หูปู้กุยอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาทันที “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วยความงามและสติปัญญาของอวี้เจีย ในชนเผ่านอกด่านจะต้องเป็นบุคคลอันยิ่งใหญ่ที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเป็นแน่แท้ ให้เฮ่อหลี่เย่เดินทางรอนแรมไปส่งสาร ทั้งยังมีดาบทองเป็นตัวชักนำ เอาตัวอวี้เจียมอบให้ ชนเผ่านอกด่านต้องเชื่อแน่นอน ได้เคียงคู่กับอวี้เจีย ชาวทูเจวี๋ยที่ดุร้ายพวกนี้ต่อให้ต้องสละชีวิตก็ต้องมาช่วยนางแน่นอน ท่านแม่ทัพ วิธีของท่านนี้ช่างล้ำเลิศยิ่งนัก”
“ตอนนี้ก็ต้องดูว่าอวี้เจีย มีเสน่ห์มากแค่ไหนแล้ว” หลินหว่านหรงยิ้มเล็กน้อย โบกมือพร้อมพูดว่า “พี่หู เรื่องนี้ให้ท่านทำด้วยตัวเอง ช่วงเวลาจะต้องกะให้พอดี อย่าให้ชนเผ่านอกด่านจับพิรุธได้”
“ขอท่านแม่ทัพโปรดวางใจ ข้าน้อยจะต้องจัดการให้เรียบร้อยขอรับ!” หูปู้กุยผงกศีรษะด้วยความตื่นเต้น ประสานมือคารวะแล้วหมุนกายจากไป เมื่อเห็นเหล่าหูเดินจากไปอย่างสง่างามเช่นนี้ เกาฉิวก็ร้อนใจขึ้นมาทันที รีบดึงแขนเสื้อหลินหว่านหรงแล้วพูดว่า “น้องหลิน ยังมีข้าอีกนะ ข้าทำอะไร?!”
หลินหว่านหรงกะพริบตามองเขา “นี่ยังต้องมาสอนข้าอีกหรือ แน่นอนว่าต้องไปวางยาสิ เรื่องนี้นอกจากท่านแล้วไม่มีใครทำได้!”
เหล่าเกาผงกศีรษะด้วยความยินดี “เช่นนั้นพอวางยาเสร็จล่ะ ข้าจะตามเหล่าเกาไปดูข้างหน้าด้วยได้หรือไม่?”
“ไม่ได้!” หลินหว่านหรงส่ายหน้ายืนกราน พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่ารอให้ท่านไปทำ หากชนเผ่านอกด่านจากเอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลินเคลื่อนไหวออกมาทั้งรัง หากพวกเราไม่เปลี่ยนเส้นทาง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเจอกับพวกมัน เพื่อป้องกันความสูญเสียโดยไม่จำเป็น การเดินทัพของพวกเราต้องมีการเปลี่ยนแปลง”
หลักการง่ายๆ เช่นนี้เกาฉิวย่อมเข้าใจ เขารีบผงกศีรษะอย่างต่อเนื่อง “จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร น้องหลินรีบว่ามา!”
สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้งดงามกำลังชะเง้อคอรอฟังอยู่ทางนี้ หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมโบกมือให้นาง หัวเราะพร้อมพูดกดเสียงต่ำ “เดินทางปล่อยอี้อู๋ไปก่อน มุ่งตรงไปทางเหนือ บุกเข่นฆ่าเข้าสู่ใจกลางทุ่งหญ้า!”
เกาฉิวได้ยินก็ตกใจ ถามด้วยความสงสัยว่า “ปล่อยอี้อู๋ บุกเข่นฆ่าเข้าสู่ใจกลางทุ่งหญ้า? หรือว่าพวกเราจะไม่ไปราชธานีทูเจวี๋ยแล้ว? ด้วยกำลังแค่นี้ของพวกเรา หากบุกเข่นฆ่ากันซึ่งหน้า เกรงว่าจะเป็นเหมือนไข่กระทบหิน ร้ายมากกว่าดีนะ”
หลินหว่านหรงส่ายหน้า “พี่เกาเข้าจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ต้องการปล่อยอี้อู๋ แต่ต้องการปล่อยมันไปก่อน ให้ชนเผ่านอกด่านไม่ล่วงรู้เจตนาของพวกเรา ก็อย่างที่ว่ากันว่าอยากได้สิ่งใด ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนบางอย่างก่อน ชนเผ่านอกด่านไม่รู้เลยว่าเป้าของพวกเราอยู่ที่ใด พวกเราบุกเข่นฆ่าเข้าสู่ใจกลางทุ่งหญ้ากลับจะเบี่ยงเบนความสนใจของพวกมันให้เร็วมากยิ่งขึ้น ให้เอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลินไม่รู้สึกตัว เมื่อพวกมันผ่อนคลายลง พวกเรากก็หันเหทิศทางบุกเข้าสู่อี้อู๋ นี่ถึงเป็นการโจมตีพิสดาร!”
