ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 309 ข้ามารับเจ้าแล้ว

ตอนที่ 309 ข้ามารับเจ้าแล้ว

อยู่ๆ ก็ได้ยินนางหยิบยกฮ่องเต้ขึ้นมา เหลียงเซิงเซิงถึงกับหน้าเปลี่ยนสี  

 

 

นางได้แต่ทำตาโตมองดูตู๋กูซิงหลัน กล่าวอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า “พี่ซิงอยากให้ข้าไปหาฮ่องเต้?”  

 

 

ถึงแม้ว่านางจะค่อนข้างใสซื่อ แต่ว่าพอเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจีเฉวียน นางก็จะระแวงขึ้นมาทันที  

 

 

เนื่องเพราะนางยังมีชนักติดหลังเป็นกุ้ยเฟย พี่ซิงมาจากที่อื่น แต่ไยนางจึงได้เอ่ยถึงฮ่องเต้?  

 

 

หรือว่า…….นางจะมีความเกี่ยวพันกับฮ่องเต้?  

 

 

“เขาสามารถปกป้องเจ้าได้” ตู๋กูซิงหลันจดจ้องเข้าไปในดวงตาทั้งสองของนาง “เจ้าเป็นกุ้ยเฟยของเขา เขาปกป้องเจ้าเป็นเรื่องที่ถูกต้องสมควรอยู่แล้ว”  

 

 

แค่ประโยคเดียว สีหน้าของเหลียงเซิงเซิงก็เปลี่ยนเป็นไม่น่าดู  

 

 

ฐานะของนาง…..นางรู้อยู่แล้ว  

 

 

หรือว่าจะเป็นดังที่ท่านปู่และเหล่านายทหารทั้งหลายกล่าวไว้ คนภายนอกล้วนไม่ใช่คนดี?  

 

 

พี่ซิงเองก็มีจุดประสงค์บางอย่างหรือ?  

 

 

นางขมวดคิ้วแน่น ทั้งยังสัมผัสไฝแดงบนริมฝีปาก “พี่ซิงมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าจะถูกจับกิน แล้วไยจึงมั่นใจว่าฮ่องเต้จะสามารถปกป้องข้าได้?”  

 

 

ถึงนางจะบริสุทธิ์ใสซื่อ แต่ก็มิใช่ว่าใครพูดอะไรก็จะเชื่อถือเสียหมด  

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น….ปีศาจตนนั้นก็งดงามมาก งดงามราวกับเป็นจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างไรอย่างนั้น เขาที่เป็นเช่นนั้นจะกินนางหรือ?  

 

 

“อ้ายโย่ว ยังมีสมองอยู่บ้างเหมือนกันนะ” ชือหลีที่อยู่บนต้นไห่ถางหัวเราะออกมา “เจ้าดูสิ แม่นางน้อยผู้นี้ไม่ใช่ว่าจะถูกเจ้าชักจูงไปได้ง่ายๆ”  

 

 

“พี่สาวถูกลาถีบศีรษะมา เดิมทีก็ยังไม่ทันหายดี ยังคงพักผ่อนให้มากจะดีกว่า พรุ่งนี้ข้าจะไปตามท่านหมอมาตรวจอาการท่าน”  

 

 

เหลียงเซิงเซิงเกือบจะลืมไปแล้ว ว่าสมองของพี่ซิงไม่ค่อยปกติ  

 

 

พูดจบนางก็ลุกขึ้นมา เด็ดดอกไห่ถางส่งให้นาง “พี่สาววางใจเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะต้องหาท่านหมอที่เก่งที่สุดมารักษาท่าน”  

 

 

พูดแล้วเหลียงเซิงเซิงก็ตบหัวไหล่ตู๋กูซิงหลัน หมุนตัวเดินจากไป  

 

 

พี่ซิงป่วยมากจริงๆ ไม่อาจรั้งรอต่อไป  

 

 

กระทั่งเงาหลังของเหลียงเซิงเซิงหายไปจากสายตาแล้ว ซีหน้าของตู๋กูซิงหลันค่อยเปลี่ยนเป็นหนักใจ  

 

 

เจ้าลองว่ามาซิ ฮ่องเต้ผู้นั้นหลงรักเจ้าจะเป็นจะตาย แต่เจ้ากลับจะผลักไสสาวน้อยที่งดงามดุจดอกไม้เช่นนี้ไปให้กับเขา?” ชือหลีชักจะไม่เข้าใจแล้ว หางของนางเลื้อยพันขึ้นไปรอบต้นไห่ถาง ทำให้กลีบดอกไม้ ร่วงลงมา ตกลงบนร่างของตู๋กูซิงหลัน  

 

 

“เจ้าไม่มีความรู้สึกอะไรกับฮ่องเต้ผู้นั้นสักนิดจริงๆ หรือ?”  

