จีเฉวียน ที่เย็นยะเยือกอยู่เสมอ แต่ว่าเมื่อได้พิงกับตัวเขา นางรู้สึกว่าสบายไปทั้งร่าง ความร้อนรุ่มที่ผุดขึ้นมาจากภายใน ก็เหมือนกับว่าได้รับการผ่อนคลาย
จีเฉวียน ห้ามนางไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้คิดจะผลักไสนางออกไป ใบหน้าที่เฉยชานั้นปรากฎรอยยิ้มขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันจ้องมองดู ก็ส่ายศีรษะ ” ไม่พอ ยังไม่พอ “
พูดแล้วตู๋กูซิงหลันก็ปล่อยเขา นางยกสองนิ้วขึ้นมา สัมผัสเบาๆ ลากจากมุมปากไปที่ข้างแก้มทั้งสองข้าง จนเกินเส้นโค้งตามมา ทำให้นางพอใจได้ในที่สุด นางก็ค่อยยิ้มออกมาบ้าง
” เช่นนี้จึงจะถูกต้อง “
ว่าแล้วก็ไม่ลืมที่จะชมเขาประโยคหนึ่ง ” จีเฉวียน ท่านน่าดูมากๆ เลย “
จีเฉวียนมองดูนางยิ้มแย้ม พระทัยก็หลุดลอยไป จนทรงลืมเลือนว่ามีผู้คนมากมายอยู่รอบข้าง ตรัสถามออกไป ” เจ้าชอบหรือไม่? “
” ชอบสิ ชอบมากๆ เลย” ตู๋กูซิงหลันพูดพลาง ก็ปล่อยมือจากเขา ทำท่าหัวใจดวงโตๆ ให้เขาดู
ทำเสร็จแล้วนางก็ยื่นสองมือออกมา กอดเอวเขาเอาไว้แน่นๆ อีก ดวงตาเล็กๆ คลอเคลียอยู่บนอกของเขา ถูกไถไปมา ” จีเฉวียน ข้ารู้สึกแย่มากเลย ขอกอดท่านอย่างนี้ตลอดไปได้หรือไม่? “
ถึงยามนี้จีเฉวียนค่อยรู้สึกขึ้นมาว่าร่างกายนางร้อนระอุประหนึ่งเตาไฟ คนแทบจะร้อนลวกไปทั้งตัว
เหล่าขุนนางใหญ่ เชื้อพระวงค์สูงศักดิ์ทั้งหลายคืนนี้ต่างก็ได้เห็นจนประจักษ์ชัดแล้ว
ไทเฮาน้อยทรงสำแดงวิชายั่วยวนฝ่าบาทให้ดู ฉากที่ได้เห็นนี้ยังดึงดูดสายตาได้มากกว่าการแสดงคืนนี้มากมายนัก
เหล่าพระสนมในวังหลังต่างก็มองดูกันจนปากอ้าตาค้าง ขอโทษทีเถอะ พวกนางคงจะต้องกราบกรานยอมแพ้เสียแล้ว!
ฝีมือยั่วยวนที่ไร้ยางอายขนาดนี้ พวกนางคงจะไม่อาจร่ำเรียนได้
ตู๋กูจุนเองก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง น้องสาวกำลังเล่นละครใดอยู่? หรือว่าจะถูกตาต้องใจจีเฉวียนขึ้นมาจริงๆ?
เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นมีดีในที่ใดกัน? รู้หรือไม่ แม้แต่ปลายเท้าของนางเขาก็ยังไม่คู่ควรด้วยซ้ำ
ซูเม่ยเองก็ร้อนใจขึ้นมาแล้ว เห็นตำตาว่าตู๋กูซิงหลันโอบกอดจีเฉวียนอย่างแนบแน่น เขาก็หึงหวงจนอยากจะทำลายพระตำหนักจิ่นซิ่วให้ราบแล้ว
เขาก้าวเข้าไปดึงตู๋กูซิงหลันออกมา ” อาหลัน เจ้าตั้งสติหน่อย “
” อย่ามาดึงข้า ข้าจะกอดเขา จีเฉวียน กอด กอด~” ตู๋กูซิงหลันราวกับเป็นปลาหมึกไปแล้ว เกาะติดกับจีเฉวียน จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมปล่อย
นางมีเรี่ยวแรงมาก แค่โบกมือยังเกือบจะผลักซูเม่ยจนกระเด็น
ผู้คนทั้งหมดต่างเห็นกับตา จุ จุ …….ไทเฮากับหวงกุ้ยเฟยแย่งชิงฝ่าบาทกัน ละครฉากนี้ยิ่งทีก็ยิ่งสนุกไปกันใหญ่แล้ว!
