ตู๋กูซิงหลันแห็นท่าทางของเขา ในใจก็เกิดความตระหนกขึ้นมา
ใช่เป็นเพราะว่ากลิ่นในห้องใต้ดินนี้รุนแรงเกินไปหรือไม่ ถึงได้ทำให้เขาพาลน้ำตาไหลออกมา?
นางยังจำได้ว่าตอนที่เขาถูกมูลราชาหมาป่ารมในพระตำหนักจิ่นซิ่ว เขาก็มีสีหน้าเช่นนี้
นางได้แต่โบกแขนเสื้อเบาๆ คิดจะพัดกลิ่นพวกนั้นให้เบาบางลง จมูกของฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ก็ดีเกินไปแล้ว เห็นท่าทางของเขาดูอ่อนแอเช่นนี้ น่ากลัวว่าหากทนไม่ไหวคงจะต้องเป็นลมล้มลงไปแน่
จีเฉวียนประทับยืนอยู่ด้านข้าง ก็ยื่นมือไปหยิบผลไม้สีแดงสดใสผลหนึ่งจากบนโต๊ะบูชาส่งให้กับนาง
อือ ในเมืองลี่โจวเดิมก็ไม่มีของกินอะไรอยู่แล้ว หลายวันนี้นางย่อมไม่ได้ทานอาหาร อย่าได้หิวจนย่ำแย่ไป
ตู๋กูซิงหลัน “? ” ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาหมายความว่าอะไร
นางรับผลไม้ที่จีเฉวียนส่งให้ไปอย่างเงียบๆ ของพวกนี้ไม่ใช่ว่าเอาไว้บูชาเทพหรือ?
” เจ้ากินเสียเถอะ เจ้าก็คือเทพที่อยู่เบื้องหลัง มิใช่ว่าต้องถวายบูชาให้เจ้าหรอกหรือ? ” วิญญาณทมิฬกรอกตาค้อน ตอนนี้มันอัดอั้นตันใจอย่างมาก ตัวมันไม่มีโอกาสได้กินเนื้องูที่เลิศรส ได้แต่ยอมยกทั้งหมดให้ไอ้ไก่นั่น แค่นี้ก็นับว่าได้รับความอยุติธรรมมากแล้ว
ตอนนี้เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นยังเป็นฝ่ายยื่นของกินให้หลันหลันด้วยตนเอง ฮือ ฮือ ฮือ
ตู๋กูซิงหลันเงียบงันไป เจ้าวิญญาณทมิฬนั่นเหมือนจะพูดถูก
……………………
ที่ด้านนอก ติ๊งต๊องที่มีเปลวเพลิงสีทองอยู่ทั่วร่าง กลืนเนื้องูลงไปหลายคำแล้ว
มันโบกปีกอันใหญ่โตไปมา ส่งเสียงสูงร้องกะต๊ากๆ ออกไป
เมื่อมีมันเป็นแม่ทัพ เหล่าองครักษ์และนักพรตทั้งหลายเป็นทหารราบ ก็สามารถสกัดงูยักษ์ตัวนั้นเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด อู๋ซื่อและอู๋เจินศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองเสกฝุ่นดินเป็นแส้มัดปากงูยักษ์ตัวนั้นเอาไว้ไม่ให้มันส่งเสียงกรีดร้องสร้างคลื่นในแม่น้ำลี่เหออีก
เหล่าองครักษ์ก็สกัดบริเวณลำคอของมันเอาไว้ เมื่อใช้ดาบกระบี่กระหน่ำแทงลงไป ถึงแม้ว่างูยักษ์จะมีเกล็ดที่ทั้งหนาและแข็งอย่างยิ่งก็สามารถกรีดจนเป็นแผลลากยาว
