เหยียนเฉียวหลัว “…..” นี่นางต้องมาเจอกับเรื่องตลกอะไรกัน?
คราวนี้ นางถึงได้หันไปมองดูคุณชายชุดขาวอย่างละเอียด หน้าตาหรือก็ดีเป็นผู้เป็นคนอยู่หรอก แต่ว่าสมองไม่สมประกอบ
หายากเหลือเกินที่ตู๋กูเจวี๋ยจะไม่อยากพูดกับนางขึ้นมา พอกล่าวจบ เขาก็สะบัดชายเสื้อก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องรับรอง
เขาไม่ได้กลับมาเมืองหลวงถึงครึ่งปี ไม่ว่าที่ใดก็อยากจะผ่านไปดูสักรอบหนึ่งด้วยตนเอง
เขาเป็นขุนนางอวี้สื่อ [1] ของเมืองหลวง มีหน้าที่ดูแลรักษาความรักษาความสงบสุขของประชาชนในเมืองหลวง ภายใต้หนังตาของเขาจะต้องไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องที่เป็นอันตรายต่อชีวิตคนขึ้นมาได้
ต่อให้เป็นอุปนิสัยที่ทำให้เกิดอันตรายก็ไม่ได้!
น้องเล็กอยู่ในวัง เขาย่อมไม่อาจเข้าวังไปดูแลนางได้บ่อยๆ ทั้งยังอยู่ๆ ก็เกิดความหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
หรือจะเป็นเพราะตอนที่อยู่เมืองลี่โจวถูกทรมานมามาก พอกลับมาถึงเมืองหลวง ก็ใช้ชีวิตสงบสุขเกินไป ถึงได้เกิดความรู้สึกว่าไม่ชินเสียแล้ว
………………………………………..
เช้าวันรุ่งขึ้น ในเมืองหลวงก็เกิดข่าวแพร่สะพัดออกมา องค์หญิงจากแคว้นต้าเหยียนเสด็จมาเยือนด้วยพระองค์เอง
เมื่อพูดถึงแคว้นต้าเหยียน เหล่าขิงแก่ในวังหลวงต่างก็รู้กันเป็นอย่างดี ตอนนั้นหลังจากที่ฉางซุนฮองเฮาสิ้นไป ไม่ถึงสองปี องค์ชายสี่จีเฉวียนที่มีพระชันษาเพียงเจ็ดขวบก็ถูกส่งไปเป็นองค์ประกันที่แคว้นต้าเหยียน
ในตอนนั้น แคว้นต้าโจวก่อตั้งมาได้เพียงสองรัชสมัย ถึงแม้จะได้เป็นถึงหนึ่งในสามแคว้นใหญ่ที่แข็งแกร่งในแผ่นดินนี้ แต่ก็เป็นแคว้นที่อ่อนแอที่สุดในสามแคว้น
และในช่วงเวลานั้น ในแว่นแคว้นยังเกิดความวุ่นวายด้วยฝีมือของกบฏจี้อ๋อง ก่อให้เกิดความเสียหายคั่งค้างภายในแคว้นอย่างรุนแรง
แคว้นต้าฉินที่เป็นผู้นำในสามแคว้นถือโอกาสส่งกำลังมารุกรานต้าโจว จึงเกิดศึกทั้งภายในและภายนอก เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์กับแคว้นต้าเหยียนพันธมิตรเก่า อดีตฮ่องเต้จึงส่งองค์ชายในฮองเฮาไปเป็นองค์ประกันที่ต้าเหยียนด้วยพระองค์เอง
นับตั้งแต่นั้นมา องค์ชายสี่จีเฉวียนก็ได้เริ่มใช้ชีวิตในแคว้นต้าเหยียนและเติบโตขึ้นในฐานะตัวประกันยาวนานถึงสิบปี
กระทั่งเขาอายุได้สิบเจ็ดปีถึงได้กลับมายังต้าโจวอีกครั้ง
