กลีบดอกไม้ปลิวใส่ใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน ส่งกลิ่นหอมจางๆ ทำให้คนรู้สึกสดชื่น
ชือหลียิ้มมองดูนาง “ในโลกนี้มิได้มีเพียงแผ่นดินแห่งนี้แห่งเดียว ยังมีดินแดนที่ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแออื่นๆ อีกมากมาย และไม่ได้มีแต่พวกมนุษย์ แต่ยังมีจิตวิญญาณภูติเทพผีปีศาจอื่นๆ อีกเยอะแยะ ต่างก็มีที่ทางของตนเองทั้งนั้น”
“ในหมู่มนุษย์ก็มีนักพรตที่ฝึกฝนจนเป็นเทพเซียน โบยบินขึ้นสู่สวรรค์” ชือหลีว่าต่อไป “ต่อให้เป็นเผ่ามังกรตะวันตก ก็ยังเป็นเพียงแค่มุมเล็กๆ ของใต้หล้าเท่านั้น ในใต้หล้าที่กว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้ ข้าผู้เป็นเทพกลับได้พบกับเจ้าอย่างบังเอิญ ก็ถือเป็นวาสนา ได้คบหาเจ้าเป็นสหาย”
คำว่าสหายสองคำนี้ ทำให้ชือหลีอยู่ๆ ก็คิดถึงคำพูดของตู๋กูเจวี๋ยขึ้นมา “มีสหายเพิ่มคนหนึ่งก็มีหนทางเพิ่มขึ้น มีพี่น้องเพิ่มคนหนึ่งก็มีครอบครัว”
จะว่าอย่างไรดี ตู๋กูซิงหลันผู้นี้ถือว่าควรค่าแก่การคบหาเป็นสหายได้อย่างแท้จริง
ไม่แน่ว่าอาจมีสักวันหนึ่ง ตนอาจจะได้ไปที่ท่องเที่ยวในโลกโน้นของนางบ้างก็ได้
คำพูดนี้ของชือหลี ได้เปิดประตูบานใหญ่ให้กับตู๋กูซิงหลัน นางเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่จะต้องเผชิญต่อไปในอนาคตนั้นไม่ใช่เพียงแค่โลกใบเล็กๆ นี้เท่านั้น
“โอรสสวรรค์ต้าโจวผู้นั้นก็มิใช่คนธรรมดา จึงไม่อาจจะคาดเดาได้เลยว่าต่อไปพวกเจ้าจะต้องเผชิญกับสิ่งใด สมควรถนอมวันเวลาตรงหน้าทุกวันเอาไว้ อยู่อย่างมีความสุขเถอะ” ชือหลีพูดพลางก็เลื้อยเสียงสวบสาบลงมาจากบนต้นไม้ ส่งไข่มุกสีฟ้าลูกใหญ่ลูกหนึ่งให้กับตู๋กูซิงหลัน “นี่คือไข่มุกมังกรแห่งทะเลตะวันตก ถือเป็นของขวัญจากลาให้เจ้าละกัน”
ไข่มุกลูกใหญ่ส่องประกายแสงสีฟ้างดงาม ภายในยังมีมังกรน้อยสีทองอยู่ตัวหนึ่ง งดงามน่าดูอย่างยิ่ง
ไข่มุกมังกรนี้ ถือเป็นสิ่งของล้ำค่าของเผ่ามังกร ชือหลีพอมอบของขวัญก็ให้สิ่งนี้กับนาง ตู๋กูซิงหลันถึงกับต้องตกตะลึงแล้ว
“ไข่มุกมังกรนี้เจ้าต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี อย่าเอาไปขายล่ะ” ชือหลีสั่งกำชับ “ภายหน้าพวกเราจะต้องได้พบกันอีก เผื่อว่าข้าจำเจ้าไม่ได้แล้ว อย่างไรเสียก็ยังจำไข่มุกมังกรนี้ได้”
พูดเสียเช่นนี้ใจของตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกหวิวๆ ขึ้นมา “การเดินทางไปเผ่ามังกรตะวันตกของเจ้า มันตรายมากเลยหรือ?”
มิเช่นนั้นไฉนจึงบอกได้ว่าคราวหน้าอาจจะไม่รู้จักกัน
ชือหลีเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก็ส่งยิ้มหวานให้กับนาง “หากว่าข้าเกิดตกในอันตรายจริงๆ เจ้าจะมาช่วยข้าหรือไม่?”
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ชือหลีนั้นคือคนงามอย่างแท้จริง
เส้นผมสีแดงดวงตาสีชาด งดงามอย่างหยิ่งทนง บนร่างยังเปล่งประกายเสน่ห์ที่น่าดึงดูดเป็นพิเศษบางอย่างออกมา
ตู๋กูซิงหลันเองก็หัวเราะออกมาแล้ว “หากว่าเจ้ากลายเป็นพี่สะใภ้รองของข้า ข้าก็จะลองคิดๆ ดูดีไหม?”
