ดูวิธีการคิดของฮ่องเต้แคว้นโจวผู้นี้สิ การวางแผนของเขา ตอนแรกเหมือนจะเป็นแค่ระเบิดควันแต่ที่ไหนได้เขากลับมีแผนการอีกสองขั้นอยู่เบื้องหลัง
รอจนคนทั้งหลายเปิดเผยขุมกำลังหมดแล้ว เขาถึงได้ปล่อยของจริงมาถล่มทับ
พวกเขาจึงกลายเป็นเพียงของปลอม ที่ผู้อื่นไม่ได้เห็นค่าอยู่ในสายตาตั้งแต่แรกแล้ว
ราวกับว่าไม่ต้องปะทะกันก็รู้ได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าความแตกต่างนั้นมันเหนือชั้นกว่ากันมากเพียงไร
ฝูงชนทั้งหลายต่างพากันมองมาที่จีเฉวียน ยามนี้พวกเขาถึงได้รู้สึกว่าที่จริงแล้วฮ่องเต้แคว้นโจวที่งดงามเหนือมนุษย์ธรรมดาผู้นี้…….น่าหวาดกลัวมากเพียงไร
เขาเป็นเหมือนดังเจ้าของกระดานหมาก ที่ควบคุมความเป็นไปได้ทั้งหมดไว้
ส่วนพวกเขาที่เป็นตัวหมากเล็กๆ เกรงว่าคงไม่แม้แต่จะอยู่ในสายตาของเขาเลย
ทั้งองค์ชายน้อยและอิ๋งฉีทั้งสองต่างก็มองไปที่จีเฉวียน
บุรุษชุดม่วงผู้นั้นไม่กล่าวสิ่งใดแม้แต่คำเดียว เหล่านักพรตที่มาจากภูเขาฮว่าชิ่งซานที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาต่างก็พากันร้อนใจขึ้นมาแล้ว
“ฝ่าบาท พวกเราล้วนเป็นเหล่านักพรตอาวุโสของภูเขาฮว่าชิ่งซาน ย่อมไม่เกรงกลัวแคว้นต้าโจว”
เรื่องมาจนถึงขั้นนี้ คิดว่าจีเฉวียนก็คงจะไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ อย่างแน่นอน หากจะให้นั่งงอรอความตาย มิสู้ต่อสู้กันอย่างเต็มที่ทั้งสองฝ่ายดูสิว่าใครจะอยู่ใครจะไป
ไม่ปล่อยให้พวกเขาอยู่ดีหรือ?
เช่นนั้นจีเฉวียนก็อย่าได้คิดว่าจะรอดไปอย่างสบายได้เช่นกัน!
องค์ชายน้อยสีหน้าหนักหน่วง ลดเสียงลงกล่าวว่า “หุบปากเสีย”
เป็นเขาเองที่ประมาทจีเฉวียนมากเกินไป
เขาผิดพลาดไปสองประการ
อย่างแรกเขาคาดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลตู๋กูและจีเฉวียนจะแนบแน่นมากจนถึงขนาดนี้ ประการที่สองคาดไม่ถึงว่าแม้แต่อารามเทียนเก๋อกวนก็ถูกเขาสยบเอาไว้หมดแล้ว แม้แต่ผู้ที่เก็บตัวไม่ยอมเปิดเผยใบหน้ามาตลอดสิบปีอย่างนักพรตอู๋เทียนเจินเหริน [1] ก็ยังยอมเผยโฉมออกมาแล้ว
นับตั้งแต่รัชกาลก่อนๆ นักพรตอู๋เทียนเจินเหรินก็คงอยู่มานานแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขามีอายุเท่าไหร่ ฝึกฝนจนถึงระดับไหน
รู้กันแต่เพียงว่าเขาคือบุคคลในตำนาน ตลอดหลายปีมานี้ ผู้ที่มีโอกาสได้พบเขามีอยู่ไม่มาก
เล่าลือกันว่าอู๋เทียนเจินเหรินนั้นใกล้จะสำเร็จเป็นเซียนแล้ว
ในแคว้นต้าโจว เขาเป็นดั่งพระโพธิสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก
บุคคลเช่นนี้ไม่ขาดแคลนชื่อเสียง หรืออำนาจ จีเฉวียนไปกระทำการเช่นใดกันแน่
จึงได้สามารถทำให้อู๋เทียนยินยอมกระทำเพื่อเขาอย่างเต็มใจ?
