“อะไรนะ? ” ผู้คนทั้งหลายต่างพากันตื่นตระหนกขึ้นมา
“นี่เป็นเรื่องจริงหรือ? ” ท่านรองมหาเสนาฯ รีบก้าวออกมาไต่ถาม ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาในทันที
“องค์หญิงใหญ่นำผู้คนไปยังจวนตระกูลตู๋กูแล้ว นี่ไหนเลยจะเป็นเรื่องหลอกลวงได้อีกเล่าขอรับ” บ่าวเฒ่าตอบอย่างร้อนใจ ” หากท่านหญิงน้อยไม่เป็นอะไรก็แล้วไป แต่หากว่าเกิดอะไรกับนางขึ้นมา ฝ่าบาทของพวกเราจะทรงมีชีวิตอยู่ได้เช่นไร เฮ่อ! “
เขากล่าวจบ ก็รีบติดตามขบวนขององค์หญิงไป
ผู้คนทั้งหลายพอได้ฟังถึงตรงนี้ ต่างก็พอจะเข้าใจกันขึ้นมาบ้างแล้ว
มิน่าเล่าองค์หญิงใหญ่ถึงได้ไม่มีรับสั่งใดทิ้งไว้แม้สักคำ ก็เสด็จจากไปอย่างรีบร้อน
“หลายวันนี้ในเมืองหลวงมีตัวประหลาดควักหัวใจ ดูดเลือด เสียด้วย ขอฟ้าดินโปรดคุ้มครอง จะอย่างไรก็ขอให้ท่านหญิงน้อยปลอดภัยไร้อันตรายด้วยเถอะ! ท่าทางของท่านรองมหาเสนาฯ เต็มไปด้วยความวิตกกังวล
ว่าแล้ว เขาก็ไม่ลืมที่จะหันไปทูลเสียนไท่เฟยที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนว่า “ไท่เฟยพะยะค่ะ พวกเราก็สมควรจะติดตามไปดูกันดีกว่า”
เสียนไท่เฟยสวมชุดกระโปรงสีดำ สองมือสอดอยู่ในปลอกนวมปักลายดอกท้อ มีนางกำนัลประจำตัวของนางชิงผิงคอยช่วยกางร่มให้
ยามนี้คิ้วของนางขมวดเข้าหากัน ท่าทางเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง
ที่ด้านหลังของเสียนไท่เฟย ยังมีเหล่าพระสนมอีกหลายคน หยวนเฟยเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
พวกนางต่างก็มาเพื่อร่วมงานพิธีของท่านหญิงน้อย
เหล่าพระสนมปรึกษากันวุ่นวาย ก็หันมาทูลเสียนไท่เฟยว่า “จริงด้วยเพคะไท่เฟย หากว่าท่านหญิงน้อยเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ พวกเราก็อาจจะพอช่วยเหลืออะไรได้บ้าง”
เด็กหญิงตัวน้อยฉางซุนซุ่นเอ๋อร์ที่ผอมบางมีแต่กระดูกถูกเอาตัวไปเช่นนี้ มีหรือจะไม่เกิดเรื่องขึ้น?
ลือกันว่า พวกเด็กๆ ที่ก่อนหน้านี้ถูกควักหัวใจ ดูดเลือด ก็มีอายุพอๆ กันกับนาง
คราวนี้ละดีแน่แท้ นังตู๋กูซิงหลันนั่นพึ่งจะเป็นปลาตายพลิกตัวได้ไม่นาน หากว่าก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทั้งยังถูกแม่นมประจำตัวของท่านหญิงน้อยพบเห็นเข้า! ก็เท่ากับว่านางชนกำแพงหินเข้าแล้ว ต่อให้คิดจะหลบหลีกอย่างไรก็หลบไม่พ้น
นังหญิงผู้นั้นจะต้องเป็นนังปีศาจจริงๆ แน่!
หากว่าไม่ใช่ นางไหนเลยจะสามารถทำให้ฝ่าบาทยอมพลิกคดีแทนนางได้กัน?
ในวังหลังที่มีนางอยู่ ถือว่าเป็นเรื่องอันตราย!
