“เราไม่ได้ทำเพื่อซื้อใจตระกูลตู๋กู”
จีเฉวียนทรงทราบดีว่าในสายตาของคนตระกูลตู๋กูนั้นพระองค์เองทรงเป็นคนที่เจ้าแผนการมาแต่ไหนแต่ไร
ไม่เพียงแต่ตู๋กูถิงที่คิดเช่นนี้ คนทั่วทั้งแผ่นดินต่างก็คิดเช่นนี้
ก่อนหน้านี้พระองค์มิได้ใส่พระทัย แต่ว่าตอนนี้ถึงแม้ว่าจะเปิดเผยความในใจออกไปแล้ว ก็ยังคงถูกเข้าใจผิดเช่นนี้อยู่ดี
ราวกับว่าคนทั่วทั้งใต้หล้าต่างไม่เคยเชื่อถือพระองค์
“เฮอะ….” ตู๋กูถิงหัวเราะออกมาเบาๆ “ฝ่าบาท พระองค์ยังทรงเป็นคนหนุ่มแน่น กระหม่อมนั้นเคยเห็นกลอุบายในโลกนี้มามากแล้ว พบหน้าก็รักจากแล้วก็จบ หากว่าฝ่าบาทจะทรงอาศัยเพียงแค่คำพูดว่าโปรดเพียงคำเดียวก็สามารถขอหลานสาวของกระหม่อมไป พระองค์ก็ทรงมองเรื่องนี้อย่างง่ายดายเกินไปแล้ว”
“ยังไม่ต้องพูดถึงว่าดวงใจของบ้านเรามิได้ยอมรับพระองค์ด้วยซ้ำ หากถอยออกมาคุยกัน ต่อให้นางยอมรับพระองค์ ด้วยสถานะของพระองค์และนางจะบอกกล่าวกับผู้คนใต้หล้าว่าอย่างไร?”
“พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ ต่อให้ทรงกระทำเรื่องที่ผิดต่อฟ้าดินเพียงไร ผู้คนก็ยังไม่บังอาจถือโทษกับฝ่าบาทได้ พวกเขาได้แต่พากันมาลงที่ดวงใจของกระหม่อม ด่าว่านางไม่รักษาขนบธรรมเนียม ล่อลวงคนแก่ไปแล้วยังไม่พอ ยังจะมาคว้าเอาคนหนุ่มไปอีก”
“พระองค์ก็ทรงทราบดี คำพูดของคนเรานั้นแสนน่ากลัว ในโลกนี้ใช่จะมีแต่เพียงมีดดาบที่ฆ่าคนได้ คำพูดของคนก็เช่นเดียวกัน พระองค์จะทรงให้นางที่เป็นเพียงเด็กสาวตัวน้อย ไปเผชิญกับคลื่นลมที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้อย่างไร?”
“เพียงแค่คำว่าชอบเพียงคำเดียวของฝ่าบาท? นางก็ต้องเสียสละมากมายถึงเพียงนั้น แถมยังไม่อาจรับประกันได้ว่าความโปรดปรานของพระองค์นั้นจะจริงจัง จะทรงเปลี่ยนพระทัยในภายหลังหรือไม่?”
“มนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนที่สุด ยามรักนั้นก็บอกว่าจริง ยามไม่รักก็บอกว่าจริงเช่นกัน ผู้ใดก็ไม่อาจบอกได้ว่าจะผิดหรือถูก”
“กระหม่อมมีหลานสาวเพียงแค่คนเดียว ตอนที่ตามใจปล่อยให้นางอภิเษกกับอดีตฮ่องเต้ ที่จริงก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของกระหม่อมแล้ว แล้วนี่ยังจะให้ปล่อยนางเข้าไปในตาข่ายความรักของฝ่าบาทอีก? กระหม่อมมิได้โง่เขลาถึงเพียงนั้น?”