ที่สำคัญที่สุดก็คือเปลวเพลิงสีทองของเจ้าไก่ขนฟู ที่แผดเผาจนมันเจ็บปวดแทบสิ้นชีวิต
เหล่าประชาชนได้เห็นดังนั้นต่างก็พากันตกตะลึงจนถึงขีดสุด แต่ละคนยิ่งเพิ่มพูนความเคารพในตัวเทพธิดาแห่งสายน้ำ
พวกเขาเลิกจุดธูปเทียนบูชามานานหลายปี คิดไม่ถึงว่าเทพธิดาจะยังคงยอมส่งไก่เทพออกมาช่วยเหลือพวกเขากำราบปีศาจ
ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะฮ่องเต้ทรงทำการถวายบูชาอย่างได้ผล เขาคือโอรสที่สรวงสวรรค์เลือก เมื่อแผ่พระเกียรติแห่งจักรพรรดิออกมาก็สามารถทำให้เทพธิดายอมรับ
ที่ปลายหางของงูยักษ์ จีหรานที่ถูกปกป้องเอาไว้อย่างระมัดระวังมองดูงูยักษ์ต้องเจ็บปวดถึงเพียงนี้ ในใจของเขาก็เหมือนจะบิดเป็นเกลียว
เขาอยากจะดิ้นออกไปจากหางงู แต่ว่างูยักษ์กลับรัดเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ทั้งยังรับดาบแทนเขาไปอีกหลายครั้ง
จีหรานไอออกมาหลายครั้ง ตะโกนใส่ชือหลีอย่างคลุ้มคลั่ง ” ชือหลี จะฆ่าจะแกงก็จงมาลงที่ข้าผู้เป็นอ๋อง อาฉิงนางไม่ได้ผิดอะไร! “
ภายในอารามสีหน้าของชือหลีพลันเปลี่ยนไป ความเกลียดชังที่รุนแรงพวยพุ่งขึ้นมาจนเกือบจะทลายยันต์สีชาดของตู๋กูซิงหลันออกไป
นัยตายาวรีสีแดงเลือดคู่นั้นทอประกายแสงเย็นยะเยือกดั่งธารน้ำแข็ง จดจ้องมองจีหรานอย่างลึกล้ำ นางแย้มยิ้มอย่างเย็นชา ” พวกเจ้าช่างเป็นชายหญิงชาติสุนัขที่มีความรักลึกล้ำต่อกันจริงๆ “
หากมิใช่เป็นเพราะถูกยันต์สีชาดของตู๋กูซิงหลันควบคุมเอาไว้ นางจะต้องสับชายหญิงชาติสุนัขคู่นี้จนเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว
” ชือหลี เจ้ามันไม่มีเมตตาไร้ปราณี ทั้งที่เป็นถึงเทพ หากปีนั้นเจ้าไม่ได้พรากข้ากับอาฉิง บีบบังคับให้ข้าแต่งเจ้าเป็นภรรยา พวกเราก็คงไม่ต้องมีวันเป็นเช่นนี้! ” จีหรานตอกย้ำอย่างหนักแน่น ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองมีความผิดใดเลยสักนิด
” ตอนนั้นข้ายังเยาว์วัยไม่รู้ความ ถึงได้ให้คำสัญญากับเจ้าไป เจ้ากลับยึดไว้ไม่ยอมปล่อย บุรุษในโลกมีนับพันนับหมื่น ทำไมจึงจะต้องเป็นอ๋องเช่นข้าเท่านั้น? “
ยามนี้ชือหลีคิดแต่เพียงจะตัดลิ้นของเขาออกมาป้อนให้สุนัขกิน ดูคำพูดเหล่านั้นสิยังจะใช่คนอยู่หรือไม่?
