“ชีวิต สุดท้ายแล้วก็ล้ำค่า เมื่อสูญเสียไปก็ไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก” หลินหว่านหรงพึมพำกับตนเอง “สุดท้ายแล้วข้าก็เป็นคนธรรมดานี่นะ บางที สนามรบอันโหดร้ายทารุณนี้คงไม่เหมาะกับข้าจริงๆ”
เกาฉิวถอนหายใจ “น้องหลิน เพราะเหตุใดกันเล่า นี่เจ้าเอาคำด่าทอมาแบกไว้กับตัวเองนะ!”
“การเข่นฆ่าล้างบางไม่ใช่ความสุข! ผู้ที่ไม่เคยประสบกับการจากเป็นจากตายไม่มีวันรู้รสชาติที่แฝงอยู่ในนี้…คนไหนมีแรงคนนั้นก็ด่าไปเถอะ ถ้าข้ากลัวคนด่าข้าก็ไม่ใช่หลินซานแล้ว” หลินหว่านหรงโบกมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน
เด็กและสตรีชาวทูเจวี๋ยวิ่งห้อตะบึงไปทางทุ่งหญ้า มุ่งไปยังปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ อยู่ฝั่งตรงข้ามกับทิศทางการมุ่งหน้าของทหารม้าต้าหัวพอดี เมื่อสะสางสนามรบ เติมเสบียงเรียบร้อย ทัพใหญ่ห้าพันก็เคลื่อนที่ข้ามคืนภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีอันหรุบหรู่ รุกคืบไปยังอี้อู๋ วิธีเข้าเร็วออกเร็ว ใช้การศึกหล่อเลี้ยงการศึกเช่นนี้ ทำให้ชาวทูเจวี๋ยหมดหนทางป้องกันล่วงหน้า ทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างมีดินแดนของชนเผ่ามากมาย ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป้าหมายต่อไปของทหารม้าต้าหัวคือที่ใด
คืนนี้เห็นๆ อยู่ว่าไม่ได้ลงสนามรบ แต่หลินหว่านหรงกลับมีสีหน้าเหนื่อยล้า โดยเฉพาะพวกของเกาฉิว เนื่องจากกำลังใจถดถอย ดังนั้นจึงมอบงานทั้งหมดให้หูปู้กุยจัดการ ก้าวขึ้นรถม้าแล้วม่อยหลับไป
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่นก็พลันรู้สึกว่ามีวัตถุนุ่มนิ่มอะไรบางอย่างกวาดผ่านใบหูของตน แฝงกลิ่นหอมสะอาดจางๆ
“ใครน่ะ ทำอะไร?!” เขาคว้าวัตถุนุ่มนิ่มนั้นไว้แล้วดึงมาตามแรงมือ ได้ยินเสียงร้องโอดโอยดังอ๊ะออกมาคราหนึ่ง เสียงของอวี้เจียดังอยู่ข้างใบหู “ชาวต้าหัวไร้ยางอาย เจ้าปล่อยข้า!”
หลินหว่านหรงตกใจอย่างยิ่ง รีบลืมตาขึ้นมา ถึงกระนั้นกลับเห็นว่าสิ่งที่มือตนเองคว้าจับเอาไว้นั้นที่แท้แล้วคือเส้นผมดำขลับปอยหนึ่ง อ่อนนุ่มเรียบลื่น ทั้งยังแฝงกลิ่นกายตามธรรมชาติอีกด้วย สองมือสองเท้าของอวี้เจียถูกมัดจนหมดสิ้น ใบหน้าสีแดงสดของนางแนบชิดข้างใบหูหลินหว่านหรง สิ่งที่เขาคว้าอยู่ในมือก็คือเส้นผมของสาวน้อยทูเจวี๋ยนั่นเอง
“เอ๊ะ เจ้าคิดจะเอารัดเอาเปรียบข้า!” หลินหว่านหรงท่าทางตื่นตระหนกยิ่งนัก รีบลุกขึ้นนั่ง เมื่อเห็นเสื้อผ้าของตนเป็นระเบียบเรียบร้อย เห็นชัดว่าไม่ได้ถูกล่วงเกิน เขาถึงรู้สึกวางใจลงได้
เมื่อเห็นท่าทางของเขา อวี้เจียทั้งอายทั้งเดือดดาลจนอยากจะตาย กล่าวด้วยโทสะออกมา “หน้าไม่อาย ผู้ใดเอารัดเอาเปรียบเจ้ากัน หลับอย่างกับหมูตาย ตะโกนเป็นร้อยรอบเจ้าก็ไม่ตื่น!”