หากว่าวันนี้สามารถจำกัดนางทิ้งไปได้ก็เป็นดีที่สุด ถือเป็นการกันไม่ให้นางล่อลวงฝ่าบาทจนกลายเป็นหนูในถังข้าวสาร ทั้งยังทำให้เหล่าผู้คนในวังหลังต้องพากันอกสั่นขวัญหาย
ก็ไม่เห็นหรือ? ก่อนหน้านี้พวกนางพึ่งจะจัดของขวัญส่งไปให้นางยังไม่ทันไร หลี่กงกงก็รีบติดตามมาตรวจสอบที่มาของสิ่งของเหล่านั้น พอตรวจขึ้นมาก็งามหน้านัก เรื่องที่กลบเกลื่อนไว้ก็ถูกลากออกมาหมด!
ขนาดพวกนางส่งของขวัญให้ นังปีศาจนั่นยังต้องทำให้เป็นเรื่องขึ้นมา!
เดิมทีนางมีฝ่าบาทปกป้องอยู่ อีกทั้งยังมีเจ้าโคถึกตู๋กูจุนผู้นั้นเป็นเกราะหลัง พวกนางย่อมยากที่จะทำอะไรกับนางได้ แต่คราวนี้ต่างกันแล้ว นังปีศาจนี้หากเรื่องไปตายด้วยตัวเอง
เช่นนั้นวันนี้ พวกนางก็สมควรจะไปชมดูเสียหน่อยว่า นางจะต้องตายเช่นไร
สังหารสายเลือดเชื้อพระวงค์ โทษทัณฑ์ที่หนักหนาเช่นนี้ หากว่านางยังไม่ตาย พวกนางก็ขอยอมตัดหัวตนเองลงมาเป็นเก้าอี้ให้นางนั่งแล้ว!
คราวนี้เสียนไท่เฟยถึงได้ยอมพยักหน้า นำพากลุ่มพระสนม เชื้อพระวงค์ ขุนนางทั้งหลายติดตามไปทางจวนตระกูลตู๋กูอย่างครึกครื้น
………………………………..
จวนตระกูลตู๋กู ภายในสวนปกคลุมไปด้วยกองหิมะ นกเล็กๆ หลายตัวกำลังหาอาหารอยู่บนพื้น ส่งเสียงจิ๊บๆ จั๊บๆ
ในห้องส่วนตัวของตู๋กูซิงหลัน หน้าต่างของนางเปิดออก นำพาอากาศเย็นสดชื่นเข้ามา ทั้งยังแฝงกลิ่นหอมของดอกเหมยอยู่ในอากาศ
บรรดาสาวใช้ในห้องพึ่งจะหวีผม แต่งตัวให้นางเสร็จ ก็เห็นท่านพ่อบ้านวิ่งมาด้วยความรีบร้อน ไม่ทันได้รอให้เขากล่าวอะไรออกมา ก็เห็นจีเฉวียนในฉลองพระองค์มังกรทองตลอดร่างสาวพระบาทก้าวใหญ่เข้ามาถึง
ที่ข้างกายเขายังมีหลี่กงกง และเหล่าราชองครักษ์ที่ดูไม่สามัญอีกหลายคน
ท่านพ่อบ้านรีบคุกเข่าลงกับพื้น หันไปทางตู๋กูซิงหลันกราบทูลว่า “ไทเฮาพะยะค่ะ ฝ่าบาทเสด็จมาแล้ว”
พวกเขาพึ่งจะเปิดประตูใหญ่ ไหนเลยจะรู้ได้ว่า จะพบเห็นฝ่าบาทประทับยืนอยู่ท่ามกลางสายลม พระพักตร์นั้นดำคล้ำเสียยิ่งกว่าก้นหม้อเสียอีก เขาที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดได้แต่คิดว่าในบ้านคงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว ฝ่าบาทถึงได้เสด็จมาด้วยพระองค์เอง
ยามที่ตู๋กูซิงหลันได้เห็นเขา ก็ประหลาดใจค่อนข้างมาก เจ้าฮ่องเต้สุนัขวันนี้สวมฉลองพระองค์มังกร ทั้งยังมีฉลองพระองค์คลุมสีน้ำตาลดำปักลายมังกรทองทับอีกชั้น สาบเสื้อประดับด้วยขนมิงค์ ยิ่งขับให้ผิวพรรณของเขางามเสมือนเนื้อหยกโบราณ
บนพระเศียรสวมพระมาลาอย่างกษัตริย์ ลูกปัดที่ห้อยระย้าทั้งสิบสองสายทำจากไข่มุกดำสาดประกายแวววาวบาดตา
หากว่ากันตามธรรมเนียมของต้าโจวแล้ว มีแต่ยามที่มีพิธีการสำคัญ โอรสสวรรค์จึงจะทรงพระมาลาเช่นนี้ในพิธี ดูท่าแล้วเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่คงจะให้ความสำคัญกับท่านหญิงน้อยจริงๆ
ตู๋กูซิงหลันมองดูเขาอย่างเปิดเผย จากนั้นค่อยฉุดคิดปัญหาสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ทำหมวกเสียใบโตแต่ว่าคนกลับเล็กแค่นี้!
