ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 554 ดาบทอง

ตอนที่ 554 ดาบทอง

เกาฉิวกับหูปู้กุยฟังแล้วจิตใจก็ค่อยๆ หนักอึ้ง เฮ่อหลานซานเป็นสถานที่ที่เชื่อมโยงร้อยรัดจิตวิญญาณและความฝันของทหารทั้งห้าพัน เป็นสถานที่ฝากฝังจิตใจของพวกเขา! หากเฮ่อหลานซานถูกโจมตีแตก ห้าพันคนที่ล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้านี้ก็เหมือนฟางที่ลอยล่อง ปราศจากที่พึ่งพิงอีกต่อไป! 

 

 

เหล่าเกาส่งเสียงอืม พูดพึมพำเบาๆ “คุณหนูสวีฉลาดหลักแหลม นางต้องได้รับข่าวสารของเจ้าแน่ ไม่แน่ว่าตอนนี้นางกำลังคิดหาหนทางที่จะได้รับการติดต่อจากพวกเราก็เป็นได้ ขอน้องหลินโปรดวางใจเถอะ!” 

 

 

กองไฟร้อนแรงส่งเสียงดังเพียะๆ เบาๆ แสงไฟหรุบหรู่ส่องใบหน้าของทั้งสามคน หลินหว่านหรงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้ามีอะไรให้ไม่วางใจกัน? ชั่วเสี้ยวนาทีที่ย่างเข้าสู่ทุ่งหญ้านั้น ความเป็นความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องคิดถึงอีกต่อไป ได้ร่วมเดินทางและคบหาเป็นสหายกับพี่ชายทั้งสอง สู่ให้ลือลั่นบนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่แห่งนี้สักตั้ง ต่อให้ตาย ข้าก็เป็นชายชาตรีที่คำจุนผืนฟ้าและผืนแผ่นดิน มีอะไรให้เสียดายกัน?!” 

 

 

“พูดได้ดี!” หูปู้กุยปรบมือหัวเราะเสียงดัง สะท้านไปถึงชั้นฟ้า “บุรุษอย่าได้อิจฉาความร่ำรวย ชายชาตรีควรลือลั่นในสนามรบ! ผู้ชายอกสามศอก ยืนตระหง่านบนโลกหล้า เท้าย่ำปฐพี มือค่ำท้องนภา ขับไล่ชนนอกด่าน ปกบ้านป้องเมือง คือความยิ่งใหญ่ยามมีชีวิต วีรกรรมยามมอดม้วย มีเรื่องอันใดให้หวั่นกลัว?!” 

 

 

เกาฉิวมองหูปู้กุยตั้งแต่หัวจรดเท้า ฉีกปากหัวเราะพร้อมพูดว่า “เหล่าหู รู้จักท่านก็สักระยะหนึ่งแล้ว มีคำพูดคราวนี้นี่ล่ะที่เหมือนลูกผู้ชาย! ทั้งสองคนโปรดวางใจ ไม่ว่าจะภูขาดาบทะเลเพลิงหรือป่าทวนห่าธนู หากข้าเหล่าเกาขมวดคิ้ว ข้าคือคนที่นั่งยองฉี่ หดหัวเดิน!” 

 

 

สามคนเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า อดหัวเราะเสียงดังกันไม่ได้ หกมือใหญ่ยื่นออกมากุมกันแน่น แสงเพลิงสาดส่องใบหน้าสีดำและมีความมุ่งมั่นของพวกเขาจนสว่างเรืองรอง…… 

 

 

รบชนะต่อเนื่องสามครั้ง ไพร่พลห้าพันล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้า โจมตีปาเยี่ยนเฮ่าเท่ออย่างพิสดาร กำจัดทหารม้าสามพันของฮาเอ่อร์เหอ หลินกับเอ๋อจี้น่า เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันสังหารศัตรูไปนับหมื่น ที่เข่นฆ่าล้วนแต่เป็นชายฉกรรจ์ทูเจวี๋ย นี่ไม่อาจไม่พูดว่าเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ สร้างความกระทบระเทือนทางจิตใจแก่ชนเผ่านอกด่านมหาศาล เชื่อว่าชาวทูเจวี๋ยตอนนี้ไม่มีใครกล้าดูแคลนหน่วยกล้าตายชาวต้าหัวที่เข้าสู่ทุ่งหญ้ากลุ่มนี้อีกแล้ว 

