และด้วยเพราะเหตุนี้ ฝ่าบาทจึงมิได้บรรทมตลอดทั้งคืน แม้หลับพระเนตรลง แต่ในสมองก็มีแต่ภาพของตู๋กูซิงหลันที่เกลียดชังพระองค์เต็มไปหมด
สุดท้ายแล้วจึงตัดสินพระทัยละเว้นชีวิตจีเย่ว์ ขับไล่เขาจากไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับตัดหนทางมิให้ตู๋กูซิงหลันได้มีโอกาสพบหน้าจีเย่ว์อีกต่อไป
………………………………..
พอเรื่องนี้จบลงได้ สายตาของผู้คนทั้งหมดก็ย้ายความสำคัญไปจับจ้องอยู่ที่เรื่องการคัดเลือกพระสนม
เหลียนไฉเหรินสูญเสียความโปรดปราน ฉีผิงทูลลาออกจากวังไปอยู่อารามชี เต๋อเฟยก็ถูกขังอยู่ในตำหนักเย็น ดูๆ แล้ว เหล่าพระสนมขึ้นชื่อในวังหลวงต่างย่ำแย่กันหมด เช่นนี้พวกคุณหนูในตระกูลต่างๆ ก็เริ่มมีท่าทางเคลื่อนไหวคึกคัก
ยามนี้ อี้อ่องถูกกำจัดออกไปแล้ว พระราชอำนาจในพระหัตถ์ของฝ่าบาทก็ยิ่งมั่นคงยิ่งขึ้น บรรดาเชื้อพระวงค์และขุนนางใหญ่จำนวนไม่น้อยต่างพากันยัดเยียดบุตรสาวของตนเองเข้ามาในวัง
ยามที่ฝ่าบาทพึ่งจะขึ้นครองราชย์นั้น มีผู้คนไม่น้อยที่หาทางซุกซ่อนและถ่วงรั้งไม่ให้บุตรสาวเข้าวัง ต่างก็คิดหาหนทางถอยเอาไว้ ยามนี้สถานการณ์แน่ชัดแล้ว ต่างก็รีบร้อนผลักดันคนเข้ามาในวัง
หลายวันหลังจากนั้น
ในพระตำหนักเฟิ่งหมิง ตู๋กูซิงหลันนอนหลับจนเกือบถึงยามเที่ยง พอพึ่งจะตื่นขึ้นมาก็เห็นคนคุ้นเคยอย่างวิญญาณอาฆาตกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องของนาง
พอเห็นว่านางตื่นแล้ว เสี่ยวลี่ก็รีบซอยเท้าเข้ามารายงานโดยเร็ว “ท่านเซียน ท่านช่างนอนหลับได้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลย! “
ตู๋กูซิงหลันนวดคลึงดวงตาที่ง่วงงุ่น ” ทำไมละ ฟ้าถล่มลงมาหรือ? “
นางเป็นคนนอนดึกมาแต่ไหนแต่ไร ยามปกติต้องนอนถึงเที่ยงอยู่แล้ว ประกอบกับช่วงก่อนหน้านี้สูญเสียพลังจำนวนมากไปกับหยกสรรพชีวิต แต่ละครั้งเป็นต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไปทั้งร่าง วันทั้งวันง่วงหงาวหาวนอน จามครั้งหนึ่งก็จะหลับไปอยู่แล้ว
” ยายแก่เจียงที่บ้านท่าน หลายวันมานี้ก่อเรื่องวุ่นไปหมด นางควานหาสาวน้อยมานางหนึ่ง จะส่งเข้าวังมาร่วมการคัดเลือก! “
ตู๋กูซิงหลันไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก ” เจียงเหม่ยหยู่นะหรือ? “
” ยังจะไม่ใช่อีกหรือเจ้าคะ? ” เสี่ยวลี่ฟ้องต่อไป “ยายแก่นั่นวันทั้งวันเอาแต่ลากข้าไปลือกดูด้วยกัน แต่ละคนดูได้เสียที่ไหน แต่ละคนหน้าต่างอย่างกับฟักแฟงแตงเบี้ยว ยังจะกล้าส่งเข้าวังมาอีก “
ตู๋กูซิงหลันเห็นท่าทางกระฟัดกระเฟียดของนางแล้ว ก็รู้สึกว่าน่าขำดี
โดนเฉพาะยามที่นางจ้องหน้าตู๋กูซิงหลันเขม็ง
” ท่านยังจะหัวเราะได้อีกแนะ ยายแกนั่นนะไม่มีทางมาดีแน่ ที่ส่งหญิงสาวเหล่านั้นเข้าวังมาก็คิดจะแย้งชิงความโปรดปราน ลากท่านลงมาเป็นแน่”
เสียวลี่คิดจนร้อนใจไปหมด แม้ว่าท่านเซียนจะเก่งกาจอย่างไร แต่เรื่องการแก่งแย่งของสตรีในวังหลวงนั้น ดูจะยังมองไม่ทะลุเท่าใดนัก
เอาแต่จะหัวเราะขำๆ ไป มีอะไรให้ขำกัน?
