พวกขันทีไหนเลยจะกล้าถาม พยุงพระชายาฉินอ๋องขึ้นมา แล้วเดินไปยังนอกตำหนัก
อวิ๋นหว่านชิ่นถูกรัดเมื่อครู่สมองเลอะเลือนไม่ได้สติ เบื้องหน้ามืดดับ ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่น้อย นางจ้องฉินไชกับทิงเสียนที่ยังอยู่ในตำหนักเขม็ง แล้วหันไปมองไท่จื่อแวบหนึ่ง อ้าปากออก ลุกขึ้นมา คล้ายอยากจะพูดบางอย่าง แต่กลับรู้สึกฟ้าพลิกดินตลบ สลบไปกับแขนขันที
เหนียนกงกงเห็นเหตุการณ์เข้าก็รีบสั่งหมอหลวงด้านหลังทันที “ไปดูว่าพระชายาฉินอ๋องเป็นเช่นไรบ้าง!” ก่อนที่ไท่จื่อนำขบวนมา กลัวว่าจะมาไม่ทัน ประหารกันไปแล้ว จึงสั่งขันทีคนสนิทหของไท่จื่อคนหนึ่งในตงกงว่าเกิดอันใดขึ้นก็ต้องช่วยเหลือเอาไว้ให้ได้
หมอหลวงตงกงรีบเข้ามา สั่งขันทีให้วางพระชายาฉินอ๋องนอนหงายอยู่บนพื้นพรม ลองอังลมหายใจดู พอทราบว่าไม่เป็นอันใดก็ดึงแขนเสื้อของนางขึ้นมาครึ่งหนึ่ง แนบมือกับข้อมือ จับชีพจรไปพลางเอ่ยขึ้นว่า “ไท่จื่อโปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ไม่ถึงแก่ชีวิตให้ต้องกังวล…” กล่าวพลางกลับหยุดลง
“ทำไม่รึ” เหนียนกงกงมองออกว่าหมอหลวงมีท่าทีแปลกไป
หมอหลวงทนระงับไว้ จับชีพจรดูอีกครั้ง รอให้แน่ใจชัดเจนไร้ความผิดพลาดแล้วจึงลุกขึ้นวิ่งไปยังข้างกายไท่จื่อ ขยับเข้าไปใกล้หูพระองค์ทูลสองสามคำ เหนียนกงกงที่อยู่ด้านข้างจึงได้ยินชัดเจน ตกตะลึงขึ้นโดยพลัน มองไปยังไท่จื่อ “ไท่จื่อ…”
ไท่จื่อกลับไม่ตรัสอันใดออกมา ทำเพียงมองไปยังสตรีบนพื้นพรม ตรัสว่า “ยังไม่ส่งตัวไปอีก”
เหล่าขันทีประคองพระชายาฉินอ๋องออกไปกันอย่างลนลาน
ณ หอซูอิ่ง อวิ๋นหว่านชิ่นฟื้นขึ้นมาท่ามกลางกลิ่นกำยานหอมหวานและหรูหราที่ทำให้สงบใจ
เป็นยามเย็นของวันที่สองแล้ว
นางลูบลำคอ ยังมีความเจ็บปวดหลังจากถูกรัดอยู่ มีเงาร่างของสตรีนางหนึ่งอยู่นอกม่านเตียง
อวิ๋นหว่านชิ่นฝืนหยัดกายลุกขึ้นนั่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าลุกไวเกินไปหรือไม่ หน้าจึงมืด แล้ววิงเวียนขึ้นมาอีก โชคดีที่ยันพื้นเตียงเอาไว้จึงไม่ได้ล้มลงไป
หลังจากปลิดชีพฝังร่วมในตำหนักเมื่อวันก่อน เจิ้งหวาชิวก็ถูกไท่จื่อย้ายให้มาที่หอจื่อกวงจากข้างกายพระสนมม่อ สองวันมานี้คอยดูแลอยู่ข้างกายอวิ๋นหว่านชิ่นตลอด ยามนี้กำลังเข้าไปพยุงนางไว้ให้นิ่ง แล้วเอ่ยอย่างดีใจว่า “ฟื้นเสียที” ยกน้ำมา บิดผ้าเช็ดเหงื่อให้นาง
