ซูเม่ย “!!! “
สุรเสียงของจีเฉวียนดังกังวานขนาดนั้น แม้กระทั่งอันหว่านจือที่ยืนอยู่เหนือขั้นบันไดยังได้ยินอย่างชัดเจน นางหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที วิ่งตึงๆ ลงมาอย่างรวดเร็ว
ก็ได้ยินฝ่าบาทรับสั่งเสริมต่อไปอีกว่า “เจ้าสนิทสนมกับไทเฮามาโดยตลอด ย่อมไม่อาจทนเห็นนางโดดเดี่ยวอยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงได้”
จีเฉวียนตรัสไปสายพระเนตรก็จับจ้องตู๋กูซิงหลันโดยมิได้กระพริบ ” จงรีบตั้งครรภ์มีพระราชนัดดาในเร็ววัน จะได้เอามาอยู่เป็นเพื่อนไทเฮา ไม่ให้ทรงเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง”
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกผิดคาดไปอยู่บ้าง เจ้าฮ่องเต้องค์นี้จะรีบร้อนไปหน่อยไหม?
สีหน้าของนางจึงดูกลัดกลุ้มไปเล็กน้อย
พอเห็นสีหน้าที่กลัดกลุ้มของนาง ความโกรธเกรี้ยวในพระทัยของจีเฉวียนก็เบาบางลงไป ” ว่าไง เจ้าสำนึกเสียดายแล้ว? “
ตู๋กูซิงหลันรีบส่ายศีรษะ นางลดเสียงเบาลงไปอีก เขย่งเท้าขึ้นกระซิบถึงข้างพระกรรณ ให้มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน ” ฝ่าบาท ตรงนั้นของท่านยังไม่ค่อยจะหายดี หม่อมฉันเกรงว่าพระองค์จะไม่ไหว กลัวจะเกิดบาดเจ็บขึ้นมาอีก หรือไม่อาจทำให้เสี่ยวซูเฟยพึงพอใจ…. “
คำพูดของนางยังไม่ทันจบ จีเฉวียนก็สบัดพระหัตถ์ซัดฝ่ามือใส่ลำต้นของต้นกุ้ยที่อยู่ข้างพระองค์ในทันที
บอกว่าเขาไม่ไหว?
ฝ่ามือนี้ใช้ออกด้วยกำลังรุนแรงอย่างยิ่ง ทำเอาลำต้นของมันโยกคลอนไปมา หิมะที่เกาะอยู่ด้านบนก็ร่วงพรูลงมาจนหมดราวกับเกล็ดน้ำแข็งที่โดนทุบจนแตกกระจาย
” ระวัง! ” ซูเม่ยรีบโผเข้าไปที่ข้างตัวตู๋กูซิงหลัน คิดจะดึงตัวนางออกมา
แต่ว่านางยังคงเคลื่อนไหวช้าไปก้าวหนึ่ง
เพียงทันเห็นแค่ฮ่องเต้ดึงรั้งตู๋กูซิงหลันเข้าไปในอ้อมพระพาหา ยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นฉากกำบังให้นาง แต่พระองค์เองกลับถูกหิมะหล่นใส่ทั้งร่าง
เดิมทีพระวรกายของพระองค์ก็แพ้ความหนาวอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ยังแช่พระหัตถ์ลงในน้ำที่เย็นจัด ยามนี้ยิ่งถูกหิมะกระหน่ำใส่ลงมาอีก เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ตลอดทั้งพระองค์ก็เย็นเฉียบราวกับก้อนน้ำแข็งที่ถูกขุดออกมา
ตู๋กูซิงหลันถูกเขากอดเอาไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าแนบกับอ้อมอก ถึงแม้จะเป็นผ้าฝ้ายหนาๆ แต่ก็ยังได้ยินเสียงหัวใจของเขาอย่างชัดเจน
หัวใจที่เต้นแรงและเร็วมาก
” ฝ่าบาท พระองค์เป็นอย่างไรบ้างเพคะ? ” อันหว่านจือรอจนหิมะร่วงลงมาจนหมะแล้วจึงได้วิ่งเข้าไป
นางล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เขย่งปลายเท้าขึ้นคิดจะปัดหิมะที่อยู่บนพระองค์ออกไป
จีเฉวียนถลึงพระเนตรใส่นาง ทำเอามือของนางชะงักค้างอยู่ตรงนั้น
ในชั่วแวบนั้นเอง นางรู้สึกว่าหากตนเองแตะต้องพระองค์ มือทั้งสองข้างของนางมีหวังถูกพระองค์ตัดทิ้งอย่างแน่นอน
พระบารมีของฮ่องเต้เป็นสิ่งที่นางไม่สามารถอาจเอื้อมหรือสัมผัสได้เลย
ในใจของนางบังเกิดความหวาดกลัวอย่างไร้ที่มา จึงตัดสินใจถอยออกไปอีกก้าวหนึ่ง
ได้แต่อาศัยดวงตาทั้งคู่ทิ่มแทงตู๋กูซิงหลันที่ยังซุกอยู่ในอ้อมพระพาหา
เป็นเพราะมันอีกแล้ว!