เจ้าฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียนองค์นี้ดูๆ ไปก็เจริญตาดีไม่น้อย
จนกระทั่งเขาเสด็จเข้ามาจนเกือบจะถึงข้างหน้านางแล้ว ตู๋กูซิงหลันถึงค่อยมีสติกลับมา “วันนี้ฝ่าบาทงามสง่าจริงๆ ตลอดพระองค์ทั้งบนล่างดูขึงขังบึกบึนมีพลังมาก”
จีเฉวียนยืนอยู่ตรงหน้านาง พระพักตร์เย็นชาเสียยิ่งกว่าหิมะในสวนอีก
สตรีผู้นี้ ใช่ว่ากำลังหลอกด่าทางอ้อมว่าเขาปัญญาเบาหรือเปล่า?
ไม่พบกันมาสองวัน นางไม่รู้จักพูดอะไรที่น่าฟังหน่อยหรือไง?
พระเนตรหงส์คู่นั้นจับจ้องอยูที่นาง “เราปล่อยเจ้าออกมาจากตำหนักเย็น เจ้าก็ตีปีกเสียแล้ว คิดจะบินแล้วหรือไง? แอบออกจากวัง กระทั่งดึกดื่นยังไม่กลับบ้านอีก? “
“ดึกดื่นไม่กลับบ้าน? ” ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะไปมา หันไปมองดูโดยรอบครั้งหนึ่ง จนแน่ใจว่าที่นี่คือจวนตระกูลตู๋กู ถึงได้ตอบไปว่า “ข้าก็อยู่ที่บ้านของตัวเองไม่ใช่หรือ? “
“เจ้าเป็นไทเฮา ไม่รู้หรือว่าวังหลวงจึงจะเป็นบ้านของเจ้า? ” แรงกดดันจากร่างที่สูงกว่าของจีเฉวียน ทำเอานางแทบจะต้องถอยกลับเข้าไปในห้อง
ตู๋กูซิงหลัน “……..” สถานที่ดั่งถ้ำเสือวังมังกรเช่นวังหลวงนั้น หากจะให้นางถือเอาเป็นบ้าน ไม่รู้ว่าจะต้องใจใหญ่สักเท่าใดกัน?