ข้อนี้ องค์ชายน้อยยังคงขบคิดไม่ออกในตอนนี้
เพียงแต่สามารถยืนยันได้ข้อหนึ่งว่า ตอนนี้พวกเขาไม่อาจจะขัดแย้งกับจีเฉวียนอย่างตรงๆ ได้แล้ว
มิเช่นนั้น ลำพังแค่อู๋เทียนเพียงคนเดียว ก็สามารถทำให้พวกเขาต้องสูญเสียทั้งกำลังคนและทรัพย์สินได้แล้ว
แค่เพียงคำเดียวของเขา ก็สามารถทำให้เหล่านักพรตจากภูเขาฮว่าชิ่งซานหุบปากเงียบได้ในทันที
เนื่องเพราะขุมกำลังของจีเฉวียนนั้นแข็งแกร่งเกินไปแล้วจริงๆ …..
มือหนึ่งควบคุมกองทหารที่ร้ายกาจดั่งกองโจร อีกมือหนึ่งถือครองเหล่านักพรตที่ลึกล้ำสุดหยั่ง
มิว่าจะอย่างไร หากว่าพวกเขาแตะลงไปแล้วล่ะก็ คงไม่มีทางเหลือจุดจบที่ดีอีกแล้วแน่นอน
อิ๋งฉีกำลังรู้สึกเสียใจเข้าแล้วจริงๆ เมื่อครู่เขาไม่ได้ช่วยพูดจาแทนจีเฉวียนต่อหน้าฝูงชนเลยแม้สักครึ่งคำ ตอนนี้จึงไม่มีคุณสมบัติที่จะขอให้จีเฉวียนทำสิ่งใดเพื่อเขาอีกแล้ว
เขาได้แต่ขบเม้มริมฝีปากเอาไว้
ตั้งแต่แรก….ก็รู้อยู่แล้วว่าจีเฉวียนนั้นมิใช่ธรรมดา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าความไม่ธรรมดานี้จะเกินกว่าความคาดหมายของเขาไปมากมายนัก
เขาช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว เหมือนดั่งในปีนั้น
ยามนี้ มีผู้คนไม่น้อยมองไปทางเหยียนเฉียวหลัว
คำพูดที่นางพึ่งจะกล่าวไปกับฮ่องเต้ต้าโจวเมื่อครู่นั้น คล้ายกับว่ากำลังสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ในหูของพวกเขา
ผู้คนเหล่านี้ได้แต่ใบหน้าแดงก่ำด้วยความละอาย ขณะเดียวกันก็จดจ้องเหยียนเฉียวหลัวไปด้วย
สำหรับคนกลุ่มนี้แล้ว ถึงแม้ว่าเหยียนเฉียวหลัวจะมีบุญคุณช่วยชีวิตพวกเขา….แต่ว่าสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้านี้ก็เป็นจุดชี้ชะตาชีวิตอีกจุดหนึ่ง
หากว่าพวกเขายังยืนหยัดอยู่ข้างเหยียนเฉียวหลัวต่อไป จีเฉวียนย่อมไม่ต้องตรัสอะไรสักคำ ก็คงสามารถจะบดขยี้พวกเขาไปผุยผงได้แล้ว
หากว่าพวกเขาหันไปหาจีเฉวียน….แต่ว่ารากหนามที่อยู่ภายในร่างกายยังไม่ได้รับการถอนออกมา ใครจะไปรู้ว่าเจ้าสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนนั้นจะงอกออกมาจากปากแผลอีกครั้งเมื่อไหร่กัน
ดังนั้นตอนนี้จึงได้แต่มองไปยังเหยียนเฉียวหลัว ด้วยความสงบเงียบไม่กล้าเคลื่อนไหว
เหยียนเฉียวหลัวเองก็ไม่รู้ว่าสมควรจะวางสายตาเอาไว้ตรงไหนดี เรื่องราวกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่นางมิได้คาดคิดมาก่อน จะดึงอย่างไรก็ดึงไม่กลับ…..