หลินหว่านหรงจำได้อย่างเลือนราง ตอนที่เขาขึ้นรถนั้นอวี้เจียถูกมัดอย่างแน่นหนาโยนทิ้งไว้ที่มุมหนึ่งของรถ พอตื่นขึ้นมาเหตุใดนางถึงเข้ามาใกล้ขนาดนี้ สายตาไปอยู่ที่ขาของนาง เห็นว่ากระโปรงบริเวณด้านข้างหัวเข่านางมีร่องรอยจากการเสียดสี เห็นผิวละเอียดนุ่มนิ่มสีแดงรางๆ เขาร้องอ้อออกมาคราหนึ่ง เดาว่าสาวน้อยทูเจวี๋ยคนนี้คงมาหาเขาเพราะมีเรื่องอะไรบางอย่างจะคุยด้วย แต่พอเขาขึ้นรถก็ดันหลับสนิท อวี้เจียกลับต้องไถกับตัวรถทั้งๆ ที่สองมือสองเท้าถูกมัดอย่างแน่นหนาถึงจะเข้าใกล้ตัวเขาได้ ความมุ่งมั่นนี้ทำให้คนนับถือยิ่งนัก
“กินด้วยกันอยู่ด้วยกันนอนด้วยกัน…เฮ้อ ข้าเกือบลืมไปแล้ว ต้องขอบคุณแม่นางอวี้เจียที่เตือนสติ มาเถอะ เป็นเจ้ากอดข้าหรือข้าโอบเจ้า” เขาหัวเราะพลางอ้าแขน กำลังจะโอบร่างอรชรของเยวี่ยหยาเอ๋อร์
อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ “อย่าเข้ามา อ๊า!”
“ร้องอะไรกัน!” หลินหว่านหรงตวาดเสียงดังด้วยความโมโห “เห็นๆ อยู่ว่าเจ้ามาหาข้า ไอ้…อย่าเข้ามา…ประโยคนี้ควรเป็นข้าพูดถึงจะถูกสิ?!”
อวี้เจียช้อนสายตามอง เห็นเพียงเจ้าโจรหน้าดำขดตัวอยู่ที่มุมรถ แม้จะแยกเขี้ยวยิงฟัน หน้าตาดุร้าย แต่ความง่วงงุนเหนื่อยล้าภายในดวงตานั้นกลับปรากฏออกมาให้เห็นจนหมดสิ้น
คิดๆ ดูแล้วที่เขาพูดมาก็มีเหตุผลอยู่บ้าง อวี้เจียก้มหน้าลงไป เสียงเบาลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว “กว่าข้าจะเรียกเจ้าให้ตื่นได้…ขอเจ้าอย่าเพิ่งหลับก่อน อวี้เจียมีเรื่องจะถามเจ้า”
หลินหว่านหรงหาวออกมา แล้วกล่าวอย่างรำคาญ “เจ้านึกว่าข้าเป็นเจ้าว่างไฉที่บ้านเจ้าหรืออย่างไร เจ้าให้ข้านอนข้าก็นอน ให้ข้าไม่ต้องนอนข้าก็ไม่ต้องนอน?! ตอนนี้เจ้าจงอยู่อย่างว่าง่าย รอให้ข้าตื่นแล้ว อารมณ์ของนายท่านดีแล้วก็จะเอ็นดูจ้าเอง…แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดีก็จะถูกเจ้าเอ็นดู!”