เมื่ออธิบายเช่นนี้เหล่าเกาก็เข้าใจในทันที เป็นอย่างที่น้องหลินว่าไว้ บุกเข่นฆ่าช่วงที่ชนเผ่านอกด่านไม่ได้ระวังป้องกัน แบบนี้ถึงจะสู้ได้สุดกำลัง และเป็นวิธีลดการสูญเสียจากการทำศึกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
“เข้าสู่ใจกลางทุ่งหญ้า รอบด้านมีแต่ดินแดนของชนเผ่านอกด่าน ถือว่าเดินหนึ่งก้าวเสี่ยงเพิ่มอีกหนึ่งก้าว พี่เกาโปรดนำหน่วยลาดตระเวนหลายหน่วยออกไปสืบด้วยตัวเอง หากพบสิ่งผิดปกติจงรีบกลับมารายงานทันที ห้ามชักช้า เรื่องเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายและการดำรงอยู่ของทัพเรา พี่เกาต้องกระทำการด้วยความละเอียดรอบคอบ!” หลินหว่านหรงจับมือเขาด้วยสีหน้าจริงจัง กล่าวออกมาอย่างแช่มช้า
“รับบัญชา!” เกาฉิวผงกศีรษะด้วยความตื่นเต้น ประสานมือคารวะอย่างต่อเนื่อง “ขอน้องหลินโปรดวางใจ เหล่าเกาต้องทำตามคำสั่งเจ้าจนลุล่วง ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
ทุกสิ่งวางแผนเรียบร้อย ขุนพลใหญ่สองคนข้างกายออกไปพร้อมกัน อวี้เจีย ทางนั้นเขาก็อยากอยู่ให้ไกลห่าง ปราศจากคนให้พูดคุยไปชั่วขณะ กลับทำให้เขารู้สึกเหงายิ่งนัก ดังนั้นจึงหยิบภาพเหมือนของฮูหยินทุกคนออกมาดูอย่างถ้วนถี่อยู่นาน ถึงกระนั้นยิ่งดูก็ยิ่งคิดถึง อยากจะติดปีกโบยบินกลับไปอยู่ข้างกายพวกนางให้มันรู้แล้วรู้รอดไป หลายวันที่เข้าสู่ทุ่งหญ้านี้ ข่าวสารของเฮ่อหลานซานถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงฮูหยินและคนที่ต้องเป็นฮูหยินในเมืองหลวง ความคำนึงหาเพิ่มพูนอย่างล้นเหลือ
ทัพใหญ่เปลี่ยนเส้นทางมุ่งตรงไปยังใจกลางทุ่งหญ้า เดินทางจนถึงยามสนธยาถึงจะปักหลักพัก ยังไม่ได้รับข่าวสารจากหูปู้กุย ความรู้สึกเคว้งคว้างไม่รู้ข่าวคราวทำให้คนทรมานมากที่สุด หลินหว่านหรงเดินย่ำกลับไปกลับมาภายในกระโจมหลายก้าว รู้สึกเบื่อยิ่งนัก ดังนั้นจึงเดินออกมาจากกระโจมทันที
แสงตะวันค่อยๆ ลาลับขอบฟ้าอย่างแช่มช้าอยู่ไกลๆ พื้นพิภพปกคลุมด้วยแสงสายัณห์เข้มข้น กระโจมหลายร้อยหลังราวกับบุปผาน้อยสีขาวที่เบ่งบานอยู่เต็มทุ่งหญ้า แผ่ขยายออกไปจากข้างกายจวบจนถึงขอบฟ้า ม้าศึกซึ่งรวมกลุ่มกันเดินเยื้องย่างหาอาหารอย่างสบายอารมณ์อยู่บนทุ่งหญ้า เสียงหัวเราะดังสดใสของนายทหารแว่วเข้ามาเป็นระยะ เมื่อเห็นภาพอันสงบสุข กระโจมที่เชื่อมต่อกันเป็นทิวแถว ม้าที่เดินรวมกลุ่มกันตรงหน้า ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้คือชาวต้าหัวที่เดินทางมาจากแดนไกล นับตั้งแต่ล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้า เสื้อผ้าการกินอยู่หลับนอนของพวกเขาแทบจะไม่ต่างจากชนเผ่านอกด่านธรรมดาทั่วไป มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือผิวสีเหลืองและนัยน์ตาสีดำคู่นั้น!