เขาที่แต่เดิมเคยเป็นถึงองค์ชายสายตรงที่สูงศักดิ์ที่สุดในต้าโจว แต่เพราะอดีตฮ่องเต้ไม่ทรงโปรด จึงต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปนานถึงสิบปี ประสบการณ์ที่ได้รับในช่วงนั้น หลังจากที่กลับมาแล้วองค์ชายสี่ก็มิเคยได้เอ่ยกับผู้ใดเลยสักคน
เพียงแต่เมื่อเขากลับมาแล้ว คนก็กลายเป็นเย็นชาดั่งภูเขาน้ำแข็งอยู่ตลอดเวลา
ตลอดพระองค์มีแต่กลิ่นอายที่กีดกันไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้อยู่เสมอ
ยามที่อยู่ในแคว้นต้าเหยียนเขาต้องใช้ชีวิตเช่นไร คิดๆ ดูแล้วก็คงจะมีแต่ท่านราชครูที่รู้กระมัง
องค์หญิงแห่งต้าเหยียนผู้นี้ ฟังมาว่านางคือพระธิดาองค์เล็กของฮ่องเต้แห่งต้าเหยียน เป็นผู้ที่ฮ่องเต้แห่งต้าเหยียนทรงโปรดปรานที่สุด
ไม่รู้ว่าครั้งนี้นางจะมาที่ต้าโจวด้วยเหตุอันใด
ในวังยังไม่ทันจะมีความเคลื่อนไหว ทั่วเมืองหลวงก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปก่อนแล้ว
ต่างก็ลือกันไปว่าองค์หญิงแห่งแคว้นเหยียนกับฮ่องเต้ทรงเติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ที่มาในครั้งนี้ ก็คงจะมาสานพรหมลิขิตกับฮ่องเต้เป็นแน่
เขาเล่ากันว่าตอนที่ฝ่าบาททรงอยู่ในแคว้นเหยียนก็ได้องค์หญิงดูแลอยู่เสมอ
ประกอบกับที่ต้าโจวและต้าเหยียนเป็นพันธมิตรกันมาก่อน ดูๆ แล้วทั้งสองฝ่ายก็คงจะยินดีที่ได้ผูกสัมพันธ์กันให้แนบแน่นกว่าเดิมละมั้ง
ดังนั้นหากว่าองค์หญิงทรงอภิเษกกับฝ่าบาท สำหรับทั้งสองแคว้นแล้วย่อมมีข้อดีมากมายนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว
ประชาชนในเมืองหลวงต่างก็ตั้งตารอ หวังให้ฮ่องเต้ทรงอภิเษกองค์หญิงเข้ามาโดยเร็ว เช่นนี้ต้าโจวก็จะเป็นเสมือนกับพยัคฆ์ติดปีก
…………………………..
ภายในวัง ครั้งนี้ฮ่องเต้มิได้ทรงจัดงานเลี้ยงรับรององค์หญิงแห่งต้าเหยียน
เพียงแต่เชิญเสด็จมาที่พระตำหนักตี้หัว เพื่อร่วมเสวยด้วยกันสักมื้อหนึ่ง
ทั้งยังทำแค่ตั้งโต๊ะเสวยที่บริเวณหนึ่งในส่วนหน้าของพระตำหนักตี้หัว อาหารก็ยึดเอาตามรสนิยมของคนต้าเหยียนเป็นหลัก
เหยียนเฉียวหลัวสวมชุดสีเขียวอ่อนตลอดร่าง นั่งอยู่ที่ด้านข้างพระองค์ นางถอดผ้าคลุมหน้าออก คอยมองดูจีเฉวียนอยู่ตลอดเวลา
” ฝ่าบาท คิดไม่ถึงเลยว่าผ่านมานานหลายปีแล้ว พระองค์ยังทรงจำได้ว่าข้าชอบกินอะไร ” ใบหน้าของนางมีรอยยิ้ม กริยาการวางตัวทั้งสูงส่งและเปิดเผยสง่างาม
จีเฉวียนประทับบนพระที่นั่ง ทอดพระเนตรมองดูเครื่องเสวยที่วางอยู่จนเต็มโต๊ะ ” เราจำไม่ได้ ของพวกนี้เป็นห้องเครื่องทำมา “