 

 

ทัพใหญ่ปรับกระบวนอยู่ครึ่งวัน ด้านหนึ่งคือเพื่อเติมเสบียงเลี้ยงม้า อีกด้านคือกำลังรอคอยปฏิกิริยาของชนเผ่านอกด่าน แน่นอนว่า ณ ส่วนลึกของจิตวิญญาณหลินหว่านหรงยังมีความหวังอันแสนจะไร้เดียงสาอยู่อย่างหนึ่ง หวังว่าพอสวีจื่อฉิงได้รับข่าวแล้วจะคิดหาหนทางติดต่อกับตนเองได้ อย่างน้อยก็ก่อนเข้าสู่อี้อู่ เหยียบย่างเข้าสู่เส้นทางแห่งความตายสายนั้น เขาอยากรู้ว่าเฮ่อหลานซานเป็นอย่างไรกันแน่ นี่ไม่ใช่แค่ความหวังของเขาคนเดียว แต่ยิ่งเป็นเสียงภายในใจที่มีร่วมกันของทหารห้าพันคน 

 

 

สองดินแดนอย่างฮาเอ่อร์เหอหลินกับเอ๋อจี้น่าหลังจากขาดข่าวคราวจากทหารม้าสามพันนายเริ่มกระวนกระวายอยู่ไม่สุขแล้วจริงๆ ตามข่าวที่หน่วยลาดตระเวนที่อยู่ข้างหน้ารายงานกลับมา ภายในสองดินแดนแอบมีร่องรอยของการโยกย้ายกำลังพล แต่หลังจากชนเผ่านอกด่านเสียเปรียบไปแล้วก็กลายเป็นรอบคอบมากยิ่งขึ้น ไม่กล้าส่งทหารม้ากลุ่มเล็กออกมาอย่างบุ่มบ่ามอีกต่อไป สถานการณ์ค่อยๆ ชะงักงันขึ้นมา 

 

 

หากยึดเอ๋อจี้น่าไม่ได้ก็ไม่อาจเข้าสู่อี้อู๋ การลอบโจมตีเค่อจือเอ่อร์ราชานีของชนเผ่านอกด่านก็ยิ่ง เหมือนดั่งภาพลวงตา หรือว่าพี่น้องห้าพันคนจะต้องเอ้อระเหยอยู่ในทุ่งหญ้าไปทั้งชาติ?! ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความร้อนรนภายในใจของหูปู้กุยกับเกาฉิวมีมากขึ้นเรื่อยๆ กลับเป็นหลินหว่านหรงที่ยังมีทีท่าไม่รู้สึกรู้สา พูดคุยหัวเราะเฮฮาทำท่าทางตลกกับทุกคน ปราศจากความตึงเครียดแม้แต่น้อย คล้ายต้องการปักหลักอยู่ในทุ่งหญ้า เป็นโจรไปทั้งชาติจริงๆ สภาพจิตใจเช่นนี้ทำให้พวกของเหล่าเกาสองคนสงสัย เหล่านายทหารกลับยินดีปรีดายิ่งนัก ต่างแย่งสนทนากับเขา ตลอดเส้นทางการเดินทัพบรรยากาศผ่อนคลายยิ่งนัก หูปู้กุยเกาฉิวสองคนต้องทอดถอนใจ ต่างไม่รู้ว่าหลินหว่านหรงวางแผนอะไรอยู่ในใจกันแน่ 

 

 