“เพ้ย” ชือหลีกรอกตาขาวใส่นาง “เจ้าพี่รองกระต่ายน้อยของเจ้า ไม่เข้าตาเราผู้เป็นเทพหรอก”
ใช่แล้ว….นางผ่านการผิดหวังในความรักมาครั้งหนึ่งแล้ว เกือบจะทำให้ตนเองถูกกลบฝังเสียด้วยซ้ำ ไหนเลยจะยอมทำตัวโง่เง่าไปแส่หาคนรักอีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ากระต่ายน้อยตู๋กูเจวี๋ยนั่นก็ยังปากมากเสียขนาดนั้น หากว่านางอยู่กับเขา มีหวังต้องรำคาญเขาจนตาย
“ไม่เข้าตาจริงๆ หรือ?” ตู๋กูซิงหลันจับจ้องมองดูนางด้วยสายตาหยาดเยิ้ม “พี่รองของข้าทั้งรูปงาม ผิวก็ขาว ขาก็ยาว ใสซื่อบริสุทธิ์ดั่งดอกฉูจวี๋ [1] …..”
“พอเถอะๆๆ สตรีเช่นเจ้าเนี่ยนะ ทำไมถึงได้ไม่รู้จักความเขินอายกับเขาบ้าง” ชือหลีสะบัดแขนเสื้อ “อยู่ดีๆ ก็ทำตัวเป็นยายแก่ นั่นนะเป็นพี่ชายของเจ้านะ มิใช่เด็กน้อยในบ้านที่เจ้าต้องไปคอยดูแล”
ดูท่าทางของตู๋กูซิงหลันสิ แตกต่างอะไรกับพวกย่ายายที่คอยนำเสนอจับคู่ลูกหลานในบ้าน
ตู๋กูซิงหลันเห็นนางหงุดหงิดจนอารมณ์เสีย ก็มิได้หยอกเย้านางอีก เพียงพูดว่า “เจ้าไม่ไปเมืองหลวงสักรอบเป็นเพื่อนข้าจริงๆ หรือ ไปเจอคนรู้จักเก่าๆ ก็ดีออกนะ?”
“ไม่ไป ไม่ไป” ในใจของชือหลีบังเกิดความลังเล แต่ปากกับแข็งขืน “คนบ้านเจ้าเป็นพวกปากมากสืบทอดมาแต่บรรพชนเสียจริงๆ ทำไมถึงได้ไปเหมือนกับพี่ชายของเจ้าเช่นนี้ พูดมากอยู่นั่น”
ตู๋กูซิงหลัน คิดดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตอบอย่างจริงจังว่า “พี่รองพูดเก่งกว่าข้าอยู่ชัดๆ”
ว่าแล้ว ก็จิ้มปลายหางของนางเล็กน้อย “หากว่าเจ้าไม่ไปเมืองหลวง แล้วมีอะไรอยากจะฝากข้าไปหรือไม่?”
“เจ้าอย่ามาทำเป็นพอได้เปรียบก็ชักจะเจ้าเล่ห์ขึ้นมา” ชือหลีดึงหางของตนเองกลับไป “ไข่มุกมังกรตะวันตกก็ให้เจ้าไปแล้ว ยังคิดจะเอาอะไรอีก เป็นคนอย่าได้โลภมากนัก”
สตรีผู้นี้ช่างละโมบเสียจนผู้คนต้องหงุดหงิด
นางทางหนึ่งพูดไปทางหนึ่งก็ดึงเกล็ดงูชิ้นหนึ่งออกมา “ให้พี่ชายเจ้าไปเสีย บอกให้เขาวาดภาพข้าให้ดีๆ หน่อย หางของข้าเป็นสีเขียวเหลื่อมพรายที่งดงาม ไหนเลยจะเป็นสีน่าเกลียดเหมือนที่เขาวาดออกมากัน”
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะพลางเก็บเอาไว้ ขณะที่นางคิดจะพูดอะไรกับชือหลีต่ออีกสักหน่อย ก็ได้ยินเสียงนางเลื้อยสวบสาบขึ้นไปบนต้นไม้ ปีนกำแพงออกไป เพียงแวบเดียวก็จากไปโดยไม่เหลือเงาอีก
“ภูเขายังเขียวขจีสายน้ำยังรินไหล พวกเราจะต้องได้พบกันอีก”
เสียงของชือหลีลอยมาในยามค่ำ สะท้อนกลับไปกลับมาในอากาศ
ตู๋กูซิงหลันถือเกล็ดสีเขียวที่งดงามแผ่นนั้นเอาไว้ ริมฝีปากแดงขยับยก “แล้วพบกันใหม่”
จะต้องได้เจอกันอีกแน่นอน
……………………..