อวิ๋นหว่านชิ่นหยุดเว้นไปครู่หนึ่ง นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก็เลิกผ้าห่มออกจะลงจากเตียง “ฉินไช ทิงเสียนเล่า”
“วางใจเถิดเพคะ” เจิ้งหวาชิวจับข้อมือเล็กๆ ของนางไว้ กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “หมอหญิงพวกนั้นปลอดภัยแล้ว วันนั้นขันทีที่หยามเกียรติท่านภายในตำหนักก็ถูกไท่จื่อแทงตายไปแล้ว เหนียนกงกงเพิ่มนักโทษประหารในคุกหลวงห้าศพลงในโลงไว้ด้วยกัน เติมจำนวนศพร่วมฝังให้ครบ ส่งไปยังสุสานเซี่ยนหลิงแห่งเขาวั่นโซ่วแล้ว ฉินไช ทิงเสียนและหมอหญิงคนอื่นทั้งหมดห้าคนอยู่ในวังต่อมิได้อีกแล้ว เหนียนกงกงให้คนส่งออกจากวังไปในคืนนั้น แต่ละคนกลับไปบ้านเกิดกันแล้วเพคะ”
ก้อนหินใหญ่ในใจอวิ๋นหว่านชิ่นได้วางลงแล้ว และไม่มีเวลามาคิดมากว่าเหตุใดไท่จื่อจึงเปลี่ยนตัวนาง นางเอ่ยขึ้นว่า “รบกวนเจิ้งกูกูทูลกับทางไท่จื่อสักหน่อยเถิด” หมอหญิงทั้งห้าคนถูกส่งออกจากวังหลวงแล้ว นางก็เช่นกัน อยู่ในวังนานไม่ดีจะถูกคนพบได้
เจิ้งหวาชิวทราบดีว่านางคิดจะออกจากวัง มองนางพลางลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยว่า “ฉินอ๋องไปแล้วเพคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เข้าใจที่นางบอก
เจิ้งหวาชิวไม่ปิดบังอีกต่อไป เล่าเรื่องเมื่อสองวันก่อนผู้บัญชาการเฉินเปิดประตูเมืองด้วยตัวเอง ฉินอ๋องนำทหารเข้าวังในยามวิกาลเพื่อพบไท่จื่อเป็นการส่วนตัว สุดท้ายถูกจิ่งหยางอ๋องขวางไว้ให้ฟังอย่างละเอียด
ใจอวิ๋นหว่านชิ่นที่เพิ่งจะสงบลงเมื่อครู่ก็สั่นไหวดั่งคลื่นทะเลอีกครั้ง แผ่นหลังงามยังคงมีเหงื่อเย็นผุดซึมออกมา นางกับหมอหญิงห้าคนได้รับความช่วยเหลือ นึกไม่ถึงว่าเขาจะเสี่ยงอันตรายพาทหารบุกเข้าวังมาข่มขู่ไท่จื่อให้ปล่อยคน
แม้ว่าจะทราบว่าเขาย่อมต้องเตรียมการอย่างเพียบพร้อมแล้วแน่ แต่อย่างไรเสียก็เดิมพันด้วยชีวิต และไม่รู้ว่าเขาทำให้ไท่จื่อยอมประนีประนอมได้อย่างไร โชคดี โชคดีที่มีจิ่งหยางอ๋องแทรกกลางมาไกล่เกลี่ย ปิดเรื่องนี้ไป ทว่า…จิ่งหยางอ๋องถูกไท่จื่อสั่งให้เข้าวังมาปราบปรามฉินอ๋องมิใช่หรือ เหตุใดจึงมาช่วยฉินอ๋องได้เล่า