พอเห็นนางทำท่าทางคล้ายดังไม่ค่อยเข้าใจ พระพักตร์ของจีเฉวียนก็ยิ่งเย็นชา เขาไม่เชื่อหรอกว่าสตรีผู้นี้จะไม่รู้ว่าพักนี้ในเมืองหลวงมีข่าวลืออันใดบ้าง
ในช่วงเวลาเช่นนี้นางสมควรจะทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่แต่ในวังหลวง ถึงจะนับว่าปลอดภัย
เดิมทีตอนนี้ก็นับว่าเป็นฤดูหนาวอยู่แล้ว เมื่อเพิ่มตัวเขาที่เย็นชาดุจแท่งน้ำแข็งเข้าไปอีก ทำให้ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าทั่วทุกทิศทางมีแต่ความเหน็บหนาว ความเยือกเย็นนี้แทรกซึมจากลำคอเข้าสู่ภายใน ทำให้นางอดที่จะตัวสั่นเบาๆ ไม่ได้
“หนาวแล้วทำไมถึงได้สวมใส่น้อยเช่นนี้? หากว่าเกิดลมพัดแรงขึ้นมา มีหวังพัดเจ้าจนลอยขึ้นฟ้าไป! ” จีเฉวียนตรัสพลางก็ต้อนนางเสมือนต้อนไก่ตัวหนึ่งกลับเข้าห้องไป “
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นห้องส่วนตัวของนาง ในห้องมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทร์ ทำให้กลิ่นกุหลาบบนตัวนางจางลงไป
ห้องมิได้ใหญ่โตแต่กลับอบอุ่นสบาย เพราะในห้องมีกระถางไฟทำจากเงินแท้ตั้งอยู่ อากาศจึงอุ่นกว่าภายนอกมาก
เขาปล่อยตัวนางไป ตนเองเลือกที่นั่งลงบนเก้าอี้กุ้ยเฟยตัวหนึ่ง แต่สายตาไม่ได้ห่างจากตัวนางแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าพักนี้พระองค์เกิดปัญหาขึ้นบ่อยๆ ไม่รู้ว่าทำไมในสมองของพระองค์มักจะเกิดภาพเงาร่างของนางอยู่เสมอ ทุกๆ วันเอาแต่จะเสด็จมาที่ตำหนักเฟิ่งหมิง
เขาอดที่จะสงสัยไม่ได้ สตรีผู้นี้แอบกระทำสิ่งใดกับตัวเขาหรือไม่ อย่างเช่น หนอนคุณไสย
แต่เมื่อสั่งให้หมอหลวงซุนตรวจดูร่างกายอย่างละเอียดก็ไม่พบความผิดปกติใด
นี่กลับทำให้เขาว้าวุ่นใจกว่าเดิม
“ตู๋กูซิงหลัน เรามีคำถามจะถามเจ้า ” ดวงตาหงส์ของเขาจดจ้องนาง ฮ่องเต้ทรงยื่นพระหัตถ์ออกมา เพียงวูบเดียวก็ดึงตัวนางมายังข้างกาย
ตู๋กูซิงหลันแม้รู้สึกหนักใจอยู่บ้างหากแต่ไม่แสดงออก กระทั่งถูกเขาดึงตัวลงไปบนเก้าอี้กุ้ยเฟยด้วยกัน มือของนางตั้งใจจะคว้าอะไรเพื่อยันตัวเอาไว้ แต่เพราะไม่ทันระวังจึงไปคว้าเอาตรงนั้นของเขาเข้า
ราวกับว่าพลังทั้งหมดในร่างกดลงไปที่ตรงนั้น เดิมที่นางก็มีพละกำลังมากอยู่แล้ว ฝ่ามือนี้ของนาง เรียกว่าแม้แต่ทุเรียนยังถูกฉีกเปลือกออก
อย่าว่าแต่นี่คือ……….
สองหูของนางราวกับได้ยินเสียงอะไรลั่นดังกร๊อบ
สีพระพักตร์ของฝ่าบาทที่เดิมเย็นชา ยามนี้ถึงกับซีดขาว
ตู๋กูซิงหลันเองก็รู้สึกว่าหน้าหนาๆ ของนางก็จะแดงขึ้นมาแล้ว แถมเจ้าชีพจรหัวใจที่ไม่รู้จักเชื่อฟังก็เต้นกระหน่ำไปด้วย มุมปากของนางกระตุกอย่างไม่อาจควบคุมได้
นางต้องข่มใจอย่างแรงถึงได้กลั้นเสียงหัวเราะที่กำลังจะระเบิดออกมาลงไว้ได้ ถึงขนาดพาลให้น้ำตาไหลออกมาเลยทีเกียวเชียว
จากนั้นก็จ้องมองฝ่าบาทที่เจ็บปวดจนหน้าเขียวหน้าเหลือง ถามออกไปอย่างระมัดระวังที่สุดว่า “ฝ่าบาท…..ถ้าเจ็บมากก็ร้องไห้ออกมาเถอะนะ อ๊าง”
นี่ท่าคงจะหักเสียแล้วละมั้ง!