เหยีนเฉียวหลัว “……..” เขายังคงไม่รู้จักพูดจาเหมือนแต่ก่อนไม่มีผิด
นางยิ้มอย่างเก้อเขิน “พวกห้องเครื่องก็คงต้องมาถามไถ่พระประสงค์ก่อน ถึงได้ทำออกมา โอ้ ดูขนมบัวลอยข้าวหมักบนโต๊ะนี้สิ สุราเป็นสุราดอกท้อของต้าเหยียนเรา ดูก็รู้แล้วว่าเป็นความใส่ใจ “
” ที่ผ่านมาห้องเครื่องล้วนจัดการเองทุกเรื่อง ไม่จำเป็นจะต้องมารอถามความเห็นจากเรา “
รอยยิ้มของเหยียนเฉียวหลัวยิ่งแข็งค้างกว่าเดิม
นางรีบเปลี่ยนเป็นกล่าวเปิดประเด็นว่า ” ฝ่าบาท พวกเราไม่ได้พบกันนานหลายปี พระองค์ในยามนี้ยิ่งดูสง่างามองอาจอย่างไม่ธรรมดายิ่งกว่าเมื่อก่อน เมื่อครู่ตอนที่ข้ามองเห็นในแวบแรก ข้ายังเกือบจะจำไม่ได้เลย “
นางพูดพลาง ก็ตักบัวลอยข้าวหมักช้อนหนึ่งใส่ลงในชามของเขา ” ตอนนั้นที่ท่านยังอยู่ในต้าเหยียน ก็ชอบรับประทานสิ่งนี้ “
จีเฉวียน ” เจ้าจำผิดแล้ว เราไม่ชอบ “
ตรัสจบ เขาก็ยกชามที่อยู่ข้างหน้าตัวเองใบนั้นออกไป ว่ากันตามจริง อาหารมื้อนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ฮ่องเต้ยังไม่ได้เสวยเลยสักคำเดียว
สีพระพักตร์ก็ราวกับไม่พอพระทัย ราวกับว่ามีใครติดค้างหนี้เขาอยู่หลายเมืองก็ไม่ปาน
เหยียนเฉียวหลัวไม่รู้แล้วว่าจะชวนเขาพูดคุยอย่างไรดี ไม่ได้พบกันมาตั้งนาน เขาไม่คิดถึงนางเลยสักนิดหรือ?
นางไม่อาจสัมผัสได้ถึงความยินดีที่ได้กลับมาเจอกันจากตัวของเขาเลย
ราวกับว่านางจะมาหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรชีวิตของเขาสักนิดเดียว
” ฝ่าบาท พระองค์จะไม่ทรงถามหรือว่า จุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี่คืออะไร? ” ผ่านมาก็พักใหญ่แล้ว ในที่สุดเหยียนเฉียวหลัวถึงได้เปิดหัวข้อขึ้นมา
” มีเรื่องอะไรเจ้าก็รีบว่ามา ” จีเฉวียน บุรุษตัวโต ภูเขาน้ำแข็งของแท้ที่จะตรัสสักคำยังแพงกว่าทอง
” พระบิดาของข้าได้รับข่าวสารมา ในที่สุดก็ค้นพบสมบัติเทพของแคว้นเซอปี่ซือ แคว้นต้าฉินเองก็ได้ส่งคนนำไปก่อนแล้ว ” เหยียนเฉียวหลัวเล่าต่อไป ” ข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวัยเยาว์ของพวกเรา ถึงได้นำเรื่องสำคัญเช่นนี้มาบอกท่าน “
แคว้นเซอปี่ซือ นี่ยังเป็นแคว้นที่เก่าแก่ยิ่งกว่าแคว้นกู่เย่วเสียอีก
แคว้นนี้ไม่เหมือนกับแคว้นกู่เย่ว แคว้นกู่เย่วนั้นถูกต้าโจวทำลายไป แคว้นเซอปี่ซือกลับล่มสลายไปเอง