ตู๋กูเจวี๋ยทนดูไม่ได้อีกต่อไป ถูกขังอยู่คุกใต้ดินมาตั้งนาน เขาย่อมได้รับรู้เรื่องราวของชือหลีมาเจ็ดแปดส่วน
บวกกับที่เขามาบรรเทาทุกข์อยู่ที่ลี่โจวนี้เกือบครึ่งปี นับว่าได้รู้จักท่านอ๋องจีหรานผู้นี้จนคุ้นเคย อ๋องผู้นี้เป็นคนเช่นไร ตนเองเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง
” หรานอ๋อง ข้าจะไม่ด่าเจ้าก็คงจะไม่ได้แล้ว จะเลวก็เลวไปเถอะ ไยต้องมาทำให้ราชวงศ์ต้องแปดเปื้อนถึงเพียงนี้ เจ้ามันทำให้พวกเราเหล่าบุรุษต้องอับอาย! “
” ดูแม่นางเทพธิดาสิ นางงดงามหาใดเทียบ มีรักแท้ให้โดยไม่แปรผัน ทั้งยังมีบุญคุณช่วยชีวิตเจ้า ปกป้องชาวเมืองลี่โจวมาตลอดหลายปี ฐานะสูงส่งเกินใดเทียบ นางเกิดความรักต่อเจ้า ต่อให้บรรพบุรุษของเจ้าฟื้นขึ้นมาก็ยังไม่อาจวาดฝันได้ “
” เจ้ากลับดีเหลือเกิน ไม่เพียงแต่หักหลังนาง ไปพลอดรักเพ้อรำพันกับน้องสาวของผู้อื่น ตอนนี้ยังจะกล้ามาโต้กลับ สาดน้ำเย็นใส่เทพธิดาเช่นนาง เจ้าไม่ละอายบ้างหรือไร? เจ้าไม่ละอาย ฮ่องเต้ยังทรงละอายแทนเลย ต้องมามีเสด็จอาเช่นเจ้า ก็ไม่รู้ว่าเป็นความซวยของพระองค์มากี่ชาติกัน! “
ว่าแล้ว เขาก็ไม่ลืมหันกลับไปขอคำยืนยันจากฮ่องเต้สักหน่อย ” ฝ่าบาท พระองค์คิดว่ากระหม่อมพูดถูกหรือไม่พะยะค่ะ? “
พอจีเฉวียนได้ยินคำพูดของเขาก็ปวดพระเศียรขึ้นมา เขานวดขมับเบาๆ ” บุรุษในตระกูลจีของข้า ที่ผ่านมาล้วนสูงส่งดั่งทองพันชั่ง “
” ฟังสิ ฟัง! ” ตู๋กูเจวี๋ยย้ำคำนั้นไม่มีหยุด รีบกล่าวต่อไปว่า ” หรานอ๋อง เจ้ามันไม่สมกับที่เป็นบุรุษเป็นลูกหลานในตระกูลจี! “
” หุบปากเจ้าของเจ้าซะ ” ชือหลีรำคาญเขาอย่างที่สุดแล้วจริงๆ
” แม่นางเทพธิดา เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ไอ้บุรุษเสเพลเช่นนี้ไม่ว่าใครก็สามารถลงโทษมันได้ทั้งนั้น ท่านเป็นถึงเทพที่คนเคารพ ย่อมด่าออกมาไม่ได้ ข้ามันเป็นเพียงคนธรรมดาย่อมด่าได้ถนัดอยู่แล้ว แต่ว่าข้าก็ต้องขอตำหนิท่านสักหน่อย สายตาการเลือกบุรุษของท่านนับว่าใช้ไม่ได้จริงๆ ท่านที่โดดเด่นถึงเพียงนี้ จะต้องไปแขวนคอตายใต้ต้นไม้ทำไม? ” (เปรียบเทียบถึงความผิดหวังในรัก)
