“พี่เกา เรื่องนี้วันหลังอย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย หากให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องได้ยินจะนึกว่าข้าแย่งชิงสตรี ที่ผ่านมาข้าแค่ใช้ปาก ไม่ใช้มือ ทุกคนต่างก็รู้”
น้องหลินช่างเป็นคนดีจริงๆ! เกาฉิวส่งเสียงชมเชยด้วยความรู้สึกทอดถอนใจและนับถือ
สามคนไปเยี่ยมหลี่อู่หลิงพร้อมกันอีกครั้ง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ไม่รู้ว่าใช้ยาอะไรบ้าง แม้หน้าผากของหลี่อู่หลิงจะยังร้อนลวก ถึงกระนั้นกลับไม่รู้สึกเหมือนถูกไฟสุมเช่นก่อนหน้านี้ เมื่อแตะดูลมหายใจ กลับมีลมหายใจแผ่วเบาและแช่มช้าอย่างยิ่งออกมาให้สัมผัสเล็กน้อย
การค้นพบนี้ทำให้ทุกคนน้ำตาร้อนคลอเบ้า ท่าทีที่มีต่อสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้พลันเปลี่ยนไปมาก แม้แต่หลินหว่านหรงก็ยังรู้สึกอาย รู้สึกกระดากที่จะไปกระเซ้าเย้าแหย่หมอหญิงเทวดาอีก
ขณะที่พบทหารม้าทูเจวี๋ยก็ใกล้ยามสนธยาแล้ว หน่วยลาดตระเวนที่อยู่ข้างหน้ากลับมารายงานว่าทหารอาชาเหล็กทูเจวี๋ยราวสองหมื่นนายกำลังวิ่งห้อตะบึงพุ่งตรงไปยังปาเยี่ยนเฮาเท่อ เห็นชัดว่าได้ข่าวเรื่องป้อมปราการถูกโจมตีแล้ว
หลินหว่านหรงผ่อนลมหายใจโล่งอกยาวๆ ออกจากปาเยี่ยนเฮาเท่อมาหกชั่วยามแล้ว ตามหลักการข่าวต้องไปถึงหูชนเผ่านอกด่านเสียนานแล้ว ทว่าชาวทูเจวี๋ยกลับปราศจากความเคลื่อนไหว นี่ทำให้เขารู้สึกจิตใจไม่สงบมาก ตอนนี้ทหารอาชาเหล็กทูเจวี๋ยสองหมื่นคนแม้จะมาช้า แต่ก็ทำให้เขาจิตใจสงบลงไปมาก
“พี่หู ท่านมั่นใจว่าชาวทูเจวี๋ยสองหมื่นคนนี้มาจากส่วนลึกของทุ่งหญ้า?” เขาจ้องมองแผนที่ที่อยู่ตรงหน้า หลินหว่านหรงแค่นเสียง
หูปู้กุยผงกศีรษะด้วยสีหน้าอันหนักอึ้ง “เป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าน้อยคิดไม่ถึงเช่นกัน ที่มาช่วยปาเยี่ยนเฮาเท่อไม่ใช่กองทัพจำนวนสามแสนที่ปาเต๋อหลู่เป็นผู้นำซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ แต่กลับเป็นทหารอาชาเหล็กชนเผ่านอกด่านที่มาจากส่วนลึกของทุ่งหญ้า ทิ้งใกล้มาช่วยไกล ในนี้จะต้องมีอะไรแอบแฝงอย่างยิ่งแน่”
หลินหว่านหรงจ้องมองแผนที่ ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา ทัพอันโดดเดี่ยวที่ล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้าออกห่างจากปาเยี่ยนเฮาเท่อแล้ว มุ่งลงใต้มาเป็นระยะทางหลายร้อยลี้ ห่างจากพื้นที่รอยต่อระหว่างทุ่งหญ้าและทะเลทรายไม่ถึงห้าร้อยลี้ เมื่อข้ามผ่านเขตรอยต่อนี้ก็จะการเปิดศึกโจมตีอู่หยวนครั้งแรกแล้ว
พื้นที่สามร้อยลี้จากอู่หยวนไปหุบเขาเฮ่อหลานซาน ตอนนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือชนเผ่านอกด่านจนหมดสิ้นแล้ว และหมายความว่าหากต้องการกลับไปหุบเขาเฮ่อหลานซานและไปรวมตัวกับสวีจื่อฉิงยังมีระยะทางอีกเกือบพันลี้ อีกทั้งยังมีทหารอาชาเหล็กทูเจวี๋ยอีกสามแสนนายที่รอคอยพวกเขาอยู่ทุกเมื่อ ต่อให้ทลายวงล้อมอันหนาแน่นออกไปได้จริง ทหารห้าพันนายนี้จะเหลืออีกสักกี่คนกัน?