มันทำตัวเป็นบัวขาวดอกใหญ่!
เบื้องหน้าทำเหมือนมิได้ใส่ใจใยดีฝ่าบาท แต่ทุกความเคลื่อนไหวของนางกลับซอกซอนเข้าไปในพระทัยของพระองค์ ล่อลวงไปกระทั่งพระวิญญาณ!
ดู๊ดูเอาเถอะ ดูที่พระองค์ทรงกระทำ หากเมื่อครู่ที่ตกลงมาจากฟ้าเป็นฝนดาบ เกรงว่าพระองค์ก็ยังคงรับเอาไว้แทนนางแล้ว
นังคนนี้ช่างรู้จักเล่นละครนัก ตั้งแต่ตอนที่เจอกันที่ตำหนักเฟิ่งหมิงตนเองก็ดูนางออกแล้ว
นังแพศยาผู้นี้เป็นนางจิ้งจอกที่สามารถล่อลวงบุรุษได้เสียยิ่งกว่าซูเม่ยอีก!
ในอ้อมพระพาหาของจีเฉวียน แค่ตู๋กูซิงหลันขยับมือ ก็สัมผัสถูกพระหัตถ์ของพระองค์ ฝ่ามือเมื่อครู่ทรงใช้พละกำลังอย่างเต็มที่ พระหัตถ์ที่เดิมมีบาดแผลจึงยิ่งฉีกขาดจนพระโลหิตรินไหล โลหิตนั้นหยดลงบนหลังมือของนาง สีหน้าของตู๋กูซิงหลันก็แปรเปลี่ยนไปในทันที
อีกแล้ว….นางรู้สึกถึงพลังหยินที่ดึงดูดเอาภูติผีวิญญาณร้ายนับหมื่นนับพันให้เข้ามาหา
ราวกับบ่วงในขุมนรกที่กดทับจนผู้ใดก็หายใจไม่ออก
สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ นางคว้าพระหัตถ์ของพระองค์ไว้ในทันทีปิดตาตนเองคิดจะอาศัยประสาทสัมผัสดำดึ่งลงไปให้รู้ แต่กลับไม่สามารถสัมผัสสิ่งใดได้เลย
ซูเม่ยที่เห็นเหตุการณ์อยู่ด้านข้าง ก็เผยดวงตาชั่วร้ายออกมา
นางประมาทจีเฉวียนเกินไปแล้ว
” ตู๋กูซิงหลัน ปล่อย ” น้ำเสียงของจีเฉวียนเย็นชา ดึงพระหัตถ์ที่บาดเจ็บกลับไปอย่างแรง
ขณะเดียวกันก็ปล่อยนางในทันที
” กลับไปเฝ้าตำหนักเฟิ่งหมิงของเจ้าเสีย ฤดูหนาวหิมะแรง เดี๋ยวจะโดนฝังทั้งเป็น”
พระองค์พยายามอดกลั้นต่อความหนาวสั่นที่กำลังจะจับแข็ง ผลักตู๋กูซิงหลันออกไป ตนเองก็ก้าวถอยไปอีกหลายก้าว
ท่ามกลางหิมะและอากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ ตลอดพระองค์เย็นจัดดุจเดียวกับน้ำแข็ง ไม่ว่าใครเข้าใกล้เพียงนิดเดียวเป็นต้องถูกแช่แข็งไปด้วย
พระองค์เสด็จตรงไปยังบันได เพื่อกลับไปยังพระตำหนักตี้หัว พอเสด็จถึงบนระเบียงก็หันพระพักตร์กลับมาทอดพระเนตรซูเม่ยแวบหนึ่ง
” ซูกุ้ยเฟย กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งหน้าแต่งตัวเสียใหม่ ชุนเอินเหนียนจะไปรับเจ้าที่ตำหนักชุ่ยเวยก่อนอาทิตย์ตกดิน “
ว่าแล้ว พระองค์ก็ทรงเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “คืนนี้ เจ้าต้องทำตัวให้ดี จะต้องมีลูกให้ได้ในคราวเดียว อย่าได้ทำให้ไทเฮาทรงผิดหวัง “
ซูเม่ยถึงกับริมฝีปากกระตุกอย่างแรง
แต่ด้วยฐานะของฮ่องเต้ทำให้นางมิอาจปฎิเสธออกไปได้ แม้สักครึ่งคำ ขอเพียงนางกล่าวว่าไม่ออกไปเพียงนิดเดียว ฝ่าบาทย่อมต้องหักกระดูกนางจนป่นไปเสียก่อน
นางได้แต่ย่อตัวถวายคำนับ ทูลตอบว่า ” เพคะ”
อันหว่านจือกลับอยากจะร้องไห้จนสลบไสลไปเดี๋ยวนี้เลย
ตลอดหลายวันมานี้นางคอยยกน้ำชาปรนนิบัตอยู่ในพระตำหนักตี้หัว ทำงานที่ต่ำต้อยที่สุด ก็เพื่อจะได้ใกล้ชิดฝ่าบาทให้มากขึ้น
ตลอดทั้งอาทิตย์นางพยายามส่งสายตาทอดสะพานให้ฝ่าบาทอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าฝ่าบาทกลับคล้ายพระเนตรบอด แทบจะไม่เคยมองดูนางอย่างเต็มตาเลยเสียด้วยซ้ำ
ทำไม……ทำไมเพียงเพราะแค่นังแพศยาตู๋กูซิงหลันนั่นต้องการอุ้มพระราชนัดดา ก็จะต้องไปโปรดปรานซูเม่ยในทันทีหรือ?