จีเฉวียนมองดูสาวน้อยที่ร่ำร้องขอให้อุ้มในอ้อมอก ทั้งๆ ที่ทรงรู้ดีว่าสมควรจะผลักไสนางไปให้ไกล แต่ว่าพระหัตถ์คู่นั้นกลับกอดนางกลับไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ ดวงเนตรหงส์กวาดขึ้นมามองดูผู้คนที่กำลังจดจ้องมา
” ไทเฮาทรงเมาสุรา ไม่รู้องค์ งานเลี้ยงในคืนนี้สิ้นสุดลงแล้ว ออกจากวังแล้วกลับบ้านไปเสีย “
ผู้คนทั้งหลายยังคิดจะชมดูความสนุกสนานต่อไป แต่ว่าสายพระเนตรของฝ่าบาทกลับเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร แต่ละคนแม้มีใจอยากหากก็ปราศจากความกล้า ได้แต่ทยอยกันออกจากพระตำหนักจิ่นซิ่วไป
เหล่าพระสนมทั้งหลายต่างก็ยังยืนอยู่ที่เดิม พูดกันตามจริงตอนนี้พวกนางต่างโกรธเกรี้ยวจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้นมาบ้างแล้ว แม่ยายถึงขนาดแย่งชิงสามีของนางต่อหน้า โทสะเช่นนี้จะให้กล้ำกลืนลงไปได้อย่างไร?
ซูเม่ยที่เป็นถึงหวงกุ้ยเฟยก็ใช้การไม่ได้เสียเลย ยามปกติมิใช่ว่านางเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทที่สุดหรอกหรือ? ทำไมพอตอนนี้แม้แต่จะมองฝ่าบาทก็ยังไม่ทรงชายพระเนตรให้นางเลย?
ตู๋กูจุนยังคงไม่ได้จากไป ท่าทางเช่นนี้ของน้องสาวทำเอาเขากังวลมากจริงๆ
เขาเดินเข้าไปใกล้ คิดจะดึงเอาตัวนางออกมาจากจีเฉวียน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ลงมือ ก็เห็นจีเฉวียนโอบอุ้มนางขึ้นมาทั้งตัว ” เราจะส่งนางกลับตำหนักเฟิ่งหมิงด้วยตนเอง ท่านแม่ทัพอย่าได้เป็นกังวล “
หยวนเฟยเกรงว่าเขาจะขัดแย้งกับฝ่าบาท ก็รีบกล่าวขึ้นมาว่า ” ท่านแม่ทัพผู้พิชิต ข้าจะคอยดูแลไทเฮาด้วยตัวเอง ท่านก็กลับจวนไปอย่างวางใจเถอะ “
ว่ากันตามนิสัยของตู๋กูจุน เกรงว่าเรื่องที่ต่อให้ต้องแย่งชิงคนกับฝ่าบาทก็คงจะกล้าทำ
หยวนเฟยกังวลในอาการบาดเจ็บของเขาที่ยังคงไม่หายดี หากว่าเกิดใช้กำลังกันขึ้นมา จนได้รับบาดเจ็บซ้ำอีกก็คงจะแย่แน่ๆ
นางทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งก็ดึงแขนเสื้อของตู๋กูจุน ให้เขาถอยไปด้านหลัง
องค์หญิงใหญ่ก็ทอดเนตรมองมาจากจุดที่ไม่ไกลนัก
” ฝ่าบาทย่อมไม่ทรงทำร้ายไทเฮา เจ้าไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดไป “
นางคือคนที่รู้จักความรัก รักจนถึงขั้นแม้ตายจากกัน ย่อมเข้าใจความรู้สึกของหนุ่มสาวมากกว่าผู้ใด ฮ่องเต้ผู้ทรงเป็นอนุชาของนาง ไม่เคยมีความอ่อนโยนให้กับผู้ใดมาก่อน
พอได้ฟังคำขององค์หญิงใหญ่ ตู๋กูจุนก็ค่อยเย็นลงได้บ้าง ไม่เข้าไปแย่งชิงคนอีก
จากนั้นก็ได้ยินองค์หญิงใหญ่ตรัสเพิ่มอีกว่า ” เราเองก็จะกลับแล้ว รบกวนท่านแม่ทัพ คุ้มครองส่งพวกเราแม่ลูกด้วย “
นี่เป็นครั้งแรกที่นางขอร้องออกมาด้วยตนเอง ตู๋กูจุนตะลึงไปเล้กน้อย ค่อยผงกศีรษะ ” ได้ “
เขารับคำแล้วก็หันมาเหลือบมองตู๋กูซิงหลันแวบหนึ่ง เห็นนางกอดแขนจีเฉวียนเอาไว้อย่างแนบแน่น ซุกศีรษะเข้าไปในอ้อมอกของเขา แย้มยิ้มอย่างโง่งม
ก็คิดว่านางดื่มสุรามากไปจึงได้เอาแต่ใจเหมือนดั่งเด็กน้อย
ตู๋กูจุนออกจากตำหนักจิ่นซิ่ว ถือดาบใหญ่ประจำตัวของเขาคุ้มครององค์หญิงใหญ่แม่ลูกกลับไป
ในตำหนักจิ่นซิ่ว เหล่าสนมยังคงไม่ยอมแยกย้าย จีเฉวียนก็ทรงอุ้มตุ๋กูซิงหลันเอาไว้เตรียมจะเสด็จไปตำหนักเฟิ่งหมิงกง
แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวพระบาทออกจากตำหนัก ก็เห็นอันหร่วนขวางอยู่ที่เบื้องหน้าพระพักตร์ คุกเข่าลงไปอย่างแรง ” ฝ่าบาท พระองค์ไม่อาจจะทรงกระทำเรื่องเหลวใหลนะเพคะ “
อันหว่านจือที่อยู่ข้างๆ นาง ก็คุกเข่าลงไปเช่นกัน
น่าตายนัก นางคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะยอมอ่อนให้กับตู๋กูซิงหลันจนถึงเพียงนี้
เป็นถึงไทเฮาของบ้านเมือง กล้ายั่วยวนฝ่าบาทต่อหน้าฝูงชน กลับไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไร? ทำไมถึงได้ผิดท่าไปได้ถึงเพียงนี้?