สวนแอปริคอตสกุลสวี ต้องเป็นพระชายาซ่งสกุลสวีที่ออกหน้าแน่ จึงสามารถโน้มน้าวและห้ามจิ่งหย่างอ๋องไว้ได้
เจิ้งหวาชิวเอ่ยขึ้นอีก วันที่สองภายในวังหลวง ในเวลาเดียวกันจวนอ๋องก็มีข่าวคราวส่งเข้ามา เนื่องจากฉินอ๋องล้มป่วยลุกไม่ไหว องครักษ์ข้างกายกับจ๋างสื่อที่จวนเข้าวังมากราบทูลแทนผู้เป็นนาย ขอร้องเดินทางไปยังเขตที่ปกครอง
ฉิน เป็นคำย่อของเขตส่านซี อาณาบริเวณที่ฉินอ๋องปกครองคือเขตส่านซีที่อยู่ทางเหนือ ใจกลางเมืองคือฉังอัน ห่างจากเมืองเจียงเป่ยที่ตั้งค่ายของอี๋ซื่ออ๋องเพียงแค่เมืองสองเมืองกั้นเท่านั้น ฉินอ๋องส่งสาน์สกราบทูลว่ายามนี้ทางเหนือกำลังประสบปัญหาร้ายแรง จะขึ้นเหนือไปตั้งมั่นกองทัพ และได้ช่วยเป็นกำลังเสริมให้แก่อี๋ซื่ออ๋องด้วยพอดี
สาน์สกราบทูลของฉินอ๋องส่งออกไป จิ่งหยางอ๋องเป็นคนแรกที่สนับสนุนเห็นด้วย
เรื่องที่ฉินอ๋องบุกวังในยามวิกาลเพียงพอที่จะเห็นได้ถึงความกล้าและความทะเยอทะยานของเขา ทุกคนในราชสำนักแอบตระหนกกันเงียบๆ แม้ว่าจิ่งหยางอ๋องและขุนนางที่ปรึกษาของเขาจะปกปิดกันอย่างแน่นหนา ก็ยังคงหลีกคำนินทาครหาไว้มิได้อยู่ดี พอฉินอ๋องจากไป ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับความสงบสุขของเมืองหลวง เพียงไม่นาน ขุนนางในราชสำนักก็ค่อยๆ ทยอยคล้อยตามจิ่งหยางอ๋อง ไท่จื่อที่ตกอยู่ท่ามกลางการเกลี้ยกล่อมของขุนนางจึงจำต้องคล้อยตามไปด้วย หลังจากนั้นหนึ่งวัน ทรงออกราชโองการดูแลบ้านเมือง อนุญาตให้ฉินอ๋องพาทหารและคนในจวนทั้งหมดไปยังเขตส่านซีอาณาบริเวณที่ปกครอง
ยามนี้ จวนฉินอ๋องที่เมืองหลวงว่างเปล่า เป็นจวนเปล่าที่รกร้าง
“พระชายา ฉินอ๋องยามนี้จากไปชั่วคราว เป็นการกระทำที่ชาญฉลาด” เจิ้งหวาชิวเอ่ยปลอบ แล้วคล้ายว่านึกเรื่องใดขึ้นมาจึงลุกขึ้น “ใครก็ได้ พาคนเข้ามา”
อวิ๋นหว่านชิ่นแววตาเป็นประกายกระเพื่อมไหวเล็กน้อย การกระทำที่ชาญฉลาด ช่าง…เนื่องจากทหารสองหมื่นนายและการรับประกันจากตัวจิ่งหยางอ๋องเองไท่จื่อจึงควบคุมเรื่องบุกวังครานี้ไว้ได้ แต่เรื่องนี้เป็นที่น่าโมโห องค์ชายสามกลายเป็นคนที่มีความทะเยอะทะยานป่าเถื่อนต่อหน้าไท่จื่อกับขุนนาง ยามนี้หากอยู่ที่เมืองหลวงต่อ ก็คงได้กลายเป็นหนามยอกอกของไท่จื่ออย่างยากจะเลี่ยง ทั้งสองจดจ้องกันไปกันมา ไม่ช้าก็เร็วก็จะเกิดแผลพุพอง ไม่แน่ว่าจะถูกไท่จื่อแอบทำร้ายเข้าอีก ถึงเวลานั้นก็เกรงว่าจิ่งหยางอ๋องคงขวางไว้มิได้แล้ว