นางอุตส่าห์ยอมทำงานหัวปักหัวปำอยู่ตั้งนาน กลับกลายเป็นการตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่นไปเสียอย่างงั้น
นางเข้าวังมาก่อนนานพักใหญ่แล้ว ย่อมเคยได้ยินมาว่าฝ่าบาทยังไม่เคยแตะต้องพระสนมคนใดมาก่อนเลย
เดิมที…..นางต่างหากที่สมควรจะได้รับเลือกให้ถวายตัวเป็นคนแรก
นางหันไปมองซูเม่ย และก็หันไปจ้องตู๋กูซิงหลันอีก นางก็ตระหนักได้ในทันทีว่า สตรีสองคนนี้ จะต้องตั้งใจมาที่นี่เพื่อแสดงละครอย่างแน่นอน จุดประสงค์ก็เพื่อจะได้โอกาสในการถวายตัว!
ตู๋กูซิงหลันและซูเม่ย เป็นนางจิ้งจอกฝูงเดียวกัน! พวกมันร่วมมือกันวางแผนทั้งหมดนี้!
นางแค้นเสียจนจิกเล็บเข้าไปในฝ่ามือ กัดฟัดเสียงกรอดๆ นางจะต้องรีบกลับไปปรึกษาวางแผนกับท่านย่า ไม่อาจปล่อยให้พวกนางได้สมใจเด็ดขาด
ก่อนที่จีเฉวียนจะเสด็จเข้าพระตำหนักไป ก็ยังไม่ลืมที่จะหันมาทอดพระเนตรซูเม่ยอีกครั้ง “ตอนนี้ รีบกลับไปตำหนักชุ่ยเวยของเจ้าซะ”
ตอนแรกซูเม่ยยังคิดจะพัวพันตู๋กูซิงหลันอีกสักเล็กน้อย แต่กลับถูกพระองค์มีพระบัญชาลงมาเช่นนี้
หยูฟู่ก็รีบเข้ามาดึงเจ้านายของตนเอง ” พระสนมเพคะ พวกเรากลับไปก่อนเถอะเพคะ”
นางทางหนึ่งก็ลากดึงซูเม่ย ทางหนึ่งก็สุดแสนจะยินดี วันนี้พระสนมเสด็จออกมาได้คุ้มค่าเหลือเกิน ในที่สุดก็ถูกฝ่าบาทเรียกไปถวายตัวเสียที
ขอเพียงผ่านคืนนี้ไป พระสนมของพวกนางก็จะเป็นสตรีคนแรกที่ได้ถวายตัว ฐานะเช่นนี้สุดที่พระสนมคนอื่นคนใดจะมาเปรียบเทียบได้
หากท่านอ๋องและพระชายาได้ทรงทราบละก็ จะต้องดีพระทัยอย่างที่สุดเป็นแน่
ซูเม่ยหันไปมองดูตู๋กูซิงหลันอย่างแสนเสียดาย แต่พอเห็นจีเฉวียนจ้องมองมาที่นาง เมื่อรับพระบัญชามาแล้วก็มิกล้าขัดขืนอย่างเปิดเผย ได้แต่จำยอมติดตามหยูฟู่กลับไป
จีเฉวียนรอจนซูเม่ยถอยไปจนหลับตาแล้ว จึงได้กลับพระตำหนักตี้หัว ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ที่เดิม นางยังคงครุ่นคิดเรื่องธาตุหยินที่ลึกลับราวภูติผีบนร่างของจีเฉวียนไม่ยอมหยุด ยามที่ได้สติกลับมานั้น ก็เห็นว่าอยู่ๆ อันหว่านจือก็มายืนอยู่ที่เบื้องหน้าของนางแล้ว
” ไทเฮาช่างมีฝีมือยิ่งนัก ตนเองไม่อาจได้มาครอบครอง ก็ไม่ยอมให้ผู้อื่นได้ไปครอง แถมยังส่งคนที่ตนเองไว้ใจไปรับพระเมตตา หึๆ อันหว่านจือนับถือท่านนัก “
อันหว่านจือหัวเราะอย่างมีลับลมคมนัย
ตู๋กูซิงหลันกลับไม่ได้สนใจฟังคำพูดของนางเลยสักนิด พอได้พบอันหว่านจือนางถึงได้นึกสาเหตุที่ตนออกมาขึ้นมาได้ “สีผึ้งทาปากเจ้าเตรียมไว้แล้วหรือยัง? วันนี้เรามาเพื่อจะขอรับด้วยตนเอง”