กลิ่นหอมแผ่ขยายออกมาจากค่าย พ่อครัวทหารตั้งกระทะใหญ่ ต้มกระต่ายป่าที่หูปู้กุยยิงมาได้จนเป็นน้ำแกงเนื้อกระทะใหญ่ หญ้าอ่อนและเกลือจำนวนเล็กน้อยเป็นเครื่องปรุงเพียงอย่างเดียว
“ท่านแม่ทัพ สักชามไหมขอรับ!” เมื่อเห็นจอมทัพเดินเข้ามา พ่อครัวทหารหลายคนจึงรีบหยุดงานที่อยู่ในมือ ยกน้ำแกงเนื้อสดใหม่ชามหนึ่งมาให้ หลินหว่านหรงใช้สองมือประคองชามน้ำแกง สูดดมกลิ่นหอมเข้าไปลึกๆ ทำให้คนน้ำลายไหลยืด เขาส่ายหน้าด้วยความลุ่มหลง จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมา เทน้ำแกงเนื้อคืนกลับไปที่เดิมโดยไม่ได้แตะต้อง
พ่อครัวร้อนใจขึ้นมาทันที “เป็นอะไรไปขอรับ ท่านแม่ทัพ รสชาติไม่ดีหรือขอรับ?! พวกข้าน้อยไร้สามารถ ในทุ่งหญ้านี่นอกจากหญ้าป่าก็ไม่มีอะไรแล้ว…”
หลินหว่านหรงตบบ่าเขา หัวเราะพลางส่ายหน้า “นี่คือน้ำแกงเนื้อที่อร่อยที่สุดบนโลกนี้ เพียงแต่มีคนที่ต้องการมันมากกว่าข้า อย่าลืมว่าพวกเรายังมีเสี่ยวหลี่จื่อกับพี่น้องที่ได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน พวกเขาถึงเป็นคนที่ต้องการการเอาใจใส่มากที่สุด!”
“ท่านแม่ทัพ…” นายทหารทุกคนต่างสะอึกสะอื้นอับจนคำพูด เบ้าตาเปียกชื้นภายในชั่วพริบตา
นี่ไม่ใช่ภาพที่เขาต้องการเห็น หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยความจนใจ ขณะที่กำลังจะชักเท้าเดินจากไปพลันได้ยินเสียงหัวเราะพรวดเบาๆ อยู่ไม่ไกล เสียงของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ดังขึ้นมา “ใต้เท้าอัวเหล่ากง เจ้ากลับมีฝีมืออยู่บ้างนะ!”
หลินหว่านหรงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นอวี้เจียกำลังนั่งอยู่บนรถม้าไม่ไกล กำลังยิ้มแย้มมองเขาอยู่ ดวงหน้าอันงดงามยวนเย้าดั่งบุปผา เขาหัวเราะเบาๆ ค่อยๆ ย่ำเท้าเข้าไปหา “เอ๊ะ นี่ไม่ใช่คุณหนูอวี้เจียหรอกหรือ เจ้าก็อยู่ตรงนี้ด้วยนะ!”