ตอนนี้จิตใจของนางมีแต่ความตื่นตระหนก หากว่าแต่ก่อนนั้นจะค่อนข้างสงบนิ่ง แต่ตอนนี้กลับหวาดระแวงไปหมด ไม่รู้ว่าสมควรจะทำเช่นไหนดี
ผ่านไปอีกพักใหญ่นางถึงได้กล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “ฮ่องเต้แคว้นโจว ท่านทำร้ายพระเชษฐาของข้า ตอนนี้ก็คิดจะใช้กำลังจัดการกับข้า กวาดล้างขุมกำลังในแผ่นดินทั้งหมดใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงของเหยียนเฉียวหลัวพึ่งจะขาดคำ ก็ได้ยินเสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังออกมาจากในกองทัพของตู๋กูจุน “น้องเรา ไยเจ้าจึงคอยแต่จะสาปแช่งเราอยู่เรื่อยไป?”
เหยียนเฉียวหลัว “!!!”
“ครั้งก่อนตอนที่อยู่ในพระราชวังแคว้นต้าโจว เจ้าฆ่าเราไม่สำเร็จ เจ้าจึงไม่ยอมถอดใจ?” ครู่หนึ่ง ก็เห็นเหยียนหยุนขโยกเขยกออกมาจากกองทัพตู๋กูจุน
ขาซ้ายของเขามีแต่ความว่างเปล่า ใบหน้าขาวซีดอย่างที่สุด
พอขยับมาจนถึงระยะห่างจากเหยียนเฉียวหลัวเพียงแค่สองจั้งเขาก็หยุดลง โบกขาข้างที่มีแต่ความว่างเปล่าไปมา “ตอนนี้เจ้าทำร้ายเราจนกลายเป็นคนพิการสำเร็จแล้ว สะใจหรือยัง?”
สีหน้าของเหยียนเฉียวหลัวตกตะลึง……
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางเลยสักนิดจริงๆ นางนึกว่าเหยียนหยุนถูกพวกปีศาจไร้หน้าจัดการจนตายไปตั้งแต่แรกแล้ว ใครจะไปนึกว่าเขาจะโชคดีมีบุญรอดมาได้ ขาขาดไปเพียงแค่ข้างเดียว
สายตาของฝูงชนหันไปมองดูเหยียนเฉียวหลัวด้วยความคลางแคลงใจ
เมื่อสักครู่นี้ นางยังเป็นองค์หญิงแคว้นเหยียนที่ผู้คนเฝ้าเทิดทูนอยู่เลย แต่ตอนนี้สายตาที่ผู้คนมองดูนางกลับเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ดูสิ….องค์รัชทายาทแคว้นเหยียนยังไม่ตาย แถมสิ่งแรกที่เขาทำคือออกมากล่าวโทษนาง เช่นนี้แล้ว เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในวังหลวงต้าโจวก็คงจะเป็นจริงสินะ และครั้งนี้ เหยียนเฉียวหลัวก็คงคิดจะลอบทำร้ายรัชทายาทแคว้นเหยียนอีกครั้ง แต่ว่าไม่สำเร็จ แถมนางยังคิดจะใช้วิธีเดิมใส่ร้ายป้ายสีฮ่องเต้แคว้นโจวอีกครั้ง
“ไงล่ะ ข้ายังไม่ตาย ยังไม่ถูกเอาไปสกัดทำยา เจ้าผิดหวังมากหรือไร?” เหยียนหยุนจดจ้องดูนางด้วยความเกลียดชัง
หากไม่ใช่เพราะว่าแม่ทัพผู้พิชิตของต้าโจวเผอิญไปพบเขาที่กำลังจะถูกนำไปสกัดเป็นยาเข้า แล้วช่วยเหลือเขาเอาไว้ได้ทัน เกรงว่าตอนนี้เขาคงกลายเป็นกองเลือดไปนานแล้ว
ถึงแม้ว่าจะเก็บชีวิตกลับมาได้ แต่ก็ต้องสูญเสียขาไปข้างหนึ่ง องค์รัชทายาทที่ขาขาดต่อไปจะเป็นฮ่องเต้ปกครองแคว้นได้อย่างไร?