ฝ่าบาทเองก็เช่นกัน มิได้ทรงกริ้วเลยแม้แต่น้อย กลับจะส่งนางกลับตำหนักด้วยพระองค์เอง
หากปล่อยให้ส่งกลับตำหนักเฟิ่งหมิงทั้งๆ อย่างนี้ยังจะเหลือหรือ? เกรงว่าพอกลับถึงตำหนักเฟิ่งหมิง เขาก็คงจะจับตู๋กูซิงหลันกลืนกินลงไปทั้งเป็นแน่แล้ว
ยาเสน่ห์นี้มีฤทธิ์รุนแรงนัก ต่อให้เป็นถึงเทพเซียนก็ดิ้นไม่พ้น
เกรงว่านางวางแผนวุ่นวายขึ้นมารอบหนึ่ง กลับกลายเป็นตัดชุดแต่งงานให้กับผู้อื่นหรือไม่?
จีเฉวียนเพียงแต่ทอดพระเนตรมองแวบหนึ่ง ก็สาวพระบาทก้าวออกไป
อันหร่วนรีบหมอบลงไปกับพื้น ” ฝ่าบาท ยามฮองเฮายังทรงพระชนม์อยู่ ก็ทรงให้ความสำคัญต่อกฎระเบียบและจารีตประเพณีอย่างที่สุด พระองค์ทรงเป็นพระโอรสเพียงผู้เดียวในโลกนี้ของพระนาง ไม่อาจจะทรงทอดทิ้งกฎได้นะเพคะ”
อันหร่วนทูล แล้วก็จดจ้องมองสตรีในอ้อมพระกร ” จะอย่างไรก็เป็นถึงไทเฮาของแว่นแคว้น กลับยั่วยวนพระองค์ต่อหน้าผู้คน ไม่รู้จักระวังรักษากิริยา บ่าวเฝ้าดูฝ่าบาทมาตั้งแต่พระเยาว์จนเติบใหญ่ ไม่อาจปล่อยให้พระองค์ทรงถูกเล่ห์อุบายยั่วยวนเช่นนี้นะเพคะ “
” ยั่วยวน งั้นหรือ? ” จีชวนทรงตรัสพระสุรเสียงเย็นยะเยือก ” เช่นนั้นเราก็คงจะต้องสั่งให้คนสืบสวนดูให้ดีแล้วว่าน้ำแกงสร่างเมาชามนั้นตกลงแล้วเป็นอะไรกันแน่ “
ตู๋กูซิงหลันแต่ไหนแต่ไรก็เป็นสาวน้อยที่เจ้าเล่ห์และรู้จักรักชีวิตตนเอง ต่อให้นางเมามายจนไม่เป็นผู้เป็นคน ก็ไม่มีทางจะก่อเรื่องจนถึงขั้นยั่วยวนเขาต่อหน้าฝูงชนขึ้นมาได้
แค่เรื่องอุปนิสัยของนาง เขาย่อมรู้ดีอยู่แล้ว
หากว่าเป็นเขาที่ดื่มน้ำแกงสร่างเมานั่นลงไป เกรงว่าผลลัพธ์คงจะกลับกลายเป็นอีกแบบหนึ่ง
อันหร่วนตกตะลึงไป นางยังไม่ทันกล่าวสิ่งใด ก็เห็นอันหร่วนจรืออดรนทนไม่ไหว รีบร้อนกล่าวขึ้นมาบ้างว่า ” ฝ่าบาท พระองค์ก็ทรงใช้เข็มเงินทดสอบดูแล้วมิใช่หรือเพคะ? นั่นเป็นความหวังดีของบ่าว ไยจึงทรงหันมาระแวงบ่าวได้กัน? “
” ฝ่าบาท เพื่อปกป้อง สตรีที่กล้ายั่วยวนเจ้าแผ่นดิน จึงทรงสาดความผิดนี้ใส่บ่าว บ่าวเสียใจเหลือเกิน “
พูดแล้ว อันหว่านจือก็น้ำตาไหล ” บ่าวรับใช้ฝ่าบาทมาตั้งนาน ไม่เคยคิดอาจเอื้อมเลยแม้แต่น้อย ถึงตอนนี้คนที่มีจุดประสงค์ไม่ดีก็คือไทเฮาต่างหากเพคะ “