“หวานหยาดเยิ้ม เธอยิ้มได้หวานหยาดเยิ้ม ราวกับบุปผาเบ่งบานกลางสายลมวสันต์ อา เธอยิ้มได้หวานหยาดเยิ้ม เบ่งบานกลางสายลมวสันต์…” โจรนอนอยู่บนรถ สองมือหนุนท้ายทอย คาบหญ้าต้นเล็กที่ไม่รู้จักชื่อ โยกซ้ายโยกขวา ฮัมเพลงเถียนมีมี่ 

 

 

ผ้าม่านบางเบางแกว่งไกวเล็กน้อย เผยดวงหน้าอันงดงามยวนเย้าของอวี้เจีย นางนั่งขัดสมาธิ ห่างจากหลินหว่านหรงแค่ไม่กี่ฉื่อ ปิดดวงตาทั้งสองลงเล็กน้อย ไม่พูดไม่ขยับ นับตั้งแต่ “แสดงละคร” เมื่อคืน นางก็ไม่พูดกับหลินหว่านหรงอีก กระทั่งว่ายังไม่เคยมองเขาตรงๆ เลยสักครั้ง แม้แต่ตอนที่รักษาให้หลี่อู่หลิงเมื่อครู่ นางก็เงียบงันประดุจเหล็ก ไม่เปล่งวาจาสักคำเดียว สองคนนี้นั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน คนหนึ่งฮัมเพลง คนหนึ่งนั่งนิ่ง ความเคลื่อนไหวต่างสอดประสานกัน กลับหาได้ยากยิ่งนัก  

 

 

“ยิง รีบยิง รีบยิงเร็ว!” เสียงเอะอะโวยวายทั้งร้อนรนและรุนแรงดังแว่วเข้ามา เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังข้างใบหู หลินหว่านหรงเงยหน้าขึ้นมอง กลับเห็นหูปู้กุยกับเกาฉิวมือถือเกาทัณฑ์ขี่ม้าวิ่งห้อตะบึง กำลังไล่ตามเงาสีขาวขนาดเล็กซึ่งวิ่งอยู่บนทุ่งหญ้าข้างหน้าด้วยอาการลิงโลด ดูจากท่าทางแล้วเป็นการแข่งฝีมือยิงธนู เหล่านายทหารที่อยู่ด้านข้างกำลังกู่ร้องส่งเสียงผิวปากให้กำลังใจพวกเขาอยู่ 

 

 

“เอ๊ะ ม้าขาวตัวเล็กขนาดนี้เชียว?!” หลินหว่านหรงเพ่งสมาธิเพ่งสายตาอยู่นาน กล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ 

 

 

อวี้เจียค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา กวาดสายตามองออกไปไกลๆ หลายครั้ง ครั้นเห็นโจรมีท่าทางไม่รู้เรื่องแต่ทำเป็นรู้เรื่องก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ สุดท้ายนางจึงพูดด้วยความรู้สึกยากจะทานทน “เจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเจ้าว่าไม่รู้เรื่องหรอกนะ…เจ้าเคยเห็นม้าขาวตัวเล็กขนาดนี้เหรอ?! เห็นชัดว่านั่นเป็นแค่กระต่ายขาวตัวหนึ่ง เจ้าหน้าโง่ที่ชี้กระต่ายเป็นม้า!” 

 

 

หลินหว่านหรงร้องอ้อออกมายาวๆ หัวเราะแล้วพูดว่า “ที่แท้เป็นกระต่ายน้อยสีขาวตัวหนึ่งนี่เอง น่าละอายๆ ไม่ได้จับกระต่ายมานานมากแล้ว ดังนั้นถึงมองผิดไปชั่วขณะ ต้องขอบคุณคำชี้แนะจากคุณหนูอวี้เจีย!” 

 

 

มองดูสีหน้าหัวเราะสรวลเสเฮฮาของโจร สาวน้อยทูเจวี๋ยก็พลันรู้สึกว่าหลงกล เจ้าคนนี้แผนการมากมาย จงใจล่อลวงให้นางเอ่ยปากพูด เหตุใดข้าถึงดูไม่ออกนะ?! 

