อยู่ๆ ก็ได้ยินนางหยิบยกฮ่องเต้ขึ้นมา เหลียงเซิงเซิงถึงกับหน้าเปลี่ยนสี
นางได้แต่ทำตาโตมองดูตู๋กูซิงหลัน กล่าวอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า “พี่ซิงอยากให้ข้าไปหาฮ่องเต้?”
ถึงแม้ว่านางจะค่อนข้างใสซื่อ แต่ว่าพอเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจีเฉวียน นางก็จะระแวงขึ้นมาทันที
เนื่องเพราะนางยังมีชนักติดหลังเป็นกุ้ยเฟย พี่ซิงมาจากที่อื่น แต่ไยนางจึงได้เอ่ยถึงฮ่องเต้?
หรือว่า…….นางจะมีความเกี่ยวพันกับฮ่องเต้?
“เขาสามารถปกป้องเจ้าได้” ตู๋กูซิงหลันจดจ้องเข้าไปในดวงตาทั้งสองของนาง “เจ้าเป็นกุ้ยเฟยของเขา เขาปกป้องเจ้าเป็นเรื่องที่ถูกต้องสมควรอยู่แล้ว”
แค่ประโยคเดียว สีหน้าของเหลียงเซิงเซิงก็เปลี่ยนเป็นไม่น่าดู
ฐานะของนาง…..นางรู้อยู่แล้ว
หรือว่าจะเป็นดังที่ท่านปู่และเหล่านายทหารทั้งหลายกล่าวไว้ คนภายนอกล้วนไม่ใช่คนดี?
พี่ซิงเองก็มีจุดประสงค์บางอย่างหรือ?
นางขมวดคิ้วแน่น ทั้งยังสัมผัสไฝแดงบนริมฝีปาก “พี่ซิงมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าจะถูกจับกิน แล้วไยจึงมั่นใจว่าฮ่องเต้จะสามารถปกป้องข้าได้?”
ถึงนางจะบริสุทธิ์ใสซื่อ แต่ก็มิใช่ว่าใครพูดอะไรก็จะเชื่อถือเสียหมด
ยิ่งไปกว่านั้น….ปีศาจตนนั้นก็งดงามมาก งดงามราวกับเป็นจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างไรอย่างนั้น เขาที่เป็นเช่นนั้นจะกินนางหรือ?
“อ้ายโย่ว ยังมีสมองอยู่บ้างเหมือนกันนะ” ชือหลีที่อยู่บนต้นไห่ถางหัวเราะออกมา “เจ้าดูสิ แม่นางน้อยผู้นี้ไม่ใช่ว่าจะถูกเจ้าชักจูงไปได้ง่ายๆ”
“พี่สาวถูกลาถีบศีรษะมา เดิมทีก็ยังไม่ทันหายดี ยังคงพักผ่อนให้มากจะดีกว่า พรุ่งนี้ข้าจะไปตามท่านหมอมาตรวจอาการท่าน”
เหลียงเซิงเซิงเกือบจะลืมไปแล้ว ว่าสมองของพี่ซิงไม่ค่อยปกติ
พูดจบนางก็ลุกขึ้นมา เด็ดดอกไห่ถางส่งให้นาง “พี่สาววางใจเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะต้องหาท่านหมอที่เก่งที่สุดมารักษาท่าน”
พูดแล้วเหลียงเซิงเซิงก็ตบหัวไหล่ตู๋กูซิงหลัน หมุนตัวเดินจากไป
พี่ซิงป่วยมากจริงๆ ไม่อาจรั้งรอต่อไป
กระทั่งเงาหลังของเหลียงเซิงเซิงหายไปจากสายตาแล้ว ซีหน้าของตู๋กูซิงหลันค่อยเปลี่ยนเป็นหนักใจ
เจ้าลองว่ามาซิ ฮ่องเต้ผู้นั้นหลงรักเจ้าจะเป็นจะตาย แต่เจ้ากลับจะผลักไสสาวน้อยที่งดงามดุจดอกไม้เช่นนี้ไปให้กับเขา?” ชือหลีชักจะไม่เข้าใจแล้ว หางของนางเลื้อยพันขึ้นไปรอบต้นไห่ถาง ทำให้กลีบดอกไม้ ร่วงลงมา ตกลงบนร่างของตู๋กูซิงหลัน
“เจ้าไม่มีความรู้สึกอะไรกับฮ่องเต้ผู้นั้นสักนิดจริงๆ หรือ?”
ชือหลีก็เคยตกหลุมรักมาก่อน นางเข้าใจดีว่านี่เป็นความรู้สึกเช่นไร
ยามที่รักใครสักคนอย่างแท้จริงไหนเลยจะยอมให้เขามีคนอื่นได้กัน?