เขาถอนหายใจออกมาหนักๆ ความร่าเริงที่มีอยู่ก่อนหน้านี้มลายหายไปสิ้น สิ่งที่มาแทนที่ก็คือความรู้สึกอันหนักอึ้ง “พี่หู ลองพูดความเห็นของท่านดู ชนเผ่านอกด่านถึงสละใกล้มาช่วยไกล?”
“ทิ้งทัพใหญ่สามแสนของปาเต๋อหลู่ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมไม่ใช้งาน ตามความเห็นของข้าน้อย มีความเป็นไปได้แค่สองอย่างเท่านั้น ประการแรกทัพใหญ่ต้าหัวเราต่อต้านอย่างแรงกล้า ศึกที่หุบเขาเฮ่อหลานซานกินแรง ปาเต๋อหลู่กับลู่ตงจ้านต่อให้คิดช่วยปาเยี่ยนเฮาเท่อก็ปราศจากกำลังพลให้เคลื่อนย้าย”
หลินหว่านหรงส่ายหน้าตัดบททันที “นี่เป็นไปไม่ได้ ด้วยสติปัญญาของลู่ตงจ้านราชครูทูเจวี๋ย มันไม่มีทางเทหมดหน้าตักในการโจมตีครั้งเดียวแน่ ยิ่งไปกว่านั้นอำนาจในการเป็นฝ่ายเริ่มบุกยึดหุบเขาเฮ่อหลานซานอยู่ในมือพวกมัน แค่ที่อู่หยวนพวกมันก็รักษากำลังพลสี่หมื่นเป็นอย่างน้อยแล้ว ไม่มีทางอยู่ในสภาพปราศจากกำลังพลให้เคลื่อนย้ายแน่”
หูปู้กุยผงกศีรษะเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ท่านแม่ทัพกล่าววาจามีเหตุผล หากไม่ใช่ปราศจากไพร่พลให้โยกย้าย เช่นนั้นก็เหลือแค่สถานการณ์อย่างที่สองแล้ว”
เขาหยุดชะงักไม่เอ่ยวาจา เกาฉิวที่อยู่ด้านข้างจึงไต่ถามว่า “เหล่าหู สถานการณ์อย่างที่สองคืออะไร?”
หลินหว่านหรงถอนหายใจเล็กน้อย “ความหมายของพี่หูก็คือในนี้มีแผนลวง”
“แผนลวง? แผนลวงอะไร?” เหล่าเกาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย “พี่เกา หากท่านเป็นลู่ตงจ้าน ท่านจะเดาเส้นทางถอยของพวกเราออกหรือไม่?”
เกาฉิวครุ่นคิด ผงกศีรษะแล้วตอบว่า “พวกเราโจมตีปาเยี่ยนเฮาเท่อ มันย่อมคิดไม่ถึง แต่พวกเราต้องไปรวมตัวกับกุนซือสวี อีกทั้งปราการธรรมชาติของเฮ่อหลานซานลงได้ขึ้นไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาว่าจะเหลือแค่ทางอู่หยวนที่เดินทางได้เพียงทางเดียว”
“ไม่ผิด ทัพเดี่ยวล่วงลึกเข้ามา รอนแรมไกลบุกโจมตี สูงส่งก็สูงส่งที่คำว่าพิสดาร แต่เรื่องหลังจากนั้นทัพพิสดารก็จะสูญเสียการเร้นกาย อันตรายเพิ่มพูนขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้การเลือกถอยหลังกลับไปรวมกับทัพใหญ่ นี่คือสัญชาตญาณของคน ลู่ตงจ้านต้องคิดได้ พี่เกาท่านดู…”