” เช่นนั้นนางหาคนหน้าตาดีๆ ได้บ้างหรือยัง ” ตู๋กูซิงหลันนอนอยู่บนเบาะอ่อน คว้าเมล็ดแตงกำหนึ่งมาเริ่มแกะกิน
” อย่างตอนนี้ ข้าจำได้ว่ามีอยู่คนหนึ่งเรียกว่า ซ่งหรูหย้วน หน้าตาไม่เลวเลยทีเดียว คล้ายกับว่าจะเป็นหลานสาวสายนอกของนาง “
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดดู จากที่เชียนเชียนเคยทบทวนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่างๆ ให้ฟังนั้น ก็ค่อยคิดได้ เจียงเหม่ยหยู่มีบุตรชายหญิงฝาแฝด คล้ายกับว่าบุตรสาวของนางตู๋กูจิงจะแต่งให้กับขุนนางซั่งซู (ฝ่ายบันทึกประวัติศาสตร์) คลอดลูกสาวคนหนึ่ง เรียวกว่า ซ่งหรูหย้วน
ตู๋กูซิงหลันยังคงจดจำฮูหยินของซั่งซูผู้นั้นได้ ก่อนหน้านี้ที่ด้านนอกของตำหนักเฟิ่งหมิง นางเคยโดยยายป้าหน้าเหลืองนั่นด่ามาครั้งหนึ่ง
” ขอแค่หน้าตาดีก็พอแล้ว วังหลังจำเป็นจะต้องมีบุปผาดอกใหม่บ้างแล้ว ” ตู๋กูซิงหลันแกะเมล็ดแตงไปก็ตอบไปด้วย
” ท่านทำเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าหาศัตรูความรักให้ตนเองหรอกหรือ? ท่านคิดดูนะเจ้าคะ แต่ไหนแต่ไรมาบุรุษล้วนชอบของใหม่ทอดทิ้งของเดิม หาดว่าบุปผาใหม่ๆ เหล่านี้เข้าวังมา ฝ่าบาทก็จะเอาแต่หันไปสนพระทัยดอกไม้สดใหม่พวกนั้น แล้วบุปผาเดิมที่ยังไม่โรยราเช่นท่าน……ใครจะชื่นชมกัน? “
ตู๋กูซิงหลันแทบจะอยากเอาเล็บข่วนหน้านางนัก ” ศัตรูความรักที่ไหนกัน! เป็นตัวน่ารักต่างหาก เข้าใจไหม? เจ้าดูสิตอนนี้วังหลังเหน็บหนาวเงียบงัน ไม่มีสาวน้อยน่ารักมาเป็นเพื่อนพูดคุยกับข้า มันช่างหน้าเบื่อเพียงไร หากว่ามีคนน่ารักมาสักหลายๆ คน ข้าจะได้วันนี้ดูคนนี้ พรุ่งนี้ดูคนนั้น สบายตาสบายใจแท้ เจ้าว่าใช่หรือไม่? “
เสี่ยวลี่ “…….”
” ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้เป็นลูกชายข้า ข้าที่เป็นยายแก่ไหนเลยจะไม่ใช่มารดาผู้ล้ำค่าของลูกเล่า ย่อมไม่จำเป็นต้องไปหึงหวงกับพวกลูกสะใภ้อยู่แล้ว”
เมื่อเป็นเช่นนี้เสี่ยวลี่ย่อมพูดอะไรไม่ออก นี่มันช่างเป็นฮ่องเต้ไม่รีบร้อน ขันทีกลับร้อนใจ
ตัวนางอย่างน้อยๆ ก็เคยเป็นนางกำนัลในวังหลวงมาเจ็ดแปดปี พบเห็นฝีมือการแย่งชิงความโปรดปรานของเหล่าพระสนมมาไม่น้อย แต่พอทำไมมาถึงท่านเซียนแล้ว ถึงได้กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งไปได้กัน?
” ท่านเซียนเจ้าคะ ท่ายอายุยังน้อย ไยจึงคิดจะใช้ชีวิตที่เหลือเป็นม่ายไปตลอด? ” เสี่ยวลี่คุกเข่าอยู่ที่ข้างตัวนาง “มีคำพูดที่ว่า หอสูงริมน้ำ ได้รับแสงจันทร์ก่อน ท่านไยไม่ลองใคร่ควรดู จับฮ่องเต้องค์นี้ใส่ล่วม (ยา) ไว้? “
ตู๋กูซิงหลันหันมากรอกตาบนใส่นางในทันที “ไยข้าเป็นไทเฮาอยู่ดีๆ กลับไม่เอา จะให้เอาตัวไปเป็นนางสนม ? ข้าคงจะบ้าไปแล้ว! “
” ถึงจะพูดเช่นนั้นก็เถอะ แต่หากว่าไร้บุรุษเคียงข้างไปชั่วชีวิต ก็คงไม่ดีหรอกนะเจ้าคะ? ท่านดูสิฝ่าบาททรงเป็นบุรุษรูปงามไม่ธรรมดา มีทั้งยังมีสติปัญญายอดเยี่ยม หากมองไปทั่วทั้งแผ่นดิน เกรงว่าคงมีแต่พระองค์ที่เหมาะสมจะเคียงคู่กับท่าน “
” ใครว่าข้าไม่มีบุรุษ? ” ตู๋กูซิงหลันเอนพิงเก้าอี้อ่อนไขว้ขาทั้งสองอย่างสบาย ” พี่ใหญ่ของข้า พี่รองของข้า ท่านปู่ต่างมิใช่บุรุษหรือ? “
เสี่ยวลี่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก สมองของท่านเซียนทำไมถึงได้ดึงดันดุจรากไม้ จะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมเข้าใจเช่นนี้?