พอได้รับความช่วยเหลือจากแม่ทัพผู้พิชิตเขาถึงได้รู้ว่า เหยียนเฉียวหลัวขายเขาทิ้งให้กับแม่เฒ่านั่นเพื่อใช้ทำยา….
สตรีผู้นี้มีพิษสงชั่วร้ายอย่างที่สุดแล้ว!
“เสด็จพี่รัชทายาท ท่านสับสนไปแล้วหรือไม่ ข้าไหนเลยจะเคยทำเรื่องเช่นนั้น?” เหยียนเฉียวหลัวตอบอย่างมึนงง นางพยายามยืนยันอย่างหนักแน่นต่อไปว่า “ข้าเองก็เกือบจะตายในน้ำมือของปีศาจเหล่านั้นแล้ว ยังดีที่ท่านอาจารย์ช่วยข้าเอาไว้…..”
ว่าแล้วนางก็หันกลับไปมองผู้อาวุโสหยู่ซั่งแวบหนึ่ง จากนั้นก็เหลือบมององค์ชายน้อยครั้งหนึ่ง
สถานการณ์เช่นนี้นางไม่รู้ว่าสมควรจะจัดการอย่างไรจริงๆ องค์ชายน้อยเป็นผู้ที่มีความสามารถยอดเยี่ยม เขาจะต้องมีหนทางอย่างแน่นอนใช่หรือไม่?
สำหรับเขาแล้วนางยังมีคุณค่าให้ใช้สอย เขาจะต้องไม่ปล่อยให้นางอับจนหนทางเช่นนี้ ใช่ไหม?
สายตาของนางทอประกายวิงวอน หวังให้องค์ชายน้อยช่วยเหลืออะไรนางบ้าง
เพราะเรื่องทั้งหมดที่นางทำลงไปล้วนแต่เป็นไปตามความประสงค์ของเขา
“หมากที่ใช้การไม่ได้อีกตัวแล้ว” องค์ชายน้อยเพียงแต่กล่าวออกมาด้วยความเยือกเย็นประโยคหนึ่ง จากนั้นก็ไม่สนใจมองดูนางอีก
เพียงแค่ประโยคเดียว หัวใจของเหยียนเฉียวหลัวก็ตกอยู่ในความเหน็บหนาว
ผู้อาวุโสหยู่ซั่งเองก็ถึงกลับหน้าเปลี่ยนสี ….ประโยคนี้ขององค์ชายน้อย เท่ากับเป็นการตัดสินชีวิตของเหยียนเฉียวหลัวไปแล้ว?
เด็กคนนี้เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกฝน……เพียงแต่อุปนิสัยออกจะมุทะลุเกินไปอยู่บ้าง ต้องมาจบสิ้นไปเช่นนี้ นับว่าน่าเสียดายจริงๆ ……
แต่ว่านางก็ไม่ได้ขอร้องแทนเหยียนเฉียวหลัวแต่อย่างใด
เพียงแต่หันหน้าไปกล่าวว่าจากแก่เหล่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่อยู่เบื้องหน้าว่า “ขอทุกท่านอย่าได้ลืมไป พิษที่อยู่ในร่างของพวกท่าน เป็นองค์หญิงแคว้นเหยียนของข้าที่ถอนให้ได้ หากยังมิได้รักษาจนหายขาดแล้วเกิดเรื่องกับองค์หญิงล่ะก็ ทุกท่านคงจะต้องร่วมกลบฝังไปด้วยกันแล้ว”
——
[1] 真人ระดับการบำเพ็ญของนักพรตที่เข้าใกล้ขั้นเซียนคุยกันนิดนึง:
——
ไรท์: อยู่ฝั่งตัวร้ายก็ต้องเ**้ยมเท่านั้น ไม่ช่วยข้า เจ้าก็มาตายด้วยกันเถอะ!
ตอนต่อไป: “กระหม่อมจะปกป้องท่านเอง”