“เอ๋?” ในที่สุดตู๋กูซิงหลันก็ยังจะสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว
เมื่อครึ่งปีก่อน……..แสงสีดำ
เมื่อปะติดปะต่อความคิดที่บังเอิญได้พบกับปีศาจไร้หน้าในกลางทะเลทราย อยู่ๆ นางก็ชักจะคิดถึงคู่แค้นเก่าขึ้นมาซะแล้วสิ
ว่าแต่เจ้าภูติพฤกษาตัวน้อยนี้คงไม่ได้โกหกสินะ
“ท่านเซียน เสี่ยวจิงทำได้เพียงแค่ส่งพวกท่านข้ามสะพานไป หนทางข้างหน้าพวกท่านยังคงต้องพึ่งพาตนเอง” ภูติพฤกษายังคงหวาดกลัวเรื่องเมื่อครู่อยู่ไม่หาย มันใช้เถาวัลย์เส้นหนึ่งชี้ไปด้านหน้า
“บริเวณรอบๆ ภูเขานี้ก็มีปีศาจอยู่มากมาย ล้วนแข็งแกร่งกว่าเสี่ยวชิงด้วยกันทั้งนั้น ทั้งยังมีสัตว์อสูรอีกไม่น้อย ยิ่งเข้าใกล้ภูเขาเทียนซาน ก็ยิ่งมีอันตรายมาก ท่านเซียนทั้งสองมีความสามารถเทียมฟ้า คิดว่าคงจะสามารถรับมือได้อยู่”
เรื่องพวกนี้เดิมทีมันไม่ได้คิดจะกล่าวออกมา แต่เพราะเมื่อครู่ตู๋กูซิงหลันช่วยชีวิตมันเอาไว้
โลกทัศน์ของพวกภูตินั้นเรียบง่ายกว่าพวกมนุษย์มากนัก มีแค้นชำระแค้น มีบุญคุณก็ตอบแทน เรียบง่ายเช่นนี้เอง
พวกมันไม่อาจติดค้างบุญคุณ
ยากนักที่ฮ่องเต้มิได้ทรงสร้างความลำบากให้กับมัน กระบี่อ่อนในพระหัตถ์ถูกเก็บไว้
สำหรับพระองค์แล้ว เมื่ออยู่ในแคว้นเซอปี่ซือ เพียงปกป้องตู๋กูซิงหลันให้ดีก็พอแล้ว ความเป็นความตายของผู้อื่นไม่จำเป็นต้องใส่ใจให้มากไป ดังนั้นเมื่อครู่จึงลงมือช้าไปเล็กน้อย
ผิดกับตู๋กูซิงหลัน แม้ว่าจะไม่มีพลังของหยกสรรพชีวิตแล้ว ก็ยังเก่งกาจถึงเพียงนี้
เขาหรี่ดวงเนตรลง มองดูเจ้าอ้วนน้อยที่อยู่ข้างกาย ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วในร่างของนางมีพลังเช่นใดกันแน่
ในทันใดนั้นเอง พระองค์ก็คว้าเอวของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ สายลมหมุนวนใต้ฝ่าเท้า สะกิดเท้าเพียงสองครั้งก็ข้ามสะพานไปแล้ว
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกถึงสายลมไหลวูบผ่านใบหู บาดเนื้อตัวจนเจ็บ
รอจนสองเท้ายืนบนพื้นที่มั่งคงอีกครั้ง สะพานสีเขียวขจีที่อยู่ด้านหลังก็หายลับไปจากสายตาแล้ว เหนือหุบเหวมีแต่หมอกหนาๆ มีเพียงกลีบดอกไม้มากมายที่ยังคงโบยบินอย่างเคว้งคว้าง ก่อนจะค่อยๆ ร่วงหล่นลงสู่หุบเหว
เงาดำที่บินอยู่สูงขึ้นไปเหนือศีรษะของพวกเขาก็จากไปแล้วเช่นกัน
จีเฉวียนและตู๋กูซิงหลันกวาดตามองขึ้นไปอยู่ครู่หนึ่ง
“ฝ่าบาท บุรุษดอกท้อผู้นั้นไม่อยู่แล้ว” ตู๋กูซิงหลันมองดูหมู่เมฆบนท้องฟ้า ก็คิดถึงบุรุษรูปงามชุดม่วงผู้นั้น
จีเฉวียนปราศจากคำพูด แต่ประกายในดวงเนตรหงส์กลับเข้มขึ้นกว่าเดิม
ครั้งนี้เขามิได้รีบร้อนพาตู๋กูซิงหลันเดินทางแล้ว เห็นเขายืนอยู่ริมหน้าผา ปล่อยวิญญาณทมิฬให้กลับไปอยู่บนบ่าของตู๋กูซิงหลัน จากนั้นพระหัตถ์ทั้งสองแสดงปางมือออกมา ริมพระโอษฐ์ร่ายคาถา
เพียงครู่เดียว ฉลองพระองค์ก็โบกโบยขึ้นมา
บนร่างของเขาปรากฏกลุ่มแสงสีดำที่เข้มข้นขุมหนึ่ง จากนั้นแสงสีดำก็เคลื่อนออกจากร่างของเขา ค่อยๆ กลายเป็นเงาร่างสีดำสูงสามเมตรอยู่ด้านข้าง
เงาสีดำนั้นมีปีกสองข้าง รูปร่างคล้ายกับกิเลน [1] บนหัวของมันมีเขาที่ทั้งยาวและแหลมคมคู่หนึ่ง รอบปากยังมีหนวดสีดำมากมายหลายเส้น
ยามที่เจ้าตัวนี้ปรากฏตัวขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันก็ตกใจแทบจะกระโดดแล้ว
นี่คือ….สัตว์อสูรที่จีเฉวียนทำพันธสัญญาด้วย?