เรื่องเล่าลือเกี่ยวกับแคว้นนี้ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งและสมบัติที่มีเหลือคณานับ และคนในแคว้นที่มีอายุขัยยืนยาว คนทั่วไปอายุถึงร้อยปีก็นับว่ามากแล้ว แต่คนของแคว้นเซอปี่ซือกลับสามารถมีอายุได้ถึงห้าหกร้อยปี
คนแคว้นเซอปี่ซือยังมีนิสัยเจ้าปัญหาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือชอบสะสมสิ่งของมีค่า
นอกจากสะสมของมีค่าแล้ว พวกเขาก็ไม่คิดจะทำสิ่งใดอีก ดังนั้นต่อมาถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีทรัพย์สมบัติสะสมเอาไว้มาก แต่กลับขาดแคลนพืชพันธุ์ธัญญาหาร จนถึงขั้นไม่เพียงพอกับการดำรงชีวิต ทั้งคนในชาติยังเกียจคร้านอย่างที่สุด
จึงกลายเป็นชาติที่ต้องอดยากจนตาย
หลังจากที่แคว้นเซอปี่ซือล่มสลายไปแล้ว ก็ถูกกระแสลมและดินทรายกลบทับ ตลอดหลายปีมานี้ มีประมุขแคว้นและขุมอำนาจจำนวนไม่น้อยที่สละเลือดเนื้อเพื่อไปตามหาขุมทรัพย์ของแคว้นเซอปี่ซือ
แม้กระทั่งอดีตฮ่องเต้ทั้งสองพระองค์ของต้าโจวเอง ก็ไม่เคยละความพยายามที่จะตามหากรุสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือ
พอมาถึงรุ่นของเขาถึงได้พักเอาไว้ก่อน สำหรับจีเฉวียน หากนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว การจะต้องไปวิ่งไล่ไขว่คว้าสิ่งที่เป็นเพียงคำเล่าลือที่สัมผัสอะไรไม่ได้ ก็มิสู้มุ่งมั่นตั้งใจสร้างขึ้นมาใหม่ให้ประชาชนทั้งหลายได้อยู่ดีมีสุขดีกว่า
แต่ในเมื่อตอนนี้มีข่าวคราวส่งมาถึงหน้าประตู เขาก็ไม่คิดที่จะปฎิเสธ
เหยียนเฉียวหลัวขยับเข้ามาใกล้เขาอีกหน่อย กระซิบเสียงเบาที่ข้างพระกรรณว่า ” ฟังมาว่ากรุสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือมีของล้ำค่าอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ทั้งยังมียาวิเศษที่ทำให้ผู้คนสามารถมีอายุยืนยาวโดยไม่แก่ชรา ฮ่องเต้ต้าฉินเองก็ทรงพระชนมายุมากแล้ว เขามุ่งมั่นค้นหายาอายุวัฒนะไม่ยอมหยุด ดังนั้นในบรรดาผู้ที่ค้นหาสมบัติของเซอปี่ซือ นับว่าแคว้นต้าฉินโดดเด่นที่สุด คิดไม่ถึงว่าในที่สุดก็ถูกพวกเขาหาจนเจอ “
เหยียนเฉียวหลัวพูดพลาง ก็ล้วงเอาแผนที่กรุสมบัติครึ่งใบออกมาจากในอก
นางมิได้ถวายให้กับจีเฉวียนในทันที แต่กลับถือเอาไว้ในมือ ” ฝ่าบาท ข้าสามารถมอบแผนที่ครึ่งใบนี้ให้แก่ท่าน แต่ท่านต้องยอมรับเงื่อนไขของข้าข้อหนึ่ง “
——
คุยกันนิดนึง: เอาล่ะค่ะความโลภมาเยือนแล้ว
ตอนต่อไปชื่อ ” คนในดวงใจของเราคือสมบัติที่ล้ำค่ามากที่สุด
——
[1] 御史ตุลาการสูงสุด/ผู้ตรวจการ