“พูดเหลวไหล” ภายในดวงตาอวี้เจียเปล่งประกายบางๆ “หากเจ้าต้องการนอนข้าจะไม่ขวางเจ้า เพียงแต่เจ้าอย่าพูดละเมออีกได้หรือไม่ พี่สาวนางเซียนที่ใหญ่ทั้งกลม น้องหนิงเอ๋อร์สุขสมแข่งกับเทพเซียนอะไรนั่น…หากความลับต้าหัวของพวกเจ้าถูกข้าแอบฟังไป นั่นจะมาโทษข้าไม่ได้นะ”
เป็นไปไม่ได้น่า หลินหว่านหรงได้ยินแล้วก็หลั่งเหงื่อเย็นเยียบ โคลงกลอนที่แฝงความหมายล้ำลึกแบบนี้ อวี้เจียไม่มีทางแต่งขึ้นมามั่วซั่วแน่ คิดว่าในฝันข้าบังเกิดความสุนทรีย์ทางโคลงกลอนอย่างยิ่ง กระทำเรื่องอันพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินกับฮูหยินแต่ละคน แบบนั้นภาพที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กก็จะไม่ถูกอวี้เจียเห็นเข้าแล้วหรือ?! น่าละอายๆ
“ทำไม เจ้ายังไม่เชื่อ?” เห็นสีหน้าเขากระจ่างวูบ อวี้เจียจึงอดประชดไม่ได้ “แล้วนางจิ้งจอกอันนั้นคือใคร? ในฝันเจ้าเรียกชื่อนางตั้งสิบกว่ารอบแหนะ! เจ้ามีคนรักกี่คนกันแน่?!”
หลินหว่านหรงปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก หัวเราะฮิฮะแล้วพูดว่า “ข้ารักเดียวใจเดียว ฮูหยินทั้งหมดรวมกันก็แค่สิบกว่าคน เจ้าคิดว่าข้าเป็นม้าพ่อพันธุ์จริงๆ หรือ?!”
อวี้เจียฟังแล้วก็ส่ายหน้า กล่าวเย้ยหยันออกมา “อย่างเจ้าไม่อาจนับได้ว่าเป็นม้าพ่อพันธุ์…หมูพ่อพันธุ์แค่นั้นล่ะ! หมูพ่อพันธุ์ที่หลับเป็นตาย!”
นังหนูนี่พอด่าคนขึ้นมากลับมีฝีไม้ลายมือมาก เกือบได้หนึ่งในร้อยของข้าแล้ว หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ความง่วงนั้นพลันลดทอนลงไปมาก เขาเลิกผ้าม่านขึ้นมอง เห็นว่าท้องฟ้ายามราตรีบนทุ่งหญ้าเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ที่อยู่ไกลๆ นั้นเปลวเพลิงแห่งต๋าหลานจายังคงลุกโชติช่วง ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่แล้ว
เขาอดหาวออกมาไม่ได้ กล่าวอย่างงัวเงียว่า “เจ้าต้องการพูดอะไร ฉวยโอกาสช่วงที่อารมณ์ข้ายังไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น รีบว่ามาเถิด หากชักช้า ข้าจะเข้านอนแล้วนะ”
อวี้เจียแค่นเสียงคราหนึ่ง ละล้าละลังอยู่นาน จากนั้นจึงกัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “เอาเหรียญทองแดงของเจ้าออกมา!”
“ทำอะไร ปล้นเหรอ?!” หลินหว่านหรงเอามือทั้งสองป้องกันหน้าอกทันที เบิกตาโพลงกล่าวด้วยโทสะ “ต้องการเงินน่ะไม่มี ต้องการชีวิตน่ะไม่ให้ เจ้าคิดหาหนทางเอาเองก็แล้วกัน”
กับคนที่ชอบพูดจาเหลวไหลให้คนฟังแยกแยะไม่ออกพรรค์นี้ อวี้เจียไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี นางถอนหายใจคราหนึ่ง มองเขาด้วยสายตาสงบนิ่ง “ใต้เท้าอัวเหล่ากง ขอร้องท่านเอาเหรียญทองแดงเหรียญนั้นมาให้ข้าดูได้หรือไม่ อวี้เจียอยากดูมาก”
สีหน้าของสาวน้อยทูเจวี๋ยอ่อนโยนลงไปเล็กน้อย เขากลับรู้สึกปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง หัวเราะฮิฮะแห้งๆ สองคราแล้วตอบว่า “อยากดูก็ไม่ได้ ขอให้เป็นคนที่เคยได้ยินชื่อข้าก็จะรู้ หากต้องการเอาเงินจากพี่หลินซาน ไม่มีวัน!”