“ใช่แล้วล่ะ” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย เผยฟันขาวสะอาดที่เรียงตัวเป็นระเบียบ “ข้ามาดูใต้เท้าอัวเหล่ากงว่าเหล่าทหารเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเจ้าได้อย่างไร คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าทหารใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะโง่เขลาถึงเพียงนี้ กลับซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหลเพราะน้ำแกงเนื้อชามเดียว”
“หุบปากของเจ้าซะ” หลินหว่านหรงหน้าตาถมึงทึงทันที มองนางอย่างเย็นชา “เจ้าไม่ใช่ชาวต้าหัว ไม่มีวันที่เจ้าจะเข้าใจความรู้สึกของพวกเรา ราษฎรต้าหัวเป็นราษฎรที่ฉลาดหลักแหลมขยันหมั่นเพียร เรียบง่ายจิตใจดีบริสุทธิ์มากที่สุดบนโลกนี้ เรื่องเล็กน้อยไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงทว่ากลับเรื่องที่สมเหตุผลและควรกระทำ ก็ทำให้พวกเขาจดจำด้วยความซาบซึ้งใจไปทั้งชาติแล้ว ความมุ่งหวังและความซาบซึ้งในบุญคุณ เป็นความรู้สึกอันแสนจะเรียบง่ายที่สุดที่ติดตัวพวกเขามาแต่กำเนิด เป็นสิ่งที่ชาวทูเจวี๋ยผู้โหดร้ายทารุณเช่นพวกเจ้าไม่มีวันเรียนรู้และไม่มีทางทำได้ไปนับพันนับหมื่นปี เจ้าไม่ชอบได้ แต่อย่ามานึกว่าตัวเองสงบเยือกเย็น หลุดพ้นจากโลกีย์มากนักเลย ยิ่งไปกว่านั้นอย่ามานึกว่าตัวเองยืนอยู่ในจุดที่สูงส่งหาใดเทียบไม่แล้วจะไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นได้ ประวัติศาสตร์อันยาวไกลราวกับสายธารยาว ลองดูอารยธรรมและความเจริญรุ่งเรืองที่สหายร่วมชาติข้าสร้างขึ้นมาอย่างเงียบๆ เจ้าถึงจะเข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่าสติปัญญาล้ำเลิศแสร้งโง่เขลา บอกว่าพวกเขาโง่เขลา?! ขอโทษที่ข้าพูดตามตรง คุณหนูอวี้เจีย เจ้าไม่มีคุณสมบัติ เจ้ามันก็แค่เกิดมามีเนื้อหนังที่สวยงามโดยเสียเที่ยวเปล่าเท่านั้น ยังอยู่ห่างไกลจากสติปัญญาล้ำเลิศเป็นโยชน์!”
คำพูดประโยคเดียวของเยวี่ยหยาเอ๋อร์กระตุ้นโทสะเขาขึ้นมาจริงๆ เขาด่าทอวุ่นวายไปยกใหญ่โดยไม่ยั้งไมตรีและตีแสกหน้า จบแล้วยังถ่มน้ำลายด้วยความเดือดดาลอีกด้วย สีหน้าดูแคลนยิ่งนัก
เห็นชัดว่าอวี้เจียคิดไม่ถึงว่าเขาจะมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้ เมื่อเห็นสายตาเย็นชาของหลินหว่านหรงแล้ว นางก็บังเกิดลางสังหรณ์ขึ้นมาอย่างหนึ่งว่าคราวนี้เจ้าโจรไม่ได้กำลังแสดงละครอยู่ ดูท่าว่าครั้งนี้ตัวเองไปแตะเกล็ดน้อยของเขาแล้วแน่นอน นางมองหลินหว่านหรงด้วยท่าทีนิ่งอึ้ง ใบหน้าบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวซีด คิดจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ก้มหน้าลงไปอีก
หลินหว่านหรงโบกมือด้วยท่าทีเรียบเฉย “สายแล้ว คุณหนูอวี้เจีย เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ!”
“ข้าจะพักได้อย่างไรกัน?!” สาวน้อยทูเจวี๋ยแค่นเสียง เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นปรากฏไอหมอกรางเลือน นางออกแรงยกสองมือที่ถูกมัดขึ้น ใบหน้าผุดสีชมพูบางๆ กัดฟันพร้อมพูดว่า “…ถูกเจ้ามัดจนมีสภาพเช่นนี้ แล้วข้าจะพักผ่อนได้อย่างไร หรือจะให้นอนในอ้อมอกเจ้าอีก?!”