วิญญาณทมิฬเกาะอยู่บนบ่าของตู๋กูซิงหลัน ใช้มือป้อมสั้นของมันลูบคางกลมๆ มันครุ่นคิดอย่างจริงจังจนสรุปได้ข้อหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ตอนที่มันกัดเจ้าฮ่องเต้สุนัข เป็นการกัดผิดตำแหน่ง ช่างน่าเสียดายนัก ฟันร่วงไปอย่างเปล่าประโยชน์
จีเฉวียนอดทนสกัดกั้นความเจ็บปวดที่รุนแรงเสียยิ่งกว่าหมื่นดาบแล่เนื้อเถือหนังเอาไว้ เพียงส่งเสียงครางออกมาอย่างแผ่วเบา
พอเขาเงยพระพักตร์ขึ้นมาก็เห็นตู๋กูซิงหลันกำลังน้ำตาไหล กล่าวกับเขาว่า “ท่านอย่าได้ร้อนใจ หมอหลวงซุนมีวิชาแพทย์สูงส่ง จะต้องรักษาได้แน่”
เพลิงโทสะของจีเฉวียนถูกน้ำตาของนางดับจนมอดลง เห็นแก่ที่นางร้อนรนจนน้ำตาร่วง ก็นับว่านางยังมีน้ำใจรู้สำนึกอยู่บ้าง
ตู๋กูซิงหลันสาบานอยู่ในใจ นางไม่ได้ตั้งใจจริงๆ!
นี่เป็นเพราะเจ้าฮ่องเต้สุนัขคิดจะฉุกจะลากก็ไม่บอกกันก่อน ไม่ใช่ว่านางอยู่ๆ ก็คิดจะไปหักโดยที่ไม่ให้เขาทันได้ป้องกันเสียหน่อยใช่ไหม?
จีเฉวียนพยายามขยับพระองค์ แต่ความเจ็บปวดกลับทำให้เขาแทบจะสิ้นสติไป ได้แต่กัดพระทนต์และปัดมือของนางออกไป ” เจ้าคิดจะทำให้เราไร้ผู้สืบทอดหรือไง? “
“ฟ้าดินโปรดเมตตา ไม่ใช่แน่นอน! ” ตู๋กูซิงหลันรีบยกสองนิ้วขึ้นมาสาบานอย่างจริงจัง “ข้านะชอบเด็กๆ ที่สุดแล้ว แน่นอนว่าต้องอยากให้ฝ่าบาททรงมีหลานให้ข้าสักหลายๆ คน”
ตลอดไรผมของจีเฉวียนมีเหงื่อบางๆ อยู่ชั้นหนึ่ง เขาเอนตัวพิงกับเก้าอี้กุ้ยเฟยสูบลมหายใจลึกๆ
นางช่างมีพิษสงนัก! อยู่ร่วมกับนางแต่ละคราเป็นต้องมีเรื่องประหลาดแทบคร่าชีวิตของเขาไปด้วย!
เขาพยายามจะขยับเบาๆ แต่กลับรู้สึกเจ็บยิ่งกว่าเดิม พอคิดจะพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากด้านนอก
หลี่กงกงยืนอยู่บนระเบียงยาว เห็นองค์หญิงใหญ่นำผู้คนในบ้านมากลุ่มใหญ่ด้วยท่าทีถมึงทึง ก็รู้ทันทีว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
เขารีบเดินเข้าไปสกัดคนเอาไว้ แต่ว่าคราวนี้องค์หญิงใหญ่ที่เคยนุ่มนวลอ่อนโยนกลับกลายร่างเป็นมารไปแล้ว ชักดาบออกมาก็ทำท่าจะฟันคน
เหล่าองครักษ์เกรงว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ ต่างก็ไม่รู้ว่าสมควรปฎิบัติกับนางเช่นไร เพียงชั่วเวลาประเดี๋ยวองค์หญิงใหญ่ก็ทรงทะลวงเข้ามาจนถึงเรือนของตู๋กูซิงหลัน
ภาพแรกที่เข้าสู่สายตาของนางคือจีเฉวียนนอนหน้าซีดขาวอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย และตู๋กูซิงหลันที่ยืนหน้าแดงก่ำอยู่ข้างๆ
ภาพเช่นนี้ดูไปแล้ว คล้ายกับว่าฮ่องเต้ทรงถูกปีศาจสาวจัดการไปเสียแล้ว
