แต่พอถึงคราวที่เป็นตู๋กูซิงหลัน…..พระองค์ถึงได้ทรงพบว่าที่แท้แล้วพระทัยของพระองค์สามารถแผ่กว้างได้ถึงเพียงนี้
พระองค์รักนาง มิว่าสิ่งใดที่มาจากนางก็สามารถยอมรับได้
ไม่อาจปกป้องนางให้ดี นี่เป็นความผิดของพระองค์เอง
“เราจะรับผิดชอบเอง จะดูแลเจ้าอย่างดีไปชั่วชีวิต” จีเฉวียนคว้ามือของนางเอาไว้ สายพระเนตรจับจ้องใบหน้าของนางแลเลยไปถึงท้องของนาง
ถึงแม้ว่าพระองค์คงไม่อาจทำดีกับเด็กคนนี้เสมอเหมือนเป็นบุตรแท้ๆ ของพระองค์เองได้ …..แต่ก็จะไม่ทำร้ายเขา
นี่ถือว่าเป็นขอบเขตที่สุดของพระองค์แล้ว
ที่จริงแล้ว……มีอยู่ชั่วแวบหนึ่ง ที่พระองค์ทรงคิดจะให้นางกำจัดเด็กคนนี้ทิ้งไป
แต่หากทำเช่นนั้นก็เป็นการเห็นแก่ตัวจนเกินไป และยังเป็นการทำร้ายนาง เขาไหนเลยจะกล้าทำ
พระองค์ยินยอมรับความทุกข์นั้นเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ขอเพียงแค่ให้นางได้อยู่ดีเท่านั้น
ตู๋กูซิงหลันเองก็ถูกการแสดงออกที่เหนือความคาดหมายของจีเฉวียนทำเอาตกตะลึงไปแล้ว….เขากลับทนได้?
นี่เป็นเพียงแค่การรับปากลอยๆ ภายหลังค่อยหาทางจัดการเขาหรือไม่?
แต่เมื่อมองเห็นดวงเนตรที่มีแต่ความเจ็บปวดและต้องฝืนอดกลั้นเอาไว้ของจีเฉวียนแล้ว ก็ทำให้ความคิดนี้ของนางสลายหายไป
ที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง
เขาคิดจะยอมรับ ‘เด็กคนนี้’ เอาไว้จริงๆ?
เชี่ยเอ๊ย! มีเด็กกะผีน่ะสิ!
สองพี่ชายของตู๋กูซิงหลันเองก็มีสีหน้าไม่น่าดู ไม่น่าแปลกใจหากว่าพวกเขาจะคิดหาหนทางชั่วร้ายขึ้นมาบ้าง
ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลตู๋กูและจีเฉวียนก็ไม่ดีอยู่แล้ว พระองค์กลับใช้กำลังบีบบังคับกับน้องเล็ก ทั้งยังทำให้น้องเล็กตั้งครรภ์ นี่เท่ากับเป็นการจับมัดสองตระกูลเอาไว้ด้วยกัน
หมากตานี้ของจีเฉวียน เดินได้อย่างร้ายกาจ
ข้อนิ้วของตู๋กูจุนที่กุมดาบเล่มใหญ่เอาไว้ถึงกับซีดขาว
มือของตู๋กูซิงหลันถูกจีเฉวียนกุมเอาไว้จนแน่น นางย่อมรู้สึกได้ถึงความสั่นเทาที่เขาพยายามจะระงับเอาไว้
นางมองตรงเข้าไปก็เห็นว่าในดวงตาทั้งสองของเขามีละอองน้ำอยู่ชั้นหนึ่ง
สวรรค์โปรด! นี่เขากำลังร้องไห้หรือ?
ทั้งโกรธเกรี้ยว เสียใจและชอกช้ำ ทุกความรู้สึกนั้นพากันกดทับลงไปในพระทัยของจีเฉวียน พระองค์ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตนเองจะเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้
เรื่องใดก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตู๋กูซิงหลัน ล้วนสามารถสั่นคลอนพระองค์ได้ทั้งนั้น
ตู๋กูซิงหลันไหนเลยยังจะทนมองดูได้อีกต่อไป นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังเหล่าย่วนกล่าวว่า “ข้ายังมีร่างกายบริสุทธิ์ผุดผ่อง จะมีทารกได้อย่างไร?”
เหล่าย่วนผู้นี้อายุมากแล้ว สายตาก็ฟ่าฟาง สมองก็ไม่ค่อยแจ่มใส
เมื่อครู่พอได้ยินผู้คนทั้งหลายร้องเรียกว่าไทเฮาอยู่ทุกคำ….เขาถึงได้รู้ว่าตนเองชนตอเข้าแล้ว
ไอ้พวกลูกกระต่ายในสำนักหมอหลวงพวกนั้นวางหลุมพรางดักเขา!
นี่มันใช่พระสนมคนโปรดที่ไหนกัน นี่มันพระมารดาของฝ่าบาทชัดๆ!