 

 

ชือหลีก็เคยตกหลุมรักมาก่อน นางเข้าใจดีว่านี่เป็นความรู้สึกเช่นไร  

 

 

ยามที่รักใครสักคนอย่างแท้จริงไหนเลยจะยอมให้เขามีคนอื่นได้กัน?  

 

 

การกระทำของตู๋กูซิงหลันที่ผลักสาวน้อยผู้นั้นออกไปแทน ก็เท่ากับว่าในหัวใจของนางไม่ได้ชอบฮ่องเต้ต้าโจวผู้นั้นเลยสักนิด  

 

 

ช่างน่าสงสารฮ่องเต้…..หัวใจรักลึกล้ำของเขาถูกโยนให้สุนัขกินเสียแล้ว  

 

 

พอพูดถึงจีเฉวียน สายตาของตู๋กูซิงหลันก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มลงกว่าเดิม นางส่ายศีรษะ ไม่ยอมพูดอะไร  

 

 

นางไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาอะไร  

 

 

เหลียงอ๋องมีใจคิดก่อกบฏนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ความรักที่เขามีให้เหลียงเซิงเซิงก็เป็นความจริงเช่นกัน  

 

 

หากเหลียงอ๋องก่อกบฏขึ้นมา มิว่าชนะหรือว่าล้มเหลว ถึงตอนนั้นผู้ที่ต้องเดือดร้อนรับโทษไปด้วยก็คือชาวบ้านทั่วไป  

 

 

ดังนั้นการส่งเหลียงเซิงเซิงไปยังข้างกายจีเฉวียนจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด  

 

 

หากเหลียงเซิงเซิงอยู่ข้างกายจีเฉวียน เหลียงอ๋องย่อมไม่กล้าเคลื่อนไหววู่วาม อีกทั้งเหลียงเซิงเซิงยังเป็นผู้ที่ถูกปีศาจประทับสัญญาเอาไว้…..หากอยู่ข้างกายจีเฉวียน ก็จะปลอดภัยที่สุด  

 

 

นี่เป็นวิธีที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย  

 

 

“เฮ่อ……” ชือหลีถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง “ดังนั้นความรักจึงเป็นเรื่องทรมานผู้คน ช่างน่าสงสารฮ่องเต้ผู้นั้น”  

 

 

ไม่ใช่ว่านางเข้าข้างจีเฉวียน เพียงแต่เมื่อได้เห็นท่าทางที่โศกเศร้าหมดหวังของเขาในตอนที่อยู่ในโลงทองแดงหลังนั้น นางก็อดจะนึกถึงเรื่องของตนเองไม่ได้  

 

 

ถึงแม้ว่าต้นสายปลายเหตุจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าความรู้สึกของการที่เป็นผู้ถูกทอดทิ้งช่างใกล้เคียง  

 

 

ดังนั้นเขาถึงได้บอกว่าเรื่องบางเรื่องหากมิได้ประสบด้วยตนเองก็จะไม่มีวันเข้าใจ  

 

 

“แล้วตอนนี้เจ้าคิดจะทำอย่างไร? ซ่อนอยู่ในจวนของเหลียงจวิ้นอ๋องต่อไป ค่อยส่งเหลียงเซิงเซิงไปไว้ที่ข้างกายฮ่องเต้?” ชือหลีถอนหายใจ ครู่หนึ่งก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่  

 

 

“แม่นางน้อยผู้นั้นถึงจะใสบริสุทธิ์จนซื่อบื้อไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนที่ใครๆ ก็จะมาโยกคลอนได้ง่าย ดูท่าแล้วส่วนลึกในใจของนางยังมีเจ้าปีศาจที่ทำสัญญากับนางอยู่ด้วย”  

 

 

ว่าแล้ว ชือหลีก็เสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง “สิงร่างเถอะ สิงร่างแล้วร่างเนื้อนั้นเจ้าก็สามารถควบคุมได้ตามแต่ใจมิใช่หรือ?”  