หลินหว่านหรงหยิบแผ่นกระดาษออกมาขยำเป็นสองก้อนเล็ก โยนแบ่งเป็นสองด้าน “ตรงนี้คืออู่หยวน อีกด้านคือปาเยี่ยนเฮาเท่อ ส่วนที่พวกเราอยู่ตอนนี้ก็คือกึ่งกลางทั้งสองด้าน พอทหารอาชาเหล็กของชนเผ่านอกด่านจำนวนสองหมื่นไปถึงปาเยี่ยนเฮาเท่อแล้ว…”
เขาหยุดพูด ใช้สองมือจับก้อนกระดาษทั้งสองก้อน ขยับเบียดมากึ่งกลางอย่างแรง
เกาฉิวพลันยินดีอย่างยิ่ง “เอ๊ะ วิธีนี้เมื่อก่อนข้าเคยใช้กับร่างกายของบรรดาสาวๆ ที่แปดหูถ้งใหญ่ เสียวซ่านมาก คิดไม่ถึงว่าน้องหลินกลับก็เชี่ยวชาญทางนี้ด้วย”
“ใช่แล้วล่ะ” หลินหว่านหรงกัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “ของพวกนี้ข้าศึกษาอย่างยากลำบากจากวิชาสามสิบหกฝ่ามือ คิดไม่ถึงว่าพี่เกาจะเป็นอัจฉริยะที่เรียนรู้ด้วยตนเอง”
หูปู้กุยหัวเราะจนเกือบหายใจไม่ออก ยากเย็นนักกว่าจะสงบลมหายใจได้ “น้องเกา ตอนนี้พวกเรากำลังถกเรื่องทหารอยู่ เรื่องอื่นรอให้วันหลังกลับบ้านแล้วค่อยแลกเปลี่ยนกัน”
เหล่าเกาถือว่าเกิดปัญญาเสียที “น้องหลิน เจ้าหมายความว่าชนเผ่านอกด่านจะกระหนาบโจมตีพวกเราจากอู่หยวนกับปาเยี่ยนเฮาเท่อสองด้าน?”
ความตื่นตระหนกภายในดวงตาเขาปรากฏให้เห็นชัดเจน ชนเผ่านอกด่านสี่หมื่นที่เฝ้าอู่หยวน ทหารอาชาเหล็กสองหมื่นของปาเยี่ยนเฮาเท่อ รวมแล้วเป็นชาวทูเจวี๋ยจำนวนหกหมื่นคน ล้อมกระหนาบโจมตีทัพอันโดดเดี่ยวของต้าหัวจากทั้งสองด้าน ศึกนี้ยังจะต้องสู้อีกหรือ?
“เมื่อดูจากสภาพในตอนนี้แล้ว ลู่ตงจ้านน่าจะคิดเป็นแฮมเบอร์เกอร์แล้ว” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทีจริงจังอย่างหาที่เปรียบมิได้
มารดามัน! เจ้าคนแซ่ลู่นี่เสียสติหรือไม่ แฮมเบอร์เกอร์ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ดูจากความหมายของน้องหลินก็เข้าใจ เหล่าเกาแค่นเสียงด้วยความเดือดดาล “ก็แค่เผาหญ้าเสบียงมันไปไม่กี่จินเองนี่นา จะต้องเอาคนหกหมื่นมาจัดการพวกเราห้าพันคนด้วยหรือ? ไร้หลักการ ไร้คุณธรรมในการรบเกินไปแล้ว”
หูปู้กุยส่ายหน้า “น้องเกา เจ้าผิดแล้ว ทัพโดดเดี่ยวห้าพันคนเช่นพวกเรา ในสายตาชาวทูเจวี๋ยต้องไม่เห็นอยู่ในสายตาแน่ ไพร่พลหกหมื่นของมันวิ่งวุ่นไปๆ มาๆ ก็เพื่อคนเพียงผู้เดียว”
สายตาของเหล่าเกาไปอยู่บนร่างหลินหว่านหรง เกาฉิวตกใจอย่างยิ่ง “ท่านหมายความว่าลู่ตงจ้านคิดจับตัวน้องหลินของเรา?!”