การกระทำของตู๋กูซิงหลันที่ผลักสาวน้อยผู้นั้นออกไปแทน ก็เท่ากับว่าในหัวใจของนางไม่ได้ชอบฮ่องเต้ต้าโจวผู้นั้นเลยสักนิด
ช่างน่าสงสารฮ่องเต้…..หัวใจรักลึกล้ำของเขาถูกโยนให้สุนัขกินเสียแล้ว
พอพูดถึงจีเฉวียน สายตาของตู๋กูซิงหลันก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มลงกว่าเดิม นางส่ายศีรษะ ไม่ยอมพูดอะไร
นางไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาอะไร
เหลียงอ๋องมีใจคิดก่อกบฏนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ความรักที่เขามีให้เหลียงเซิงเซิงก็เป็นความจริงเช่นกัน
หากเหลียงอ๋องก่อกบฏขึ้นมา มิว่าชนะหรือว่าล้มเหลว ถึงตอนนั้นผู้ที่ต้องเดือดร้อนรับโทษไปด้วยก็คือชาวบ้านทั่วไป
ดังนั้นการส่งเหลียงเซิงเซิงไปยังข้างกายจีเฉวียนจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด
หากเหลียงเซิงเซิงอยู่ข้างกายจีเฉวียน เหลียงอ๋องย่อมไม่กล้าเคลื่อนไหววู่วาม อีกทั้งเหลียงเซิงเซิงยังเป็นผู้ที่ถูกปีศาจประทับสัญญาเอาไว้…..หากอยู่ข้างกายจีเฉวียน ก็จะปลอดภัยที่สุด
นี่เป็นวิธีที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย
“เฮ่อ……” ชือหลีถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง “ดังนั้นความรักจึงเป็นเรื่องทรมานผู้คน ช่างน่าสงสารฮ่องเต้ผู้นั้น”
ไม่ใช่ว่านางเข้าข้างจีเฉวียน เพียงแต่เมื่อได้เห็นท่าทางที่โศกเศร้าหมดหวังของเขาในตอนที่อยู่ในโลงทองแดงหลังนั้น นางก็อดจะนึกถึงเรื่องของตนเองไม่ได้
ถึงแม้ว่าต้นสายปลายเหตุจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าความรู้สึกของการที่เป็นผู้ถูกทอดทิ้งช่างใกล้เคียง
ดังนั้นเขาถึงได้บอกว่าเรื่องบางเรื่องหากมิได้ประสบด้วยตนเองก็จะไม่มีวันเข้าใจ
“แล้วตอนนี้เจ้าคิดจะทำอย่างไร? ซ่อนอยู่ในจวนของเหลียงจวิ้นอ๋องต่อไป ค่อยส่งเหลียงเซิงเซิงไปไว้ที่ข้างกายฮ่องเต้?” ชือหลีถอนหายใจ ครู่หนึ่งก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่
“แม่นางน้อยผู้นั้นถึงจะใสบริสุทธิ์จนซื่อบื้อไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนที่ใครๆ ก็จะมาโยกคลอนได้ง่าย ดูท่าแล้วส่วนลึกในใจของนางยังมีเจ้าปีศาจที่ทำสัญญากับนางอยู่ด้วย”
ว่าแล้ว ชือหลีก็เสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง “สิงร่างเถอะ สิงร่างแล้วร่างเนื้อนั้นเจ้าก็สามารถควบคุมได้ตามแต่ใจมิใช่หรือ?”
ตู๋กูซิงหลัน “…..”
………………………..
ตกดึก
ฟากตะวันออกในจวนเหลียงจวิ้นอ๋องจุดโคมสว่างไสว
เหลียงเซิงเซิงนั่งอยู่ข้างหน้ากระจกทองแดง มองดูตนเองที่สะท้อนอยู่ภายในกระจก
ผิวพรรณของนางขาวสะอาด ภายใต้แสงเทียนสาดส่อง ใบหน้านี้จึงดูนุ่มนวลอ่อนโยน ไฝสีแดงบนริมฝีปากล่างเด่นชัดอยู่ในสายตา
“เจ้าเคยคิดหรือไม่ ที่เขาปล่อยเจ้าไว้ก็เพื่อจะปล่อยให้โตแล้วค่อยจับกิน?”
คำพูดของตู๋กูซิงหลันดังอยู่ที่ริมหู ทำเอานางอยู่ๆ ก็รู้สึกหนาวไปทั้งร่าง ขนลุกจนตัวแข็งขึ้นมา
ผ่านมาก็นานหลายปีแล้ว แต่ว่านางก็ยังคงจดจำเขาได้เป็นอย่างดี….
เขากำลังรอให้นางเติบโต แล้วค่อยจับกินจริงหรือ?