จีเฉวียนสร้างความประหลาดใจให้กับนางเป็นระลอก นางคิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะมีกระทั่งสัตว์อสูรในพันธสัญญา
ก่อนหน้านี้ช่างเก็บงำได้ดีนัก!
สัตว์อสูรในพันธสัญญา ในโลกปัจจุบันนั้นมีแต่ยอดนักพรตระดับสูงเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะครอบครอง สัตว์อสูรเหล่านี้ ก่อนที่จะถูกกำราบได้นั้นโดยมากล้วนดุร้ายอย่างยิ่ง หากไม่มีพลังที่ยิ่งใหญ่ย่อมไม่มีทางที่จะกำราบและควบคุมพวกมันเอาไว้ได้
นี่ยิ่งแสดงให้เห็นชัดเลยว่า จีเฉวียนนั่นมิใช่ธรรมดา
เจ้าตัวนี้ยังมีร่างจิตเพียงครึ่งเดียว มันคล้ายดั่งหลุมดำกลุ่มหนึ่ง สามารถมองร่างเห็นเพียงคร่าวๆ เท่านั้น แม้แต่นางก็ยังมองไม่ออกว่าเจ้าสิ่งนี้ที่จริงแล้วคืออะไรกันแน่
“โอ้โห สุดยอดไปเลย” วิญญาณทมิฬกอดคอตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ยามที่เจ้าตัวนี้โผล่ออกมา มันก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่หนักหน่วง แม้แต่ตัวมันเองก็แทบจะทนไม่ไหว
ที่แท้เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี้เก่งกาจมากเลยหรือ? แม้แต่สัตว์อสูรพันธสัญญาก็ยังมีระดับที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
แม้แต่มันเองก็ยังไม่เคยเห็น ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่
จีเฉวียนมิได้ตรัสอะไร หากแต่กอดเอวตู๋กูซิงหลันเอาไว้อีกครั้ง สะกิดปลายเท้านิดเดียวก็ขึ้นไปอยู่บนหลังของสัตว์อสูรแล้ว
สัตว์อสูรตัวนี้ถึงแม้ว่าจะมีร่างจิตเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่ยามที่ยืนขึ้นมา ก็สามารถรู้สึกได้เลยว่าบนร่างกายของมันเต็มไปด้วยเกล็ดใหญ่โตแผ่นหนา
“เมียเมีย [2] ขึ้นไปบนเขาเทียนซานช้าๆ” จีเฉวียนออกคำสั่ง
ตู๋กูซิงหลัน “เมียเมีย?”
“นี่เป็นชื่อของมัน เจ้าจะเรียกมันว่าเมียน้อยก็ได้” จีเฉวียนตรัสอย่างพระพักตร์ไม่เปลี่ยนสี พระทัยก็ไม่ตื่นเต้น
มุมปากของตู๋กูซิงหลันถึงกับเหยเกไปแล้ว
พูดกันตามจริงเลยนะ นางรู้สึกว่าจีเฉวียนกับหยวนเฟยสมควรจะเป็นพี่น้องกัน ก็ดูรสนิยมในการตั้งชื่อของคนทั้งคู่สิ
ตัวหนึ่งก็หวังฉาย ตัวหนึ่งก็เมียเมีย เข้าขากันดีมากเลย
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกขึ้นมาว่าชื่อของวิญญาณทมิฬยิ่งใหญ่เกรียงไกรขึ้นมาเลยทีเดียว แม้แต่ติ๊งต๊องก็ยังฟังดูทันสมัยกว่าเลย
เมื่อได้รับพระบัญชา เมียเมียก็หุบปีกเอาไว้ด้านข้าง ขยับอุ้งเท้า วิ่งตึงตึงมุ่งหน้าเข้าไปในป่า
ยามมันวิ่งคล้ายกับการก้าวกระโดดไปข้างหน้า เชิดหัวยืดอก ทุกครั้งที่ขยับอุ้งเท้าเป็นต้องส่ายสะโพกโยกหางครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อประกอบกับร่างกายที่ใหญ่โตโอฬารของมัน ดูไปแล้วจึงมิได้แปลกประหลาดสักเท่าไร
ตู๋กูซิงหลันและวิญญาณทมิฬได้แต่ทำสีหน้าปวดใจอย่างทำอะไรไม่ได้
เดินไปได้ไม่ทันไร ก็บังเอิญเจอกับจระเข้ยักษ์ ที่โผล่หัวใหญ่ๆ ออกมาพุ่มหญ้ารกชัฏตัวหนึ่ง
จระเข้ยักษ์ยังไม่ทันได้อ้าปากขึ้นมา ก็ถูกสัตว์อสูรของจีเฉวียนกระทืบด้วยเท้าเดียวจนแหลกเละไปแล้ว
กลิ่นคาวโลหิตพวยพุ่งขึ้นมา ฟุ้งกระจายไปทั่วพงหญ้า
ในที่สุดมันก็หยุดลง มองดูใต้อุ้งเท้าที่เลอะเทอะไปด้วยเลือดสดๆ มันตกตะลึงไปครู่ใหญ่ก็ส่งเสียงร้องออกมาครั้งหนึ่ง “เมีย~”
ตู๋กูซิงหลันและวิญญาณทมิฬ “!!!”