อวี้เจียสีหน้าหนักอึ้ง ดวงตาสาดประกายอย่างยากจะสัมผัสได้วูบหนึ่ง ผงกศีรษะแล้วถอนหายใจพร้อมเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ยินดีให้ อวี้เจียยังจะทำอะไรได้! เจ้าฆ่าล้างบางชายฉกรรจ์ในเผ่าข้า นี่คือความแค้นที่ฝังลึกถึงกระดูกระหว่างต้าหัวของเจ้ากับทูเจวี๋ยของข้า บางที่อาจไม่มีวันสลายไปตลอดกาล แต่เจ้าปล่อยเด็กและสตรีในเผ่าข้า อวี้เจียซาบซึ้งใจต่อเจ้า”
“มาไม้นี้ให้น้อยหน่อยเถอะ” หลินหว่านหรงกล่าวเย้ยหยัน “ข้าไม่ได้ปล่อยพวกนาง เพียงแต่ดวงของคนในเผ่าเจ้าดีก็เท่านั้นเอง คราวหน้าไม่แน่ว่าจะโชคดีขนาดนี้แล้ว”
อวี้เจียกล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉย “ไม่ว่าพวกนางจะโชคดีหรือไม่ สรุปแล้วข้าซาบซึ้งใจเจ้า แม้เจ้าจะเป็นชาวต้าหัวที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย หน้าตาน่าเกลียด ความคิดก็เลวร้าย ยามนอนหลับยังพูดละเมออีก แต่การกระทำบางครั้งของเจ้ากลับไม่สูญเสียการเป็นชายชาตรีผู้ผ่าเผยคนหนึ่ง”
หลินหว่านหรงอดไอแห้งๆ ออกมาหลายครั้งไม่ได้ กล่าวอย่างมีน้ำโหออกมาว่า “คุณหนูอวี้เจีย ขอเจ้าอย่าได้ชอบพูดตรงกันข้ามได้ไหม? ข้อดีของข้าก็มีอยู่แค่ไม่กี่อย่างนี้แล้ว!”
สาวน้อยทูเจวี๋ยกวาดตามองเขาด้วยท่าทีจริงจัง กล่าวเรียบๆ ว่า “หนึ่งเรื่องต่อหนึ่งเรื่อง บุญคุณความแค้นระหว่างต้าหัวของพวกเจ้ากับทูเจวี๋ยของข้า นั่นต้องให้เหล่าผู้กล้าไปพบกันท่ามกลางโลหิตและกองเพลิง ไม่ตายไม่หวนคืน แต่ค่ำคืนนี้เจ้าอาจทำบุญโดยไม่ได้เจตนา แลกการตอบแทนกลับมา อวี้เจียของสาบานด้วยเกียรติของเทพแห่งทุ่งหญ้า หลังจากทูเจวี๋ยเรารุกรานดินแดนต้าหัวของพวกเจ้า จะแค่ขับไล่เท่านั้น ปราศจากการฆ่าล้างบางเด็กและสตรีต้าหัวอีกต่อไป นี่คือการตอบแทนที่มีให้เจ้า”
ร่างอันงดงามชดช้อยของนางถูกมัดอย่างแน่นหนา ขดตัวอยู่บนพื้น ทว่าสีหน้ากลับแน่วแน่มุ่งมั่น นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนอันล้ำลึกทั้งคู่สาดประกายบางๆ คิ้วโก่งอันน่าดูชมหยักโค้งเล็กน้อย กรีดเป็นเส้นโค้งอันทรงอำนาจ ดวงหน้าอันงามเฉิดฉันคล้ายเปล่งประกายเรืองรองทำให้คนลุ่มหลง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ในยามนี้หนักแน่นและสูงสง่า มีความน่าเกรงขามโดยมิต้องแสดงโทสะ ชุดกระโปรงชนเผ่านอกด่านที่ทอทับอยู่บนร่างคล้ายเปล่งประกายสีทองเจิดจรัสออกมาเช่นกัน…