ตู๋กูถิงจะอย่างไรก็เป็นคนที่ผ่านประสบการณ์มามาก มองเห็นอะไรอย่างทะลุปรุโปร่ง
ทุกคำพูดที่เขากล่าวออกไป ล้วนแล้วแต่เป็นการไตร่ตรองเพื่อหลานสาวสุดที่รักทั้งนั้น
“ในเมื่อฝ่าบาททรงเปิดพระทัยรับสั่งกับกระหม่อม เช่นนั้นกระหม่อมก็ขอกราบทูลกับฝ่าบาทอย่างชัดเจน”
ตู๋กูถิงนั่งลง ซดน้ำในขนมหวานกลั้วคอคำหนึ่ง “ตัวกระหม่อมตู๋กูถิงมีสตรีที่รักที่สุดในชีวิต ก็คือฮูหยินที่จากไปแล้ว สตรีที่ห่วงใยที่สุด ก็คือหลันหลัน ตอนนั้นที่นางต้องการจะแต่งให้อดีตฮ่องเต้ เป็นการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของนางเอง กระหม่อมรั้งไม่อยู่ ก็ได้แต่ต้องปล่อยตามใจนาง”
“ไม่ใช่เพราะว่าตระกูลตู๋กูของกระหม่อมต้องการจะเกี่ยวข้องกับราชวงศ์จึงได้ให้นางแต่งเข้าไปอย่างเด็ดขาด”
“ต่อมาพอเกิดเรื่องที่ใครก็ไม่คาดคิดเช่นนั้นขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นการตัดจบปัญหาไปประการหนึ่ง เพื่อหลันหลัน อ๋องเช่นกระหม่อมสามารถสละกองทัพครึ่งหนึ่งออกไป หรือต่อให้เป็นทั้งหมดของตระกูลตู๋กูหากฝ่าบาทมีพระประสงค์ก็ล้วนสามารถนำไปได้ทั้งหมด”
“กระหม่อมเพียงของให้ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยให้ชัดเจน หลันหลันคือคนที่ตระกูลตู๋กูของเราโอบอุ้มเอาไว้ด้วยความรักถนอมอย่างที่สุด หากนางประสงค์สิ่งใดต่อให้พวกเราต้องสละชีวิตลงไปก็ต้องทำให้นางสมปรารถนาให้จงได้ ยกเว้นเสียแต่ความโปรดปรานของฝ่าบาทเท่านั้น”
จีเฉวียนมิได้ขัดขวางคำพูดของตู๋กูถิง
สำหรับพระองค์แล้ว ซิงซิงสามารถมีผู้อาวุโสที่รักใคร่นางถึงเพียงนี้ พระองค์ก็ทรงปลาบปลื้มพระทัยอย่างยิ่งแล้ว
นางสมควรจะเกิดมาเพื่อเป็นบุคคลที่ถูกทนุถนอมเอาไว้ในมืออยู่แล้ว
มีคนรักนางเพิ่มขึ้นอีกคน พระองค์ย่อมมีแต่จะดีพระทัย
เพียงแต่ว่าพระองค์มิได้ทรงเห็นด้วยกับตู๋กูถิง “สิ่งที่ท่านผู้เฒ่ากังวลใจ เราเองก็เคยคิดดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ขอเพียงถึงวันที่นางยินยอมพยักหน้ารับเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเราจะจัดการจนเรียบร้อยเอง”
“ใต้หล้านี้จะไม่มีผู้ใดตำหนินางได้แม้แต่ครึ่งคำ”
หากจะด่าว่า…….ก็ให้พุ่งมาที่พระองค์เพียงผู้เดียว
เป็นมหาราชก็ดี ทรราชก็ช่าง เพื่อนางแล้วพระองค์ไม่สนพระทัยว่าจะต้องเป็นคนเช่นไรทั้งนั้น
“ฝ่าบาท คำพูดสวยหรูมิว่าผู้ใดก็ล้วนสามารถกล่าวออกมาได้ จริงอยู่ที่ไม่อาจปฏิเสธว่าที่ทรงตรัสออกมานั้นช่างน่าดึงดูดใจผู้คน เพียงแต่นั่นก็เป็นแค่เพียงคำพูดลอยๆเท่านั้น”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ขอทรงอนุญาตให้กระหม่อมทูลถามอย่างอุกอาจ แคว้นเหยียน ทรงต้องการให้กระหม่อมนำมาถวายพระองค์ใช่หรือไม่?”