พูดถึงตรงนี้นางก็อดที่จะก้มหน้าลงไปไม่ได้ ใบหน้าแดงเล็กน้อย ผมที่ปรกลงมาพลิ้วผ่านหน้าอกอันอวบอิ่ม ซอกคอเรียวยาวขาวกระจ่างใสสูงสง่าน่าลุ่มหลงดั่งหงส์ฟ้า ภายในดวงตาสีฟ้าผุดประกายเอียงอาย ทำท่าทางปากอย่างใจอย่าง
เมื่อเห็นสีหน้านาง ไหนเลยจะยังเป็นอวี้เจีย สาวน้อยผู้เสแสร้งว่าเอียงอายคนนั้นได้ เห็นชัดว่าเปลี่ยนกลับไปเป็นสาวน้อยเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้ใสซื่อบริสุทธิ์และขี้อายคนนั้น หลินหว่านหรงมองจนตาโตอ้าปากค้าง แม่หนูนี่ฝีมือการเปลี่ยนสีหน้าช่างร้ายกาจเสียเหลือเกิน อยู่กับนางก็รู้สึกแยกไม่ออกจริง ๆ ว่าประโยคใดจริงประโยคใดเท็จ อันตราย อันตรายเสียจริง
เขาอดปากลิ้นแห้งผากไม่ได้ หลับตาลงทันทีพร้อมหัวเราะออกมา “คุณหนูอวี้เจีย ขอเจ้าอย่าได้แสดงละครอีกเลย ยิ่งไม่ต้องคิดเพ้อฝันที่จะยั่วยวนข้าด้วย ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของข้าคนนี้ก็คือความซื่อสัตย์…ซื่อสัตย์มาก! เรื่องออกนอกลู่นอกทางพรรค์นั้นไม่ใช่นิสัยของข้าเลยจริงๆ…ข้าเกิดมาก็เป็นคนที่ไม่ออกนอกลู่นอกทาง!”
“ซื่อสัตย์มากนักนะ” เยวี่ยหยาเอ๋อร์เหลือบมองเขา คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ซื่อสัตย์กับฮูหยินนับสิบคนโดยไม่มีคนอื่นได้ ใต้เท้าอัวเหล่ากง เจ้าถือว่าเป็นยอดคนที่หาได้ยากนับพันปีในประวัติศาสตร์ต้าหัวแล้ว”
ดวงหน้างดงามของสาวน้อยทูเจวี๋ยเหมือนแต่งแต้มชาด แฝงสีแดงระเรื่อจางๆ นางแอบเงยหน้าขึ้น มองประเมินเขาเป็นระยะ ดวงตาเปล่งประกาย
ยังคิดจะยั่วยวนข้าอีกหรือ? หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังหลายครั้ง จ้องมองเรือนร่างอันงดงามของนางโดยตรง รีบกลืนน้ำลายหลายอึก “ข้าซื่อสัตย์ คุณหนูอวี้เจีย เจ้าก็ไม่เลวนะ เอาดาบทองสับปะรังเคมาเป็นของกำนัลได้ หากทั่วทั้งทุ่งหญ้ารู้ว่าเจ้าต้องการหาคู่ เชื่อว่าผ่านไปไม่กี่วันคนรักของเจ้าก็ต้องกลิ้งมาเหมือนก้อนหิมะแน่นอน ฮ่าๆ!”
“พูดจาเหลวไหลอะไร อะไรกลิ้งมา” อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยน คล้ายโมโหจริงๆ แล้ว แต่ท่าทางโมโหของนางดังแฝงการยั่วยวนอย่างอื่นอีก “เจ้าเห็นสตรีทูเจวี๋ยอย่างพวกเราเป็นอะไรกัน? ต่างได้ใหม่ก็ลืมเก่าอย่างเจ้านี้หรือ?! ข้าขอสาบานในนามเทพแห่งทุ่งหญ้า เมื่อดาบทองมอบไปแล้ว อวี้เจีย จะขออยู่ร่วมตราบชั่วชีวิต ไม่คิดเสียใจภายหลังตลอดกาล นี่เป็นคำสาบานที่ข้าให้กับท่านเทพ”
“เข้าใจๆ” หลินหว่านหรงโบกมืออย่างไม่แยแส หัวเราะร่า “เจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์เหมือนกับข้า!”