พอคิดว่าซุ่นเอ๋อร์อาจจะตายไปแล้วด้วยฝีมือของนางมารผู้นี้ นางก็ทั้งหวาดกลัวทั้งมีโทสะ ตวัดดาบไปทางศีรษะตู๋กูซิงหลันในทันที
“จีฉุน เจ้าลองกล้าทำอะไรนางดูสิ! “
ทันใดนั้น จีเฉวียนทรงตรัสเสียงเย็นออกมา ทำให้ดาบของจีฉุนได้แต่ย้ายไปที่บ่าของตู๋กูซิงหลันแทน
นางหันเศียรไป ทอดเนตรดูจีเฉวียนอย่างไม่อาจยอมเชื่อสายตาตนเองว่า “ผู้คนทั้งหลายต่างกล่าวว่าเจ้าถูกนางมารนี้ล่อลวงจนมึนเมาไปแล้ว เดิมทีข้าไม่ยอมเชื่อ แต่ว่าตอนนี้ดูแล้ว คงจะไม่ใช่เรื่องเท็จอีกต่อไป”
จีเฉวียนได้แต่อดทนต่อความเจ็บปวด เขายังคงขยับตัวอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย สายพระเนตรเย็นเฉียบ “เราเห็นแก่ที่เจ้าเป็นพระธิดาองค์โตของเสด็จพ่อ ให้ความเคารพเจ้าสามส่วน ถือว่าให้หน้าเจ้าแล้ว ว่ากันตามธรรมเนียมแล้วเจ้าสมควรเรียกไทเฮาว่า เสด็จแม่สักคำ บุกรุกเข้ามาให้ห้องของไทเฮา ทั้งยังใช้ดาบใส่ไทเฮา เจ้าไม่คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วหรือไง? “
“เสด็จแม่กับผีนะสิ! ข้ารู้แต่ว่า นังปีศาจตนนี้เอาตัวซุ่นเอ๋อร์ของข้าไป! หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับซุ่นเอ๋อร์ละก็ ข้าจีฉุนจะต้องให้นางได้ชดใช้! ” จีฉุนพระเนตรแดงแล้ว หัตถ์กำดาบเอาไว้แนบแน่น หากไม่ใช่เพราะจีเฉวียนรั้งนางไว้ ดาบนี้ก็คงได้ดื่มเลือดไปแล้ว
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ด้านหนึ่ง เห็นนางเสียสติเช่นนี้ ก็กล่าวว่า ” ขอองค์หญิงใหญ่อย่าได้ผลีผลาม มีเรื่องอันใดค่อยๆ พูดกัน อย่าได้ปล่อยให้โทสะทำให้ตัดสินใจอย่างผิดพลาด
“เมื่อคืนนี้แม่นมซุนเห็นเจ้าเอาตัวซุ่นเอ๋อร์ไปด้วยตาของตนเอง หรือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเท็จ? ” องค์หญิงใหญ่ตรัสจบแล้วก็เรียกแม่นมหมัวมัวเข้ามาในห้อง
ทันทีที่ซุนหมัวมัวเห็นหน้าตู๋กูซิงหลัน ก็คุกเข่าลงตรงหน้านางในทันที ตะโกนร้องเสียงดังว่า “ไทเฮาเพคะ ท่านหญิงเป็นเพียงเด็กน้อย ขอท่านโปรดยกมือสูงศักดิ์ไว้ ปล่อยนางไปเถิดเจ้าค่ะ”
” เมื่อคืนบ่าวเห็นกับตาว่าท่านพาตัวท่านหญิงน้อยไป”
ซุนหมัวมัวกอดขาของนางไว้ น้ำตาไหลพรากเป็นสาย น้ำเสียงก็ค่อนข้างดัง พวกของเสียนไท่เฟยที่พึ่งจะติดตามมาถึงต่างก็ได้ยินชัดเจนแล้ว
ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วขึ้นมาบ้าง “เมื่อคืนใช่ว่าเจ้ามองผิดไปหรือไม่”
ซุนหมัวมัวเช็ดน้ำมูกรอบหนึ่ง ตอบว่า “ทั่วทั้งแคว้นต้าโจวนั้น สตรีที่สวยงามเช่นท่าน ยังสามารถจะหาคนที่สองได้อีกหรือ? บ่าวจะดูผิดไปได้อย่างไร! “