เหล่าย่วนตกใจจนแทบจะฉี่ราดออกมาในทันที เขารีบโขกศีรษะกับพื้นอย่างสั่นเทา ลนลานตอบว่า “ไทเฮาพะยะค่ะ กระหม่อมอายุมากแล้ว สายตาฝ้าฟาง..บางที….อาจจะจับชีพจรไม่ถูก…..”
เนื่องเพราะอายุมากแล้ว ความสามารถในการจับชีพจรของเขาจึงไม่ค่อยจะได้เรื่อง….
เมื่อครู่เขาคิดแต่จะเอาความชอบ กลับกลายเป็นทำให้ตนเองพลัดตกลงไปในหลุมพราง
“ขอทรงอนุญาตให้กระหม่อมตรวจดูไทเฮาใหม่อีกครั้ง” เหล่าย่วนวิงวอนอย่างน่าสงสาร
ตู๋กูซิงหลันกลับไม่ยอมเชื่อถือเขาแล้ว นางกระตุกชายเสื้อของจีเฉวียน “ยังคงให้หมอหลวงซุนมาตรวจดีกว่าเพคะ”
ในวังหลวงนี้ หมอหลวงที่ตู๋กูซิงหลันคุ้นเคยยังคงเป็นหมอหลวงซุน
“ตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่คนต้มยา ไหนเลยจะเหมาะสมกับการมาจับชีพจรถวาย…” เหล่าย่วนไม่เพียงชราแต่ยังดื้อรั้น ตนเองมีดาบพาดคออยู่แล้ว ยังจะไปเคร่งครัดเอากับเรื่องพวกนี้อีก
จีเฉวียนไม่สนพระทัยเขา หันไปสั่งให้หลี่กงกงไปเรียกซุนต้มยามาเข้าเฝ้า
ซุนต้มยาเองก็หัวใจตุ๊มๆ ต่อมๆ มาตลอดทาง เขาถูกลงโทษไปเป็นคนต้มยาแล้ว หากว่าเกิดความผิดพลาดใดอีก เกรงว่าต่อไปแม้แต่อาชีพเลี้ยงปากท้องก็คงไม่มีแล้ว ได้แต่ต้องกลับบ้านไปขอข้าวจากภรรยาเท่านั้น
พอมาถึงตำหนักเฟิ่งหมิง เห็นสีหน้าของผู้คนในตำหนัก ในใจของซุนต้มยาก็ต้องสั่นสะท้าน
“จับชีพจรถวายไทเฮา” จีเฉวียนไม่เอ่ยนำ ก็มีรับสั่งออกไปในทันที
ซุนต้มยาได้แต่จับชีพจรถวายด้วยความระมัดระวัง ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสลงไปตนเองก็ต้องตกใจแทบกระโดด
เขาหันไปมองดูตู๋กูซิงหลันด้วยความประหลาดใจครั้งหนึ่ง …ชีพจรแบบนี้คล้ายกับจะเป็นการตั้งครรภ์แล้ว?
ฝ่าบาททรงลงมือรวดเร็วถึงเพียงนี้?
ประหลาดแล้ว!
สายตาของเขาทำเอาตู๋กูซิงหลันตื่นตระหนกขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันได้แต่จ้องตาเขากลับไป
ก่อนหน้านี้ซุนต้มยารับเคราะห์ยากลำบากไปไม่น้อย เขาย่อมไม่กล้าเอ่ยวาจามั่วซั่ว
เขาจับชีพจรอย่างละเอียด จังหวะของชีพจรนี้ ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นชีพจรมงคลอย่างคนที่ตั้งครรภ์ แต่พอสัมผัสดูให้ละเอียดกลับไม่ใช่
ชีพจรไหลลื่นเสมือนไข่มุกบนถาด แต่ในร่างคล้ายจะมีขุมพลังบางอย่างทะลวงเส้นชีพจรและช่องโพรง
เขาศึกษาวิชาแพทย์มานานหลายปี แต่ก็ไม่เคยได้พบเจออาการเช่นนี้มาก่อน แต่ที่สามารถบอกได้อย่างมั่นใจก็คือไม่ใช่การตั้งครรภ์อย่างแน่นนอน
ผ่านไปพักใหญ่ซุนต้มยาถึงได้เก็บมือกลับมา หันไปถวายบังคมจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน ทูลว่า “ช่วงนี้ไทเฮาอาจทรงได้รับการบำรุงมากจนเกินไป ร่างกายรับไม่ไหว เกิดความอึดอัดแน่นอยู่ภายในร่างกาย ดังนั้นจึงเกิดผลกระทบกระเทือนถึงชีพจร”
“กระหม่อมขอให้ฝ่าบาท พระสนมและขุนนางทุกท่านอย่าได้บังคับให้ไทเฮาทรงเสวยมากจนเกินไป บำรุงเกินควรก็มิใช่เรื่องดี”
คราวนี้ ผู้คนทั้งหลายถึงได้ถอนหายใจออกมาได้อย่างโล่งอก
