองมาที่นางเช่นกัน
พอดวงตาสีครามคู่นั้นหรี่ลงน้อยๆ ก็เหาะจากลานด้านนอกเข้ามาข้างในโดยทันที
ชุดสีครามตลอดร่างพลิ้วไหวราวโบยบิน เส้นผมเป็นลอนยาวตามธรรมชาติอย่างผ่านการดัดงอสยายยาวอยู่ด้านหลัง ราวกับสาหร่ายน้ำที่กำลังเริงระบำ
บนศีรษะนั้นมีรัดเกล้าสีเงินชิ้นเดียว
และเพราะอยู่ใต้ท้องทะเลลึกมานานปี โดยมิได้พบกับแสงแดด ผิวพรรณของนางจึงขาวสะอาดดุจหยกมันแพะ ทั้งยังแวววาว
นี่เป็นสุดยอดโฉมงามผู้หนึ่ง!
ดูจากภายนอกคล้ายจะมีอายุไม่ต่างจากตู๋กูซิงหลันเท่าใด นัยตาคู่นัยก็คล้ายคลึงกับนางมา ผิดแต่คละสีเท่านั้น
ที่ด้านหลังของนาง มีแมงกระพรุนสีน้ำเงินขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ด้านหลังของเจ้าแมงกระพรุนมีเผ่ามังกรสวมเกราะสิบกว่าคนติดตามมาด้วย
แต่ละคนล้วนมีไอทมิฬในร่างอย่างเข้มข้น
ชาวมังกรที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดนั้น ถือเปลือกหอยสีดำตัวหนึ่งเอาไว้ในมือ
ถึงแม้ว่าจะยืนอยู่ห่างกันช่วงหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกได้ถึงขุมพลังอันแข็งแกร่งที่กำจายของมาจากเปลือกหอยนั้น
ยามที่ได้เห็นสาวน้อยในชุดสีครามตลอดร่างผู้นั้น แม้แต่ตู๋กูเจวี๋ยก็ยังตะลึงไป ดวงตาของนางกับน้องเล็กช่าง…….คล้ายคลึงกันเกินไปแล้ว
หากไม่นับสีสันที่ต่างกัน เพียงมองดูเฉพาะดวงตาของคนทั้งสอง เกรงว่าแม้แต่เขาที่เป็นพี่ชายก็อาจจะแยกแยะไม่ถูกก็เป็นได้
สาวน้อยผู้นั้นเหาะลงมาตรงหน้าของตู๋กูซิงหลันอย่างช้าๆ ดวงตาที่สงบนิ่งคู่นั้นกวาดมองดูสถานการณ์โดยรอบเบื้องหน้า สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างของลู่กว่างที่นอนครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่บนพื้น
“เจ้าสาวอยู่ที่ใด?”
นางมิได้ไต่ถามว่าที่นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นด้วยซ้ำ!
ลู่กว่างตะลึงไปเล็กน้อย “คนที่สวมใส่ชุดสีแดงนั่นคือบุตรสาวของข้า…..”
เขาถูกถอดกระดูกมังกรออกไปแล้ว ร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหว เพียงแต่เมื่อสาวน้อยผู้นั้นเอ่ยปากขึ้นมา ก็เกิดแรงกดดันบางอย่างที่เขาไม่อาจฝืนทนอยู่ได้
ตู๋กูเจวี๋ยตัดสินใจปกป้องชือหลีเอาไว้ที่ด้านหลัง เขามีความรู้สึกว่า สาวน้อยผู้นี้ไม่ควรไปหาเรื่องด้วย
ไม่แน่ว่านางอาจจะเป็นคนประเภทเดียวกับน้องเล็ก
ทันทีที่ลู่กว่างเอ่ยขึ้นมา ก็เห็นสายตาของสาวน้อยผู้นั้นหันกลับไปหยุดมองอยู่บนร่างของตู๋กูซิงหลันใหม่อีกครั้ง
นางเองก็สวมใส่ชุดสีแดงเช่นกัน
หัวคิ้วของนางขมวดน้อยๆ นัยตาเป็นประกายเย็นชาจนผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้
ได้ยินมานานว่า บุตรสาวของราชามังกรตะวันตกงดงามอย่างยิ่ง ดังนั้นหลังจากเลือกเฟ้นไปมาอยู่นาน จึงได้ตัดสินใจเลือกตระกูลของพวกเขา
นี่ยังงดงามกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้มากนัก
แต่ตลอดทั้งร่างมีแต่เลือด
นางไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระ โบกมือขึ้นมา ก็เห็นชาวเผ่ามังกรที่อยู่ด้านหลังส่งเปลือกหอยสีดำนั้นมาที่เบื้องหน้าของลู่กว่าง ด้านในมีไข่มุกวิญญาณที่มีพลังของเผ่ามังกรทมิฬ
“สิ่งของมอบให้เจ้า คนพวกเราจะพาไปแล้ว”
สาวน้อยกล่าวเสียเข้ม คล้ายไม่ได้แปลกใจเลยสักนิดว่าผู้ที่เป็นถึงราชามังกรทะเลตะวันตกทำไมถึงได้ถูกคนเลาะกระดูกออกไป
ทันทีที่พูดจบ ชาวมังกรที่สวมใส่เกราะหลายคนนั้นก็ขยับเข้ามาที่ด้านหน้าตู๋กูซิงหลัน
“พวกเจ้าพาไปผิดคนแล้ว!” ลู่เวยที่อยู่ด้านข้างตะโกนออกมาอย่างรีบร้อน “นางเป็นคนเผ่ามนุษย์ที่ต่ำต้อย เจ้าสาวคือน้องสาวของข้าชือหลี นางอยู่ที่นั่น!”
ขณะที่พูดออกไปนางก็ยกมือขึ้นมาอย่างกินแรง ชี้ไปยังชือหลีที่ถูกตู๋กูเจวี๋ยปกป้องเอาไว้ด้านหลัง
“ท่านผู้ที่มารับเจ้าสาว…..ท่านคงไม่รู้ บุตรสาวของข้านิสัยดื้อรั้น นางไม่เต็มใจแต่งไปเป็นอนุขององค์ไท่จื่อ เห็นหรือไม่ ถึงได้ไปร่วมมือกับคนนอกมาบุกทำลายวังมังกร ทั้งยังถอดกระดูกของบิดาตนเองออกมา…..แม้แต่น้องสาวแท้ๆของตนเองก็ยังถูกทุบตีจนเกือบตาย ทั้งยังแย่งชิงศาสตราวุธที่สำคัญเท่าชีวิตของนางไป”
หลิ่วฮุ่ยรีบเอ่ยแทรกขึ้นมา นางลุกขึ้นยืน ในเมื่อมีผู้รับตัวจากเผ่ามังกรทมิฬมาแล้ว นางก็ชักจะมีความกล้าขึ้นมา
นางพลิกเรื่องราวกลับขาวเป็นดำเติมน้ำมันราดพริกลงไปอย่างเต็มที่ จากนั้นก็หลั่งน้ำตาออกมา “องค์ไท่จื่อพอพระทัยในบุตรสาวของพวกเรา ก็ถือเป็นวาสนาของนาง แต่ใครจะไปคิดว่านางจะก่อคดีเช่นนี้ขึ้นมากัน?”
……………………….
ตอนต่อไป “มองผิด เห็นตาปลาเป็นไข่มุก”