 

 

“ไม่ต้องขอบคุณข้า” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ กลอกตามองค้อนด้วยความรู้สึกหมดแรงและอับจนปัญญา “เพียงหวังว่าวันหลังตอนที่เจ้าร้องเพลงพวกนี้จะอยู่ห่างจากข้าสักหน่อย อย่าให้ข้าได้ยิน นั่นถือว่าเทพแห่งทุ่งหญ้าดูแลอวี้เจียแล้ว” 

 

 

นางส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิดโมโห มองเขาเบา ๆ หลายครั้ง นัยน์ตาทั้งสองข้างสงบนิ่ง สีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม 

 

 

“คุณหนูอวี้เจียชมข้าอีกแล้ว” หลินหว่านหรงกล่าวหน้าหนา “ที่จริงข้าเตรียมที่จะใช้ภาษาทูเจวี๋ยร้องสักเพลง ไหนเลยจะรู้ว่าพอถึงเวลากลับลืมภาษาทูเจวี๋ยหลายประโยคนี้ไป รู้สึกอายจริงๆ!” 

 

 

พูดถึงภาษาทูเจวี๋ยก็คือถึงเรื่องเมื่อคืน อวี้เจียขบฟันเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่สนใจภาษาทูเจวี๋ยกับสตรีทูเจวี๋ยหรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงร้องเพลงภาษาทูเจวี๋ย?!” 

 

 

“เฮ้อ ข้าก็ไม่สนใจสตรีทูเจวี๋ยจริงๆ เพียงแต่ข้าไม่อาจยับยั้งให้สตรีทูเจวี๋ยเกิดความสนใจต่อข้าได้นี่นา!” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความขื่นขม “ช่วยไม่ได้ มีเสน่ห์มากก็เป็นเช่นนี้! ใช่แล้ว คุณหนูอวี้เจีย ตอนที่สาวน้อยทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าแสดงความรักต่อคนรักมักจะพูดประโยคไหนกัน?!” 

 

 

“เจ้ามาถามเรื่องนี้ทำไม?! ห้ามเจ้าทำร้ายสตรีทูเจวี๋ยของข้า!” สาวน้อยมองเขาอย่างระแวดระวัง หวาดระแวงยิ่งนัก 

 

 

หลินหว่านหรงหัเราะฮ่าๆ “คุณหนูอวี้เจียกล่าวหนักไปแล้ว ใครทำร้ายใครก็ยังไม่แน่จริงๆ นะ! ที่จริงข้าก็แค่อยากร่วมศึกษาวิชาความรู้กับเจ้าเท่านั้น…ข้าได้ยินว่าวิธีการแสดงความรู้สึกที่จริงใจมากที่สุดของสตรีทูเจวี๋ยก็คือมอบของที่เทียบเท่าชีวิตให้คนรักของตน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจไม่แปรเปลี่ยนต่ออีกฝ่าย เป็นแบบนี้ใช่หรือไม่?!” 

 

 

แววตาของโจรสาดกะพริบ จ้องมองอวี้เจียเขม็ง! เยวี่ยหยาเอ๋อร์แค่นเสียงด้วยความเดือดดาล เงยดวงหน้าอันงดงามด้วยความหยิ่งผยอง “ใช่แล้วจะทำไม?! ไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะรู้เสียหน่อย สตรีทูเจวี๋ยอย่างพวกเราก็จะเก็บรักษสิ่งของซึ่งมีค่าเท่าชีวิตของเราไว้อย่างหนึ่งตั้งแต่เด็ก เมื่อถึงเวลาบรรลุนิติภาวะก็จะมอบให้กับชายคนรักของตน เมื่อให้ไปแล้วต่อให้เขายากดีมีจน เป็นตายป่วยพิการ ก็จะไม่เสียใจภายหลังไปตลอดชีวิต! สตรีในเผ่าของข้าเปิดเผยร้อนแรง รักก็คือรัก แค้นก็คือแค้น ไหนเลยจะเหมือนพวกลูกคุณหนูต้าหัวเหล่านั้น อ้ำๆ อึ้งๆ กระบิดกระบวน เห็นๆ อยู่ว่าเสแสร้งมารยา แต่กลับยังทำท่าสงวนท่าที ถุย จอมปลอม!” 