“ไม่ผิด” หูปู้กุยหัวเราะพลางผงกศีรษะ “ได้ยินว่าเจ้าลู่ตงจ้านนั่นตอนที่มาสู่ขอองค์หญิงหนีฉางที่ต้าหัวเรา ถูกแม่ทัพหลินโจมตีพ่ายแพ้กลับไป ทั้งยังเสียเปรียบภายใต้การลอบลงมือของผู้ใต้บังคับบัญชาของน้องหลินอีก หากมิใช่ฝ่าบาททรงมีพระกรรณเบา ตอนนี้มันก็คงยังอยู่ในคุกหลวงของต้าหัว ความแค้นส่วนตัวนี้ไม่พูดถึงชั่วคราวก่อน ด้วยสถานะราชบุตรเขยคู่ต้าหัวและแม่ทัพขวาต้านชนเผ่านอกด่านของแม่ทัพหลิน หากลู่ตงจ้านจับตัวแม่ทัพหลินได้จริง ต่อให้ที่หุบเขาเฮ่อหลานซานจะถูกตีให้ถอยร่นกลับไป นั่นก็ยังถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของทูเจวี๋ยเช่นกัน”
หูปู้กุยพูดตรงประเด็น แม้แต่หลินหว่านหรงก็ยังคิดไม่ถึงขั้นนี้ ตอนนี้เขาเป็นราชบุตรเขยขององค์หญิงสองพระองค์ของต้าหัว ซ้ายมีสวีเว่ย ขวามีหลี่ไท่ ข้างหลังมีฮ่องเต้ต้าหัวปกป้อง สถานะไม่เหมือนเดิม เพียงแต่ตัวเขาคร้านที่จะรู้สึกตัวก็เท่านั้นเอง แต่ด้วยความสามารถของลู่ตงจ้าน ก็ไม่มีวันปล่อยปลาตัวใหญ่ตัวนี้ไปแน่นอน
“พูดเช่นนี้ กลับเป็นข้าที่สร้างความลำบากให้เหล่าพี่น้องแล้ว” หลินหว่านหรงส่ายหน้าส่งเสียงเฮ้อถอนหายใจออกมา “พี่ชายทั้งสอง พวกท่านต่างก็รู้ว่าข้าเป็นผู้บริสุทธิ์นะ แต่ไหนแต่ไรมาการเกาะชายกระโปรงผู้หญิงเป็นสิ่งที่ข้าเกลียดแค้นมากที่สุด แล้วเหตุใดแม้แต่ชาวทูเจวี๋ยก็จะมีรสนิยมพื้นๆ ด้วยนะ?”
คำพูดประโยคนี้ทำให้พวกเขาหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แม้แต่ความกลัดกลุ้มนั้นก็ผ่อนคลายลงไปมาก
“พี่หู ท่านว่าตอนนี้พวกเราควรเดินทางอย่างไรดี?!” หัวเราะหลายครั้ง หลินหว่านหรงตาหยี เอ่ยถามหูปู้กุย
เหล่าหูหัวเราะฮิฮะหลายครั้ง “สิ่งที่พวกเราต้องการก็คือสิ่งที่ลู่ตงจ้านคิดไม่ถึง ท่านแม่ทัพมีแผนการอันล้ำเลิศอยู่ในใจตั้งแต่แรกแล้ว ยังจะมาให้ผู้น้อยแสดงความโง่เขลาอีก?”
หลินหว่านหรงชูนิ้วโป้งกล่าวชมเชย “พี่หูพูดได้ดี สิ่งที่ลู่ตงจ้านคิดไม่ถึงก็คือสิ่งที่พวกเราต้องทำ มีแค่เหนือความคาดหมายเท่านั้นถึงจะวิเคราะห์ศัตรูจนเอาชนะได้ ชาวทูเจวี๋ยทุ่มเทแรงกายแรงใจต้องการบีบพวกเราให้อยู่ระหว่างปาเยี่ยนเฮาเท่อกับอู่หยวน เช่นนั้นพวกเราก็จะย้อนศร…” เขาชี้ลงบนแผนที่อย่างแรง “พวกเราไปทางนี้”
เกาฉิวมองคราหนึ่ง พลันตกใจยกใหญ่ “น้องหลิน พวกเราบุกเข้าไปในทุ่งหญ้า?!”
“ทำไมหรือ น้องเกา เจ้ากลัวหรือ?” เหล่าหูหัวเราะพลางมองเขา
“ข้ากลัวอะไรกันเล่า ที่จริงแล้วข้าเป็นห่วงเหล่าสตรีทูเจวี๋ย…” เหล่าเกาชี้ไปที่หลินหว่านหรง กล่าวระคนหัวเราะอย่างลามก “ก็อย่างที่ว่ากันไว้ พอน้องหลินออกโรงผู้ใดจะได้เปรียบอีก?!”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ดูพี่เกาพูดเข้าสิ ข้าไม่ใช่ชั้นต่ำขนาดนั้น”
“ดี” หูปู้กุยหัวเราะเสียงดังพร้อมยื่นมือมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็จงแทงมีดเข้าหัวใจของชนเผ่านอกด่านสักหลายครั้ง ต่อให้ตายก็ต้องตายให้สาแก่ใจมารดามัน”
“ตายให้สาแก่ใจ!” สามคนหกมือกุมกันแน่น เสียงหัวเราะอันเ**้ยมหาญลอยล่องไปไกล