จีเฉวียนนิ่งเงียบไป ฮ่องเต้ชราของแคว้นเหยียนพระพลานามัยย่ำแย่จนจะไม่ไหวอยู่แล้ว รัชทายาทของแคว้นเหยียนก็เสียพระเพลาไปตอนที่อยู่ในแคว้นเซอปี่ซือ
เหยียนเฉียวหลัวพระธิดาที่ทรงโปรดปรานมากที่สุดก็ตายไปแล้ว องค์ชายเจ็ดของแคว้นเหยียนก็เป็นคนที่จิตใจทะเยอทะยาน
ตอนนี้ทั่วทั้งแคว้นเหยียนตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างที่สุด
สามารถกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะโจมตีแคว้นเหยียน
แต่ว่าอูฐที่ผ่ายผอมจะอย่างไรก็ยังใหญ่กว่าม้า แคว้นเหยียนถือเป็นอันดับหนึ่งในสามแคว้นใหญ่ หากคิดว่าจะได้มาอย่างง่ายๆนั้นคงไม่มีทาง
จีเฉวียนทรงต้องการแม่ทัพออกศึก และตระกูลตู๋กูก็คือตัวเลือกที่ดีที่สุด
หากว่าตอนนี้ตู๋กูถิงนำทัพตระกูลตู๋กูออกไป คาดว่าไม่ถึงหนึ่งปี ก็สามารถกำราบแคว้นเหยียนเอาไว้ได้
แต่หากพระองค์ทรงส่งแม่ทัพท่านอื่นออกไปก็คงไม่แน่นัก
ดังนั้นเมื่อตู๋กูถิงทูลถามคำถามนี้ออกมา จีเฉวียนก็ทรงถึงกับตรัสตอบไม่ถูกไปชั่วขณะ
ตู๋กูซิงหลันแทะขาหมูจนหมดจานไปแล้ว ตอนนี้ถึงกับตักขนมหวานตรงหน้าขึ้นมาซด จากนั้นก็ค่อยเหลือบตามองดูจีเฉวียนอยู่ตลอดเวลา
งานนี้พ่อลูกชายฮ่องเต้ได้เจอกับคู่ปรับแล้วจริงๆ ถูกดักคอเสียจนยากลำบากเข้าแล้ว
ขนมหวานถ้วยนี้ นางขอยกถ้วยให้กับท่านผู้เฒ่า เพื่อเป็นการแสดงความเคารพที่สามารถเผชิญหน้ากับจีเฉวียนได้อย่างตรงไปตรงมา ช่างสมกับเป็นวีรบุรุษจริงๆ
“ฝ่าบาทมิทรงตรัสอะไรแสดงว่าทรงยอมรับสินะ” ตู๋กูถิงกะเอาไว้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ “เห็นไหมเล่า คำพูดที่ออกจากปาก กับการกระทำนั้น มันเป็นคนละเรื่องกัน ดังนั้นที่ฝ่าบาททรงรับสั่งออกมานั้น ต่อไปก็ทรงอย่าได้พูดถึงมันอีกเลยจะดีกว่า”
“ฝ่าบาทไม่จำเป็นจะต้องเสียพละกำลังไปกับหลันหลัน พวกเราตระกูลตู๋กูก็ยินดีที่จะบุกตะวันออกกวาดทิศเหนือให้กับฝ่าบาทอยู่แล้ว”
ตู๋กูถิงพูดจบแล้ว ก็ยกถ้วยขนมหวานขึ้นดื่มจนหมดถ้วย ด้วยกริยาประหนึ่งกำลังดื่มเหล้าชามโตในครั้งเดียว
คราวนี้ เขาถึงค่อยหันกลับมาคีบผักใส่ชามของตู๋กูซิงหลันอย่างสงบนิ่งอีกครั้ง “ดวงใจของปู่ อย่าได้เอาแต่กินเนื้อ เจ้าต้องกินผักด้วย มิเช่นนั้นจะเจ็บป่วยได้ง่าย”