 

 

สาวน้อยทูเจวี๋ยส่งเสียงถุยออกมาเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้รู้สึกดีต่อเหล่าคุณหนูต้าหัวสักเท่าไหร่ 

 

 

หลินหว่านหรงส่ายหน้าพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “คุณหนูอวี้เจียสุดโต่งเกินไปแล้ว! ความเปิดเผยตรงไปตรงมาย่อมมีความน่ารักของความเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่ความเขินอายก็มีความงดงามของความเขินอายเช่นเดียวกัน อย่างที่พูดกันว่าดอกเหมย กล้วยไม้ ต้นไผ่และเก๊กฮวยต่างมีจุดเด่นของตนเอง ทุกคนต่างมีรสนิยมต่างกัน แบบที่ชอบย่อมแตกต่างเช่นกัน แล้วจะใช้แนวคิดมาบีบบังคับได้อย่างไร?! เจ้าไม่ใช่ผู้ชาย ย่อมไม่อาจเข้าใจได้!” 

 

 

เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาหลายครั้ง อดที่จะขบริมฝีปากสีชาดเบาๆ ไม่ได้ ยิ้มหยันที่มุมปาก “ช่างเป็นบุรุษที่แถเก่งนักนะ!” 

 

 

“ถือว่าข้าแถก็ได้” หลินหว่านหรงโบกมือโดยไม่แยแส  หัวเราะแล้วพูดว่า “ในเมื่อสตรีทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้ามีสมบัติล้ำค่าดั่งชีวิต คิดว่าคุณหนูอวี้เจียก็ไม่มีข้อยกเว้นกระมัง! ข้ากลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมาก ด้วยฐานะอันสูงส่งของคุณหนูอวี้เจีย สิ่งที่เจ้าเลือกเก็บนั้นจะเป็นสมบัติที่มีหน้าตาอย่างไรกันนะ?!” 

 

 

เขาถอนหายใจเบาๆ หยิบดาบโค้งสีทองออกมาจากรองเท้าเล่มหนึ่ง ด้ามทองบริสุทธิ์ส่องประกายเจิดจรัส คมดาบเปล่งประกายเย็นเยียบ ไอเย็นกดดันผู้คน เขาโบกสะบัดคราหนึ่ง เส้นผมหลายปอยก็ขาดครึ่งพร้อมกัน ร่วงหล่นลงพื้นอย่างเงียบงัน 

 

 

อวี้เจียมองด้วยท่าทีนิ่งอึ้ง จากนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนยกใหญ่ทันที มือเท้ากระเสือกกระสนคิดจะโผเข้าหาเขา “คืนมาให้ข้า เจ้ารีบคืนมาให้ข้า เจ้าโจรที่สมควรตายคนนี้!” 

 

 

นัยน์ตาสีฟ้าของเยวี่ยหยาเอ๋อร์มีไอน้ำรื้นบางๆ นางขบริมฝีปากสีแดงชาติอย่างหัวรั้น โผเข้าสู่อ้อมอกเขาราวกับแม่เสือดาวน้อยที่ถูกกระตุ้นโทสะตัวหนึ่ง เพียงแต่มือเท้านางถูกมัด แล้วจะออกแรงได้อย่างไร ดิ้นรนไปสองครั้งก็หอบหายใจ จวบจนซุกเข้าไปในอกเขาทั้งร่างถึงรู้สึกได้ว่าไม่ถูกต้อง คิดจะผละไปจากอ้อมอกเขาแต่กลับปราศจากเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย 

 

 

“จะ…เจ้าจะทำอะไร?!”  ซบอยู่บนร่างโจรด้วยร่างอันอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรง ได้กลิ่นอายที่มาจากตัวเขา สาวน้อยทูเจวี๋ยก็ใจเต้นรัวดังตึกตัก ร้องตะโกนตกใจเสียงหลงออกมาด้วยใบหน้าที่แดงด้วยความอาย 