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…..”  

 

 

………………………..  

 

 

 

 

 

ตกดึก  

 

 

ฟากตะวันออกในจวนเหลียงจวิ้นอ๋องจุดโคมสว่างไสว  

 

 

เหลียงเซิงเซิงนั่งอยู่ข้างหน้ากระจกทองแดง มองดูตนเองที่สะท้อนอยู่ภายในกระจก  

 

 

ผิวพรรณของนางขาวสะอาด ภายใต้แสงเทียนสาดส่อง ใบหน้านี้จึงดูนุ่มนวลอ่อนโยน ไฝสีแดงบนริมฝีปากล่างเด่นชัดอยู่ในสายตา  

 

 

“เจ้าเคยคิดหรือไม่ ที่เขาปล่อยเจ้าไว้ก็เพื่อจะปล่อยให้โตแล้วค่อยจับกิน?”  

 

 

คำพูดของตู๋กูซิงหลันดังอยู่ที่ริมหู ทำเอานางอยู่ๆ ก็รู้สึกหนาวไปทั้งร่าง ขนลุกจนตัวแข็งขึ้นมา  

 

 

ผ่านมาก็นานหลายปีแล้ว แต่ว่านางก็ยังคงจดจำเขาได้เป็นอย่างดี….  

 

 

เขากำลังรอให้นางเติบโต แล้วค่อยจับกินจริงหรือ?  

 

 

หลายวันนี้ไฝแดงบนริมฝีปากล่างยิ่งทียิ่งเข้มขึ้นกว่าเดิม  

 

 

ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นที่ด้านนอกก็เกิดสายลมพัดส่งเสียงซ่าซ่า ลมเย็นหอบหนึ่งพัดเข้ามาทางหน้าต่าง แทรกเข้าไปในซอกคอทำเอานางรู้สึกขนลุกซู่  

 

 

ในอากาศมีกลิ่นคาวเลือดลอยมา ทำเอานางรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่  

 

 

เหลียงเซิงเซิงขยับตัวลุกขึ้นมา เดินไปที่หน้าต่าง เตรียมจะปิดหน้าต่างลง  

 

 

นางพึ่งจะขยับมือ ด้านบนหน้าต่างก็มีบางสิ่งไหลหยดแปะแปะลงมาบนหลังมือของนาง  

 

 

พอนางเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นแต่สีแดงเลือดไปทั้งแถบ  

 

 

เลือดนั่นยังอุ่นๆ อยู่เลยด้วยซ้ำ!  

 

 

เหลียงเซิงเซิงตื่นตะหนกจนแทบจะกระโดด นางใช้ความกล้าที่มีอยู่ทั้งหมดมองขึ้นไปด้านบน เห็นสิ่งกลมๆ ที่ถูกแขวนอยู่ด้านบนมีอะไรหยดไหลลงมาอยู่ตลอดเวลา  

 

 

พอเพ่งมองให้ดี ถึงได้เห็นว่าทั้งหมดนั่นก็คือศีรษะของมนุษย์!  

 

 

ศีรษะมนุษย์มากมาย ถูกแขวนเรียงรายอยู่ด้านนอกหน้าต่างของนาง!  

 

 

บางศีรษะก็เน่าเปื่อยแล้ว อย่างศีรษะก็ยังคงสดใหม่ ศีรษะที่มีเลือดหยดหยาดนั่นคงจะพึ่งถูกปลิดออกมา  

 

 

กลิ่นคาวของเลือดและเนื้อเน่าฟุ้งกระจายจนเสียดแทงจมูก ทำให้คนอยากอาเจียน  

 

 

เหลียงเซิงเซิงตระหนกจนใบหน้าซีดขาว นางก้าวถอยหลังไปก้าวใหญ่ จนเกือบจะล้มลงไปบนพื้น  

 

 

ลมจากนอกหน้าต่างยังคงพัดไม่ยอมหยุด จนเกินเสียงซ่าซ่าดังมาจากต้นไห่ถางอยู่เนืองเนือง พอมองผ่านศีรษะเหล่านั้นไปก็เห็นเงาของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ท่ามกลางความมืดมิดของราตรี ประกายตาสีเขียวราวกับดวงแก้วคู่หนึ่งจดจ้องมาทางนางอย่างไม่กระพริบ  