หลายวันนี้ไฝแดงบนริมฝีปากล่างยิ่งทียิ่งเข้มขึ้นกว่าเดิม
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นที่ด้านนอกก็เกิดสายลมพัดส่งเสียงซ่าซ่า ลมเย็นหอบหนึ่งพัดเข้ามาทางหน้าต่าง แทรกเข้าไปในซอกคอทำเอานางรู้สึกขนลุกซู่
ในอากาศมีกลิ่นคาวเลือดลอยมา ทำเอานางรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่
เหลียงเซิงเซิงขยับตัวลุกขึ้นมา เดินไปที่หน้าต่าง เตรียมจะปิดหน้าต่างลง
นางพึ่งจะขยับมือ ด้านบนหน้าต่างก็มีบางสิ่งไหลหยดแปะแปะลงมาบนหลังมือของนาง
พอนางเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นแต่สีแดงเลือดไปทั้งแถบ
เลือดนั่นยังอุ่นๆ อยู่เลยด้วยซ้ำ!
เหลียงเซิงเซิงตื่นตะหนกจนแทบจะกระโดด นางใช้ความกล้าที่มีอยู่ทั้งหมดมองขึ้นไปด้านบน เห็นสิ่งกลมๆ ที่ถูกแขวนอยู่ด้านบนมีอะไรหยดไหลลงมาอยู่ตลอดเวลา
พอเพ่งมองให้ดี ถึงได้เห็นว่าทั้งหมดนั่นก็คือศีรษะของมนุษย์!
ศีรษะมนุษย์มากมาย ถูกแขวนเรียงรายอยู่ด้านนอกหน้าต่างของนาง!
บางศีรษะก็เน่าเปื่อยแล้ว อย่างศีรษะก็ยังคงสดใหม่ ศีรษะที่มีเลือดหยดหยาดนั่นคงจะพึ่งถูกปลิดออกมา
กลิ่นคาวของเลือดและเนื้อเน่าฟุ้งกระจายจนเสียดแทงจมูก ทำให้คนอยากอาเจียน
เหลียงเซิงเซิงตระหนกจนใบหน้าซีดขาว นางก้าวถอยหลังไปก้าวใหญ่ จนเกือบจะล้มลงไปบนพื้น
ลมจากนอกหน้าต่างยังคงพัดไม่ยอมหยุด จนเกินเสียงซ่าซ่าดังมาจากต้นไห่ถางอยู่เนืองเนือง พอมองผ่านศีรษะเหล่านั้นไปก็เห็นเงาของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ท่ามกลางความมืดมิดของราตรี ประกายตาสีเขียวราวกับดวงแก้วคู่หนึ่งจดจ้องมาทางนางอย่างไม่กระพริบ
เพียงสบตากันแค่แวบเดียว ในสมองของเหลียงเซิงเซิงก็ปรากฏภาพของปีศาจตนนั้นขึ้นมาในทันที
ในชั่วเวลานั้นเอง หัวใจที่หวาดหวั่นของนางค่อยสงบลงได้บางส่วน
หัวใจของนางเต้นระทึกดังตึกตัก ขณะที่ได้ยินเสียงจากเงาของคนที่อยู่ใต้ต้นไห่ถางเอ่ยขึ้นว่า “จากกันนานหลายปี เหล่านี้คือของขวัญที่ข้ามอบให้เจ้า”
ของขวัญ?
เหลียงเซิงเซิงเงยหน้าขึ้นมองดูศีรษะที่เรียงรายอยู่เหล่านั้น ในหัวใจพลันเย็นวาบ
นี่นับว่าเป็นของขวัญด้วยหรือ?
“ใช่เจ้า…..ใช่ไหม?” นานพักใหญ่ นางถึงได้เอ่ยถามขึ้นมา “ปีศาจที่ช่วยข้าเอาไว้บนภูเขาฝูซางซาน?”
ที่จริงแล้วแม้แต่ชื่อของเขานางก็ยังไม่รู้จัก หลายปีมานี้ได้แต่เรียกเขาว่าปีศาจโฉมงามอยู่ในใจมาตลอด
พอเหลียงเซิงเซิงส่งเสียงออกไป ก็ได้ยินคนผู้นั้นส่งเสียงหัวเราะต่ำๆ ครั้งหนึ่ง “ฮึ~”
น้ำเสียงที่ฟังดูลึกลับนั้น แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของนาง
เสียงหัวเราะยังไม่ทันจางหาย ก็เห็นเขายื่นมือมาทางนาง “สิบปีแล้ว ข้ามารับเจ้าแล้ว มาเถอะ~”
——
คุยกันนิดนึง:
ไรท์: เจอหน้าก็จะพาตัวไปเลยหรอ ปุ๊บปั๊บไปไหม?
??? : “สิบปีแล้ว ข้ารอมาสิบปีแล้ว ปุ๊ปปั๊ปตรงไหนกัน ฮึ”