เหลียงเซิงเซิงตื่นขึ้นมาในอีกเจ็ดวันให้หลัง เป็นฉู่เจียงที่มารักษาให้ด้วยตนเอง
เด็กน้อยผู้นี้ ตื่นก็ตื่นขึ้นมาแล้ว เกรงว่าเพราะถูกฉู่เจียงกัดไปไม่เบา พอรู้สึกตัว ได้ยินข่าวเรื่องที่เหลียงป๋อจากไปแล้ว คนก็กลายเป็นสติสตางค์เลื่อนลอยขึ้นมา
หลังจากที่ร้องไห้น้ำตาไหลพรากอยู่ทั้งวันแล้ว พอตกดึกเงียบสงบไร้ผู้คนก็ตระเตรียมเชือกออกมาเส้นหนึ่งจะเอาไปแขวนคอส่งตัวเองไปสวรรค์
พึ่งจะแขวนเชือกขึ้นไป ก็เห็นบนต้นไม้มีศีรษะคนหลายศีรษะหล่นลงมา
เหลียงเซิงเซิงตระหนกเสียจนวิญญาณเกือบจะหลุดออกจากร่างอยู่แล้ว
พอหันหน้าไปก็เห็นว่าฉู่เจียงกำลังอยู่ข้างกายนาง ดวงตาสีเขียวราวมรกตคู่นั้นจับจ้องมาที่ตัวนาง
จากนั้นเขาก็กวาดตามองขึ้นไปบนเชือกป่านบนต้นไม้ “ยังไม่ทันได้รับอนุญาตจากข้า เหยื่อตัวน้อยอย่างเจ้าก็กล้าจะตัดสินความเป็นตายของตนเองแล้วหรือ?”
เหลียงเซิงเซิงทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว น้ำตาของนางไหลพราก “ไม่มีท่านปู่แล้ว ข้าเสียใจเหลือเกิน มิสู้ติดตามท่านปู่ไปดีกว่า ข้าตายไปแล้วเจ้าจะขบข้า กัดข้า กินข้าอย่างไร ข้าก็ไม่กลัวอีกแล้ว”
สุดท้ายแล้วนางก็ยังเป็นเพียงสาวน้อยนางหนึ่งที่เหลียงจวิ้นอ๋องเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม ใสซื่อเสียจนคนอยากจะขยุ้มหัวตนเอง
“ปู่ของเจ้าตายไปแล้ว เจ้าไม่คิดจะล้างแค้นให้เขา เอาแต่เฝ้าครุ่นคิดด้วยความคิดถึงอย่างเดียว?” ฉู่เจียงกอดอกเอาไว้ ไล่บี้นาง
“ข้า…ข้าเป็นเพียงแค่เด็กสาวคนหนึ่ง ข้าจะไปแก้แค้นให้กับท่านปู่ได้อย่างไร ฮือ ฮือ ฮือ”
“เจ้าเป็นพระสนมกุ้ยเฟยที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องของฮ่องเต้ เป็นหลานสาวของเหลียงจวิ้นอ๋อง ติดตามฮ่องเต้เข้าวัง กลายเป็นคนข้างหมอนของเขา พอเขาหลับเมื่อไหร่ ก็แทงคอเขาดาบหนึ่ง มิใช่ว่าแก้แค้นได้แล้วหรือไร?”
ฉู่เจียงซึมซับไอแค้นมานาน ความคิดความอ่านออกไปทางดำมืด ชอบช่วยผู้อื่นวางแผนร้าย
ที่จริงแล้วเขามิได้คิดร้ายต่อจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน เพียงคิดอย่างง่ายๆ ว่าหากเหลียงเซิงเซิงทำเช่นนั้นจริง ก็คงจะเป็นเรื่องน่าสนุกไม่น้อย
เหลียงเซิงเซิงตะลึงไป ครุ่นคิดคำพูดของเขาอย่างละเอียด
เมื่อครู่นางร่ำไห้ด้วยความเสียใจมากไป ตอนที่นางตื่นขึ้นมานั้น ฮ่องเต้ก็ได้เสด็จมาเยี่ยมนาง
ท่านปู่ก่อกบฏล้มเหลวพ่ายแพ้จนตัวตาย …….นางก็ถือเป็นลูกหลานของกบฏ เมื่อไม่ถูกประหารก็ต้องนับว่าเป็นโชคดีแล้ว
ฝ่าบาทยังทรงอุตส่าห์เสด็จมาเยี่ยมนาง ยิ่งกลายเป็นเรื่องเหลือเชื่อแล้ว
นางเองก็เคยทูลถามออกไป ว่าฝ่าบาทจะทรงมีพระประสงค์ให้นางเข้าวังหรือไม่
แต่ว่าฟังคำ….ที่พระองค์ทรงตรัสออกมาสิ
“ฮือ ฮือ ฮือ ทรงตรัสว่าข้าน่าเกลียดเกินไปแล้ว ไม่ให้ข้าเข้าวัง!” เหลียงเซิงเซิงร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง
——
[1] 雏菊 ดอกเดซี่
——
ตอนต่อไป “ถูกเจ้าจับกิน”