 

 

“ประโยคนี้ข้าควรถามเจ้าถึงจะถูก” หลินหว่านหรงประคองร่างนางให้ตั้งตรง มองนางด้วยความรู้สึกขบขัน  

 

 

สองคนจ้องหน้ากัน ใบหน้าอยู่ใกล้ยิ่งนัก สี่ตาจ้องประสาน คล้ายย้อนกลับไปยังเหตุการณ์แสดงละครเมื่อคืน อวี้เจียหน้าแดงเล็กน้อย ก้มหน้าพูดออกมาเบาๆ “เจ้า เจ้ารีบเอาดาบทองคืนให้ข้า ไม่อย่างนั้น ข้า…ข้าจะไม่ละเว้นเจ้า!” 

 

 

“ช่างเป็นคำขู่ที่ร้ายกาจขนาดนี้เชียว?!” หลินหว่านหรงหัวเราะ “คุณหนูอวี้เจียโปรดวางใจ เจ้าดาบทองนี่ในสายตาเจ้าสำคัญเท่าชีวิต แต่ในสายตาข้ามันก็แค่เศษเหล็กกองหนึ่ง เจ้าให้ข้า ข้าก็ไม่เอา!” 

 

 

“โจรสมควรตาย คืนให้ข้า รีบคืนให้ข้า!” อวี้เจียหน้าแดงก่ำ รีบร้องตวาดเสียงเจื้อยแจ้ว โผเข้าหาเขาด้วยความเดือดดาล 

 

 

มองดูร่างที่ดิ้นรนไม่หยุดของนาง หยาดเหงื่อกระจ่างใสซึ่งซึมอยู่บนปลายจมูกของนาง หลินหว่านหรงโบกมือเรียบๆ “ก็แค่เศษเหล็ก ไม่มีประโยชน์กับข้า เจ้าวางใจ คืนให้เจ้าแน่ แต่คุณหนูอวี้เจียต้องการดาบทองคืนด้วยความร้อนใจเช่นนี้ เหมือนจะเตือนสติข้าเรื่องหนึ่ง” 

 

 

“เรื่อง…เรื่องอะไร?!” สาวน้อยทูเจวี๋ยซึ่งกำลังกระเสือกกระสนเงยหน้าขึ้นมาทันที ดวงตาเผยแววตื่นตระหนกอย่างยากจะปิดบัง 

 

 

หลินหว่านหรงเป่าที่คมดาบนั้นเบาๆ กล่าวระคนยิ้มออกมาว่า “ดาบทองเล่มนี้หรูหราสูงสง่า ที่ยังสำคัญเท่าชีวิต เป็นของแทนใจที่เจ้ามอบให้คนรักย่อมไม่ผิดแน่ แต่หากเห็นมันเป็นเพียงสิ่งของแทนใจธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่ง เช่นนั้นก็ออกจะดูถูกคุณหนูอวี้เจียเกินไปแล้ว!” 

 

 

เยวี่ยหยาเอ๋อร์ช้อนสายตาขึ้นมองเขา นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนสายประกายบาง แปรเปลี่ยนไม่หยุด ถึงช่วงสุดท้ายจู่ๆ นางก็หยุดการดิ้นรน กลับคลี่ยิ้มออกมา ดวงหน้าอันงดงามเฉกเช่นเหล่าบุปผาที่ผลิบานท่ามกลางเหมันต์อันหนาวเหน็บ หยาดเยิ้มยวนเย้าเหลือคนา  

 

 

“ดาบทองอันงดามเล่มหนึ่ง เจ้าว่ามันยังมีนัยยะอันใดอีกนะ?!” เสียงนางแผ่วเบานุ่มนวล ประหนึ่งไข่มุกร่วงหล่นลงบนถาด นัยน์ตาทั้งสองมองเขาแฝงรอยยิ้ม ดวงหน้าข่าวกระจ่างใสประดุจหยก เส้นผมงามหลายปอยพลิ้วผ่านหน้าปากนาง แฝงความรู้สึกอันสูงสง่ามีบารมี มุมปากของนางประดับด้วยรอยยิ้มยวนเสน่ห์ ริมฝีปากสีแดงสดอ้าออกเล็กน้อย ราวกับผลอิงเถาที่สุกงอม ยั่วยวนให้คนกระทำผิด! 