องค์ชายสามทูลขอขึ้นเหนือไปต้านศัตรูปกป้องชายแดนด้วยตัวเอง สามารถรอดพ้นการกลั่นแกล้งของไท่จื่อได้ ซ่อนเร้นความสามารถ สำหรับความสัมพันธ์อันตึงเครียดกับไท่จื่อในยามนี้ นับว่าเป็นการคลี่คลายแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นคล้ายกำลังอยู่ในความฝัน ยังไม่ทันจะหลุดจากภวังค์ ในขณะนั้นเองเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น เงาร่างหนึ่งโผเข้าหา ทั้งเจ็บปวดทั้งยินดี “เหนียงเหนียง!”
นึกไม่ถึงว่าจะเป็นชูซย่าเข้าวังมา อวิ๋นหว่านชิ่นจมูกคัดขึ้น ดวงใจนับว่าอบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว นางฝืนลุกขึ้น
ชูซย่าทั้งลูบทั้งดูนางอย่างละเอียดจนทั่ว พอเห็นว่าปลอดภัยดีก็วางใจลงไม่น้อย แล้วสะอึกสะอื้นว่า “ท่านอ๋องให้บ่าวอยู่ที่เมืองหลวงดูแลเหนียงเหนียง วันนี้จึงถูกคนของกองกิจการภายในรับเข้ามาเจ้าค่ะ”
เจิ้งหวาชิวที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเสริมขึ้นว่า “ได้รับพระราชทานอนุญาตจากไท่จื่อแล้ว ภายหน้าแม่นางชูซย่าก็จะอยู่ข้างกายเหนียงเหนียงในวัง”
พอได้ยินประโยคนี้เข้า ใจของอวิ๋นหว่านชิ่นก็กระตุก นี่หมายความว่านางยังต้องอยู่วังต่อไปหรือ นางฝืนข่มอารมณ์ให้สงบ “เจิ้งกูกู รบกวนทูลทางด้านไท่จื่อให้ทีว่าข้าอยากพบ”
เจิ้งหวาชิวขานรับ
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางจะออกไปก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ รีบเอ่ยขึ้นว่า “ผู้บัญชาการเฉินไม่เป็นไรกระมัง” เปิดประตูเมืองให้ฉินอ๋อง ไม่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ มีหรือจะไม่โดนลงโทษเลย
ครานี้เป็นชูซย่าที่เอ่ยขึ้น นางรีบบอกว่า “วางใจเถิดเพคะ บ่าวได้ยินซือเหยาอันบอกว่า ในตอนที่ท่านอ๋องส่งสาน์สกราบทูลไป ทูลเรื่องผู้บัญชาการเฉินกับจิ่งหยางอ๋องโดยเฉพาะว่าคืนนั้นท่านอ๋องใช้อำนาจขององค์ชายและเรื่องการทหารเร่งด่วนมาโน้มน้ามข่มขู่ใต้เท้าเฉินให้เปิดประตู จิ่งหยางอ๋องก็เกลี้ยกล่อมอยู่ด้านข้างสองสามคำ ผนวกกับเห็นแก่หน้าแม่ทัพอาวุโสเฉิน ดังนั้นผู้บัญชาการเฉินจึงถูกหักเงินเดือน และมิได้รับโทษหนักใดๆ…แต่ว่า…”