ตู๋กูซิงหลัน “ท่านปู่ ข้าชอบกินแต่เนื้อนี่นา”
โดยเฉพาะขาหมูที่เปี่ยมนุ่มชุ่มปากเหล่านั้น
“ถึงอย่างนั้นก็ต้องกินผัก ระวังเถอะวันๆกินแต่เนื้อ กินจนกลายเป็นคนอวบอ้วนขึ้นมา ถึงตอนนั้นเจ้าจะไม่ใช่โฉมงามอันดับหนึ่งของต้าโจวแล้ว”
ท่านปู่และหลานพูดคุยกันอย่างสนิทสนมกลมเกลียว
ฉากนี้ย่อมอยู่ในสายตาของสองพี่ชายตระกูลตู๋กูอยู่แล้ว
ดูเอาเถอะ ถึงอย่างไรขิงแก่ก็ยังเผ็ดกว่า
ว่ากันตามจริงแล้ว ท่านผู้เฒ่าไม่เพียงแต่ถนัดนำทัพจับศึกเท่านั้น ฝีปากก็ยังเป็นหนึ่งไม่มีสองอีกด้วย ทำเอาฮ่องเต้ทรงกลายเป็นใบ้รับสั่งอะไรไม่ออกอีกเลย
นี่มิใช่ว่าพูดแทงใจพระองค์จนหมดหนทางจะแก้ต่างหรือไร?
น่าเสียดายที่ตู๋กูเจวี๋ยยังเคยคิดไปว่าพระองค์ทรงชอบน้องเล็กจริงๆเสียอีก
เขารู้สึกว่าหมดสนุกเสียแล้ว เขาปล่อยชายแขนเสื้อของตู๋กูจุน หันมายกชามข้าวของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง
ท่ามกลางอาหารเลิศรสเต็มโต๊ะ ยังคงเป็นข้าวเปล่ากับผักดองที่อร่อยที่สุด แล้วก็เติมซีอิ้วกับพริกเสียหน่อย อืม….กินข้าวสามชามสบายๆ
ตอนนี้ ฮ่องเต้ยังคงประทับยืนอยู่เลย
พระองค์ทรงชะงักงันไปชั่วครู่ ค่อยหันกลับมาประทับนั่งลงที่ข้างกายตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง พลางฉวยมือของนางขึ้นมา จดจ้องนางอย่างจริงจัง “ซิงซิง เจ้าจะรอเราครึ่งปีได้หรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลัน “ฝ่าบาท อยู่ดีๆตรัสเรื่องนี้ทำไมหรือเพคะ?”
ตอนนี้นางก็ยังกลับไปโลกปัจจุบันไม่ได้ ย่อมต้องอยู่ในวังไปก่อนอยู่แล้วนี่?
“เราจะไปปราบแคว้นเหยียนด้วยตนเอง อาจต้องใช้เวลาครึ่งปี เราเกรงว่าครึ่งปีที่เราไม่อยู่นั้น จะถูกคนอื่นมาชิงตัวเจ้าไป”
ขาของนางก็ยังไม่หายดี แล้วพระองค์จะทำพระทัยแข็งพานางไปสนามรบด้วยได้อย่างไร?”
แต่ต่อให้สองขาหายดีแล้ว พระองค์ก็ยังหักพระทัยไม่ได้อยู่ดี
นางสมควรจะได้อยู่อย่างสุขสบายในเมืองหลวง ใช้ชีวิตเหมือนดั่งตัวมอดในกองข้าว ไหนเลยจะไปเผชิญกับกองโลหิตในสยามรบ ทรมานกับความทุกข์ยากได้กัน?
——
ไรท์ : ท่านปู่สมกับเป็นระดับตำนานจริงๆ มาช้า แต่ว่าเด็ดดวงทุกประโยค
ตอนต่อไป “ซิงซิงหวานพออยู่แล้ว”