” เอาเถอะ เสี่ยวเหลียง เรื่องของข้า เจ้าไม่เจ้าเป็นต้องกังวลใจไป ข้ารับน้ำใจเจ้าเอาไว้แล้ว”
” ท่านเซียน ขอท่านได้โปรดอย่าเรียกข้าว่าเสี่ยวเหลียงเลยนะเจ้าคะ …….มันไม่เป็นมงคล เรียกข้าว่าเสี่ยวลี่ดีกว่านะเจ้าคะ”
” ตอนนี้เจ้าก็เป็นวิญญาณอาฆาตไปแล้ว ยังจะกลัวมงคลไม่มงคลอะไรอีกละ? “
เสี่ยวลี่……..ฮือ
นางยังไม่ทันได้พูดคุยจนได้เรื่องได้ราวอะไร ก็ได้ยินเชียนเชียนเข้ามากราบทูลว่า “นายหญิงเจ้าคะ นางเจียงซื่อขอเข้าเฝ้า “
สีหน้าเชียนเชียนไม่ยินดี นางเจียงซื่อคนนี้ทุกครั้งที่มาไม่เคยมีเรื่องดี วันนี้ก็เช่นกัน ดูจากกิริยาท่าทางของนางแล้วคงมิได้มีจุดประสงค์ดีเป็นแนน่
” ให้นางเข้ามาเถอะ ” ตู๋กูซิงหลันยังคงแทะเมล็ดแตงต่อไป นางพึ่งจะตื่นขึ้นมาเมื่อครู่ ยังไม่ได้แต่งตัวหวีผม บรรยากาศรอบตัวจึงมีกลิ่นอายของความเกียจคร้าน
ยามที่นางเจียงซื่อเข้ามานั้น พอเห็นนางนอนเอนแทะเมล็ดแตงอยู่บนเก้าอี้อ่อน ในใจก็เกิดความคับข้องขึ้นมา
พอมองไปรอบทิศทั้งสี่ทาง เห็นรอบด้านล้วนตกแต่งอย่าง
สวยงามหรูหรา จิตใจของนางก็ยิ่งรู้สึกอัดอั้นขึ้นไปอีก
นังคนสำส่อนนี้ทำไมถึงได้ไม่อายุสั้นและตายๆ ไปเสียที น่าเสียดายฟ้าช่างไร้ตานัก ถึงได้ปล่อยให้มันสุขสบายเช่นนี้อยู่ได้
นับตั้งแต่ที่มันออกจากตำหนักเย็นมาได้ ก็ยิ่งทียิ่งว่าอำนาจบาตรใหญ่แล้ว
ดูเอาสิ นางซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่มาหาด้วยตนเอง นางกลับปรากฎตัวในสถาพเช่นนี้? แม้แต่จะลุกขึ้นมาก็ยังขี้เกียจ! “
นี่มันเท่ากับว่าไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาชัดๆ
แม้ในใจของนางจะรู้สึกไม่ยินดี แต่นางก็สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ นางกำไม้เท้ากระชับเข้ากล่าวขึ้นมาว่า ” ไม่ได้พบกันมาหลายวัน หลันเอ๋อร์สบายดีหรือไม่? “
ตู๋กูซิงหลันคายเปลือกเมล็ดแตง “เจียงซื่อ เราบอกเจ้าหลายครั้งแล้ว การเรียกชื่อของเราตรงๆ นั้นถือว่ามีโทษหนัก”
เชียนเชียนยื่นอยู่ด้านข้าง แอบกรอกตามองนางเจียงซื่ออย่างเงีบยๆ
เจียงซื่อ “……..”
นางไม่เข้าใจเลย นางเป็นถึงญาติผู้ใหญ่แท้ๆ จะเรียกชื่อของมันสักคำไงจำจะต้องมีโทษหนักด้วย?
นางอดทนกล้ำกลืนอารมณ์ของตนเอง ใบหน้าชรายังคงมีรอยยิ้ม “คนเฒ่าเช่นหม่อมฉันผิดไปแล้ว ขอไทเฮาทรงเห็นแก่ความเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ละเว้นพระอาญาด้วยเพคะ”