 

 

ก่อนหน้านี้ยังเป็นสาวน้อยที่ตกอยู่ในห้วงความรักอยู่เลย เพียงชั่วพริบตากลับเหมือนกลายเป็นสตรีที่แต่งงานแล้วในวัยสาวผู้มีความเป็นผู้ใหญ่และงามหยาดเยิ้ม ความสามารถในการเปลี่ยนสีหน้าเช่นนี้ทำให้หลินหว่านหรงมองจนนิ่งอึ้งไปเช่นกัน 

 

 

“ดะ ดาบ ดาบทองเล่มนี้อาจเป็นสัญลักษณ์ทางสถานะของเจ้า” มองดูอวี้เจียผู้งามยวนเย้าจะแทบจะหยาดหยด ประหนึ่งหยอกเอินบุรุษเพศอยู่ในฝ่ามือผู้นี้ ตรงข้ามกับน้องสาวเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนเมื่อครู่มากเสียเหลือเกิน หลินหว่านหรงไม่อาจทนทานได้อย่างยิ่ง รีบก้มหน้าลงไป 

 

 

“อย่างนั้นหรือ?!” อวี้เจียยิ้มแย้ม ดวงตาดั่งวารีมองประเมินเขาหลายครั้ง ริมฝีปากสีแดงสดราวกับจะคั้นออกมาเป็นน้ำได้ “อัวเหล่ากง ไม่สู้พวกเรามาพนันกัน หากเจ้าเดาฐานะของข้าออก อวี้เจียจะมอบดาบทองเล่มนี้ให้เจ้า! จำไว้!” นางหัวเราะคิกคักเบาๆ ดวงตาทั้งคู่อ่อนโยนดุจวารี “…เป็นข้ามอบให้เจ้า ไม่ใช่เจ้าแย่งไป!เจ้ายินดีหรือไม่?!” 

 

 

“…อ้อ จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ ข้าควรไปฝึกวิชาทวนแล้ว ขอลา ขอลา!” โจรหลั่งเหงื่อชุ่มหลัง ผุดลุกขึ้นยืนฝนบัดดล หัวกับกระแทกกับคานบนรถม้าเข้าพอดีจนเกิดเสียงดังปังเบาๆ รถม้าโยกคลอนไประยะหนึ่ง 

 

 

มองดูเงาร่างที่กระโดดผลุบไปด้วยสภาพดูไม่จืดของเขา เสียงหัวเราะหยาดเยิ้มคิกคักของอวี้เจียดังลอยออกไปไกล ได้ยินอย่างชัดเจน “โจรขวัญอ่อน ผู้ใดถึงเป็นนักแสดงยอดแย่ ตอนนี้เจ้ารู้กระจ่างแจ้งแล้วใช่หรือไม่?!” 

ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ

ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 691.2 อ่านนิยาย

(จบ)


เพราะอุบัติเหตุระหว่างทริปท่องเที่ยวของบริษัท

ทำให้ผู้จัดการแผนกการตลาดฝีมือดีอย่าง ‘หลินหว่านหรง’

จับพลัดจับผลูไปอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคย โลกที่ยกย่องบัณฑิตเหนือสิ่งอื่นใด

ทำให้ไอ้บ้านนอกจากศตวรรษที่ 21 อย่างเขาจำต้องเข้าไปเป็นคนรับใช้ของตระกูลเซียวตามคำขอของผู้มีพระคุณอย่างเสียมิได้

แต่มารดามันสิ!

คิดว่าหลินหว่านหรงผู้นี้จะยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆ เหรอไง

ไหนๆ ก็ต้องยอมรับชะตากรรมนี้แล้ว คนรับใช้ก็คนรับใช้สิ

เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Options

not work with dark mode
Reset