” คนที่รักท่าน ต่อให้ตีให้ตายก็ยังไม่ยอมไปจากท่าน หากไม่ได้รัก จะฝืนได้มาเพื่ออะไร ” ตู๋กูเจวี๋ยยังคงพูดต่อไป ” ต้องสละลมหายใจไปให้กับบุรุษเสเพลเช่นนี้ ช่างไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ ไยจึงไม่ละวางความเกลียดชังนั้นลงเสีย กลับไปเป็นเทพธิดาแห่งสายน้ำอีกครั้ง ดูแลชาวประชา ได้รับการสักการะอย่างยิ่งใหญ่ หรือไม่ก็สักวันหนึ่ง อาจจะมีคนที่ยินดีร่วมเป็นร่วมตายกับท่านปรากฎตัวขึ้นมาก็ได้ “
ชือหลี “……” เอาจริงๆ เลยนะ หากมิใช่ว่ามียันต์สีชาดนั้นควบคุมนางเอาไว้ นางก็จะกระชากลิ้นของตู๋กูเจวี๋ยออกมาด้วย
ตลอดครึ่งปีมานี้ จีหรานเองก็รู้ดีถึงความร้ายกาจในวาจาตู๋กูเจวี๋ย พอได้ยินคนผู้นี้เอ่ยปากขึ้นมาก็รู้สึกว่าความหวังทั้งหมดดับสูญ
” ชือหลี เจ้าไม่ต้องมายืมปากของไอ้หนุ่มนั่นมาดูถูกข้า ตอนนั้นทั้งหมดที่ข้าทำลงไปเป็นเพราะว่าถูกเจ้าบีบคั้น เจ้ารีบปล่อยอาฉิงเสีย ข้ายอมรับการลงโทษทั้งหมดจากเจ้า “
ดวงเนตรของจีหรานปูดโปนไปด้วยเส้นเลือด เขาเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะเกิดความเปลี่ยนแปลงไปจนมาถึงจุดนี้
เรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาก็ไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีกแล้ว
เขารู้จักชือหลีมานานหลายปี รู้ว่านางดูถูกคนที่ขี้ขลาดตาขาวที่สุด หากว่าเขาวิงวอนขอให้นางละเว้น ตนเองและอาฉิงก็มีแต่จะต้องตายเร็วขึ้น
มิสู้ฝืนอดทนไว้ บางทีชือหลีอาจจะละเว้นพวกเขาก็ได้
ชือหลีโกรธเกรี้ยวจนดวงจิตไหววูบ นางกำลังคุ้มคลั่งจนแทบจะทลายพลังที่ควบคุมนางอยู่ออกไป
แต่ตู๋กูซิงหลันยังคงใช้ยันต์สีชาดควบคุมนางเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที
จากนั้นก็ได้ยินเสียงนางยืมปากของชือหลีเอ่ยออกมาว่า ” เจ้าไม่มีคุณสมบัติจะมาต่อรองกับเราผู้เป็นเทพ บุรุษเจ้าชู้และสตรีชั่วช้าคู่หนึ่ง ฆ่าพวกเจ้าทิ้งก็เปื้อนมือของเราเปล่าๆ “
ชือหลีเดิมที่ก็หลงเหลือแต่เพียงดวงจิตอยู่แล้ว ตลอดหลายปีมานี้นางทำให้บุรุษชุดขาวต้องตายไปหลายคน เดิมทีก็นับว่ามีความผิดติดตัวอยู่แล้ว หากว่าสองมือยังต้องแปดเปื้อนเลือดอีก เช่นนี้แม้แต่ด้วยจิตของนางก็ต้องมีมลทิน ได้แต่ดิ่งลงสู่วิถีของมาร
ตู๋กูซิงหลันตอบไปอีกว่า ” เจ้าชักนำงูยักษ์มาปั่นป่วนแม่น้ำหลี่เหอ ทำร้ายสรรพชีวิตไปมากมาย โทษทัณฑ์นี่ยังหนักหนายิ่งกว่าที่หลอกลวงเรา และทำลายควันธูปของเราผู้เป็นเทพเสียอีก เรื่องของผู้คนบนโลกเราผู้เป็นเทพจะไม่ยื่นมือสอดแทรก ย่อมต้องให้ฮ่องเต้ทรงคืนความยุติธรรมให้กับประชาชนทั้งหลายเอง “