 

 

เพียงสบตากันแค่แวบเดียว ในสมองของเหลียงเซิงเซิงก็ปรากฏภาพของปีศาจตนนั้นขึ้นมาในทันที  

 

 

ในชั่วเวลานั้นเอง หัวใจที่หวาดหวั่นของนางค่อยสงบลงได้บางส่วน  

 

 

หัวใจของนางเต้นระทึกดังตึกตัก ขณะที่ได้ยินเสียงจากเงาของคนที่อยู่ใต้ต้นไห่ถางเอ่ยขึ้นว่า “จากกันนานหลายปี เหล่านี้คือของขวัญที่ข้ามอบให้เจ้า”  

 

 

ของขวัญ?  

 

 

เหลียงเซิงเซิงเงยหน้าขึ้นมองดูศีรษะที่เรียงรายอยู่เหล่านั้น ในหัวใจพลันเย็นวาบ  

 

 

นี่นับว่าเป็นของขวัญด้วยหรือ?  

 

 

“ใช่เจ้า…..ใช่ไหม?” นานพักใหญ่ นางถึงได้เอ่ยถามขึ้นมา “ปีศาจที่ช่วยข้าเอาไว้บนภูเขาฝูซางซาน?”  

 

 

ที่จริงแล้วแม้แต่ชื่อของเขานางก็ยังไม่รู้จัก หลายปีมานี้ได้แต่เรียกเขาว่าปีศาจโฉมงามอยู่ในใจมาตลอด  

 

 

พอเหลียงเซิงเซิงส่งเสียงออกไป ก็ได้ยินคนผู้นั้นส่งเสียงหัวเราะต่ำๆ ครั้งหนึ่ง “ฮึ~”  

 

 

น้ำเสียงที่ฟังดูลึกลับนั้น แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของนาง  

 

 

เสียงหัวเราะยังไม่ทันจางหาย ก็เห็นเขายื่นมือมาทางนาง “สิบปีแล้ว ข้ามารับเจ้าแล้ว มาเถอะ~”  

 

 

 

 

 

——  

 

 

คุยกันนิดนึง:  

 

 

ไรท์: เจอหน้าก็จะพาตัวไปเลยหรอ ปุ๊บปั๊บไปไหม?  

 

 

??? : “สิบปีแล้ว ข้ารอมาสิบปีแล้ว ปุ๊ปปั๊ปตรงไหนกัน ฮึ”  

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1-220


คำโปรย 

ตู๋กูซิงหลัน ปรมาจารย์ไสยศาสตร์ลับผู้เลอโฉมแห่งต้าโจวต้องกลายเป็นไทเฮาแม่ม่ายด้วยวัยเพียงสิบห้าปี และถูกคุมขังอยู่ในตำหนักเย็นด้วยข้อหา ‘งดงามจนทำให้อดีตฮ่องเต้ตกพระทัยตาย’ ด้วยเหตุนี้นางจึงตกเป็นที่รังเกียจของ จีเฉวียน ฮ่องเต้องค์ใหม่และเหล่าสนมทั้งสามพันนางของเขา  

ขณะกำลังคิดหาหนทางประจบฮ่องเต้องค์ใหม่เพื่อให้ชีวิตของนางได้อยู่สุขสบายขึ้นมาบ้าง บรรดาลูกสะใภ้ที่หวั่นใจกลัวว่าแม่เลี้ยงสาวจะเปลี่ยนสถานะมาเป็นคนข้างหมอนก็พากันตบเท้าเข้ามาหาเรื่องนางมิขาดสาย ไหนจะอดีตคนรักอย่าง จีเย่ว์ ที่มาขอคืนดีด้วยอีก คราวนี้ตู๋กูซิงหลันจึงต้องรับศึกหนักทั้งซ้ายและขวา อีกทั้งยังต้องหาทางฟื้นพลังเพื่อตามหาหยกสรรพชีวิตไปด้วย แล้วแบบนี้จะไม่ให้นางปีนออกนอกกำแพงวังได้อย่างไร  

Options

not work with dark mode
Reset