“น้องเล็กตั้งครรภ์หรือไม่?” สองพี่ชายตระกูลตู๋กูยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด ด้วยเกรงว่าซุนต้มยาจะกล่าวเลื่อนเปื้อนไป
ซุนต้มยารีบส่ายศีรษะ “ตั้งครรภ์นั้นเป็นไปไม่ได้ ….พระนางยังทรงเป็นเพียงสาวน้อย ที่ร่างกายยังไม่ได้เติบโตเต็มที่”
ตู๋กูซิงหลันเองก็ถอนใจออกมา “ก็ใช่แล้ว เราดูแลรักษาตนประดุจหยกตลอดมา ไม่คิดจะเพิ่มเติมขนิษฐาหรืออนุชาให้ฝ่าบาทหรอก”
หลายวันมานี้นางเองก็รู้สึกว่าร่างกายผิดปกติอยู่บ้าง คงจะเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้จีเฉวียนทรงถ่ายพลังหยินให้กับนางมากจนเกินไป
คลื่นพลังที่แฝงด้วยไอหยินเหล่านั้น พอซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของนางแล้ว ก็ค่อยๆ ทำให้โครงกระดูกของนางเกิดความเปลี่ยนแปลงไป
ถึงแม้ว่านางจะยังคงขาพิการ แต่ก็รู้สึกได้ว่าภายในร่างกายมีขุมพลังที่ใช้ได้ไม่มีหมด
ความรู้สึกเช่นนี้ คงจะเป็นเพราะกล้ามเนื้อในร่างกายเกิดการเติบโตกระมัง
เหล่าย่วนนั่นถึงกับตาค้างไปแล้ว เขาคุกเข่าอยู่ข้างหนึ่งไม่กล้าแม้แต่จะผายลมออกมา
“ย่วนสื่ออายุมากแล้ว ส่งกลับบ้านเกิดไปใช้ชีวิตยามชราเถอะไป” พระหัตถ์ของจีเฉวียนที่ยังคว้ามือของตู๋กูซิงหลันอีกข้างเอาไว้ยังคงสั่นน้อยๆ
พระองค์มีพระบัญชาออกไป ไม่เปิดโอกาสให้เหล่าย่วนได้กล่าววาจาใดๆ หลี่กงกงก็นำองครักษ์เข้ามาลากตัวคนออกไปทันที
“ซุนเชวี่ย นับจากวันนี้เป็นต้นไปเจ้าก็คือย่วนสื่อของสำนักแพทย์หลวง มีหน้าที่ดูแลรักษาพระวรกายของไทเฮาโดยเฉพาะ” ว่าแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงมีราชโองการแต่งตั้งออกมา
ซุนต้มยา “???” โชคหล่นทับลงมาอย่างรวดเร็วราวกับมังกรสะบัดหาง
นี่เขาหูฝาดไปหรือไม่?
เพียงครู่เดียวก็กระโจนจากเด็กต้มยาไปเป็นย่วนสื่อ?
การเลื่อนขั้นเช่นนี้เร็วเสียจนเขามึนงงไปหมดแล้ว
แต่พอได้สติคืนมา เขาก็ต้องรีบขอบคุณบรรพบุรุษของไทเฮาทั้งสิบแปดรุ่น ทั้งยังพยักหน้าติดๆ กัน “กระหม่อมจะต้องถวายการดูแลสุขภาพและพระวรกายของไทเฮาเป็นอย่างดี จะดูแลพระนางด้วยความเคารพเสมือนหนึ่งเป็นบรรพบุรุษของตนเอง”
จีเฉวียน “เพ้ย! เจ้าอย่าได้บังอาจมาเป็นลูกหลานของนาง”
ซุนเชวี่ย ถึงกับหน้าซีด
……………..
พอเรื่องเข้าใจผิดไปเองนี้จบไป ฮ่องเต้ก็ทรงไล่หยวนเฟยกับซูเม่ยกลับอย่างไม่สนพระทัย
จากนั้นก็พลิกสีหน้ามาเชิญพี่ชายทั้งสองของตู๋กูซิงหลันกลับอย่างเกรงอกเกรงใจ
องค์หญิงใหญ่นั้นรู้พระองค์ดี นางเป็นฝ่ายออกมาอำลาพาท่านหญิงน้อยกลับไปด้วยตนเอง
เชียนเชียนก็ออกไปเฝ้าที่ด้านนอก
เมื่อภายในห้องเหลือเพียงจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน บรรยากาศก็เงียบสงบจนแปลกประหลาด
จีเฉวียนจดจ้องมองดูนาง สายพระเนตรที่จ้องมองมาทำเอาตู๋กูซิงหลันขนลุกชันทั่วร่าง ในใจบังเกิดความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
ทันใดนั้นก็เห็นว่าจีเฉวียนกำลัง…..
…………………………….
ตอนต่อไป “อู๋เหนียงในตำนาน”