ต้องมาเทียบกับเจ้านั้นยังไม่สู้ให้ข้าตายให้มันแล้วไปจะดีกว่า สาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งหงุดหงิดทั้งโมโห อดแค่นเสียงออกมาไม่ได้ หน้าอกสะท้อนเร็วรี่ อารมร์พลุ่งพล่าน สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเล็กน้อย คล้ายคิดไม่ถึงว่าตัวเองกลับได้รับผลกระทบจากเจ้าโจร อารมณ์เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขนาดนี้
“เด็กๆ ส่งคุณหนูอวี้เจีย กลับไปพักผ่อน!” ครั้นเห็นสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นั้นเงียบงัน สายตาสาดประกายไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หลินหว่านหรงก็คร้านที่จะสนทนากับนาง สั่งการเสียงดังออกมาประโยคหนึ่ง
ทหารสองนายเข้ามาอย่างเร็วรี่ จากนั้นก็ยื้อยุดแขนเยวี่ยหยาเอ๋อร์ อวี้เจีย บิดร่างกล่าวด้วยโทสะ “อย่ามาแตะตัวข้า ข้าเดินเองได้!”
นางกระโดดลงจากรถ หลินหว่านหรงหัวเราะพลางแก้เชือกที่มัดขานางออก “เอาเถอะ เจ้าเดินไปเอง เฮ้อ คนดีที่ดูแลนักโทษเป็นพิเศษเช่นข้านี้ บนโลกหาได้ไม่กี่คนแล้วนะ”
มองสองมือที่ถูกมัดจนแน่นของตัวเอง อวี้เจียก็อยากจะถีบเขาให้ปลิวสักทีให้มันรู้แล้วรู้รอดไป อวี้เจีย ไม่พูดไม่จา เดินไปยังกระโจมที่อยู่กึ่งกลางอย่างแช่มช้าภายใต้การควบคุมตัวของนายทหาร
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นนางก็หันหน้ากลับมา มองหลินหว่านหรงอย่างลึกซึ้งหลายครั้ง ยิ้มงามเฉิดฉันแล้วพูดว่า “เจ้าโจร มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าลืมบอกเจ้า”
“หา เจ้าว่าอะไรนะ?!” สาวน้อยทูเจวี๋ยที่หันกลับมาอย่างกะทันหันทำให้หลินหว่านหรงตกใจสะดุ้งโหยง เขากำลังตั้งใจมองประเมินเรือนร่างอันงดงามของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ พอได้ยินจึงรีบทำท่าทาสำรวมเคร่งขรึม
อวี้เจีย ใบหน้าแดง พูดเสียงแผ่วเบา “เจ้าโจร ท่าทางการแสดงของเจ้าเมื่อครู่น่าเกรงขามมาก มีบารมีมาก เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน เหมือนผู้กล้าที่แท้จริง อวี้เจีย ชอบมาก!”
นางเงยหน้ามองเขาหลายครั้ง ใบหน้าประดับรอยยิ้มสะใจ หมุนกายโดยฉับพลัน ชักเท้าแล้ววิ่งไปทางกระโจม หัวเราะคิกคักยวนเย้าตลอดทาง
แสดงละคร นี่เจ้าแสดงต่อไปเถอะนะ! หลินหว่านหรงแค่นเสียงเย็นชา หันกลับมาอย่างแช่มช้า ยังไม่ทันได้ย่างก้าว ก็มีเสียงลมหวีดหวิวแผ่วเบาจนแทบจะไม่รู้สึกกรีดผ่านอากาศจนมาถึงร่างเขา
“โอ๊ย!” หลินหว่านหรงรีบแค่นเสียงออกมา รู้สึกว่าที่ก้นเจ็บปวดอย่างรุนแรง ทั้งปวดทั้งชา เมื่อเอามือไปคลำที่อยู่ในมือกลับเป็นวัตถุบางๆ เย็นเยียบชิ้นหนึ่ง!
นายทหารหลายนายที่อยู่ใกล้เขาเห็นสถานการณ์ก็ตกใจ รีบมาคุ้มกันรอบตัวเขาโดยพร้อมเพรียงกัน แหกปากร้องเสียงดังออกมาว่า “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว รีบมาเร็ว ก้นท่านแม่ทัพถูกเข็มแทงเข้าแล้ว!”