เสียงแบบนี้มัน ให้ตายเถอะแม่เอ๊ย
นี่ที่ฮ่องเต้สุนัขตั้งชื่อให้มันว่าเมียเมียก็นับว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง
“ฝ่าบาท มันเป็นแกะหรือเพคะ?” ตู๋กูซิงหลันทั้งตื่นตระหนกและขัดเขินนางอดจะใช้ฝ่ามือทาบอกไม่ได้
จีเฉวียนส่ายพระเศียร “ตอนยังเด็กมันดื่มนมแกะจนเติบโต เลยร้องเมียเมียมาจนติด”
ตู๋กูซิงหลัน “…..” สัตว์อสูรสุดรักสุดหวงนี้เขาเลี้ยงดูมันตั้งแต่เด็กจนโต?
“เมียเมียมีนิสัยอ่อนโยน บางครั้งไม่ทันระวังไปเหยียบสิ่งมีชีวิตตาย มันกำลังสำนึกเสียใจ” จีเฉวียนตรัสอย่างเป็นเรื่องสามัญธรรมดา
พอตรัสพึ่งจบไป ก็เห็นเมียเมียก้มหัวลง ทันใดนั้นก็อ้าปากกว้าง กลืนกินร่างของจระเข้ยักษ์ลงท้องไปในคำเดียว
วิญญาณทมิฬสะดุ้งตกใจจนเกือบจะฉี่ราด
แบบนี้ที่บ้านพ่อเรียกว่านิสัยอ่อนโยน? ฮ่องเต้สุนัขเข้าใจคำว่าอ่อนโยนสองคำนี้ผิดไปหรือไม่?
ตู๋กูซิงหลันเองก็ทำปากเหวอ รู้สึกว่าที่ก่อนหน้านี้ตนเองไปหาเรื่องตายต่อหน้าจีเฉวียน แต่แล้วยังไม่ได้ถูกเขาฆ่าตาย ต้องนับว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์แล้ว
“เมียเมียติดตามเราอยู่เสมอ ตั้งแต่เล็กจนโตก็รู้ดีว่าไม่ควรทำอะไรให้สิ้นเปลือง ถึงมันจะสำนึกเสียใจ แต่ว่าร่างของเจ้าจระเข้ตัวนี้ทิ้งเอาไว้ก็มีแต่จะบูดเน่าเสียเปล่า มันกินลงไปก็ช่วยเก็บกวาดไปเรื่องหนึ่ง”
ฝ่าบาทยังคงตรัสโดยพระพักตร์ไม่เปลี่ยนสีต่อไป
ระหว่างที่พูดคุยกัน เมียเมียก็เริ่มกระโดดโลดเต้นขึ้นมา ราวกับแกะที่เสียสติ มันพุ่งไปทางซ้ายแล้วก็ย้ายไปทางขวาเข้าไปในกลางป่าลึก
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนหลังของมัน รู้สึกหัวสั่นตัวคลอนราวกับนั่งรถไฟเหาะ
หากมิใช่เพราะว่าฮ่องเต้สุนัขคอยกระหนาบอยู่ข้างกายนางตลอดเวลา นางกับวิญญาณทมิฬคงจะถูกเหวี่ยงหล่นลงไปนานแล้ว
กระโดดไปสักพัก เมียเมียที่อ่อนโยนก็เหยียบงูหลามดำตัวเขื่องตายไปอีกตัว
งูหลามดำถูกเหยียบจนกระดูกหักไปหลายท่อน แต่ร่างของมันยังคงพยายามฝืนต้านทาน ก็ถูกเมียเมียใช้อุ้งเตะหัวขาดกระเด็น
มันก้มหัวลงไปด้วยความรู้สึกผิด ใช้จมูกเขี่ยดูเล็กน้อย พอแน่ใจว่าตายแน่นอนแล้ว ก็อ้าปากชุ่มเลือดขึ้นมา งูเหลือมดำก็ถูกมันกลืนลงไปจนเกลี้ยงเกลา
วิญญาณทมิฬรู้สึกหัวชา มันรู้สึกว่าตนเองคงต้องยอมถอยออกจากตำแหน่งจอมตะกละเสียแล้ว
——
[1] 麒麟
[2] 咩咩 : เสียงแม่แกะร้องเรียกลูก