จิ่งหยางอ๋องยืนนิ่งอยู่ด้านล่างบันได ทหารประจำการเมืองหลวงแข็งแกร่งห้าวหาญสองหมื่นนายที่อยู่ด้านหลังเขาน่าเกรงขามยิ่ง
แม่นางสวีสามารถถ่วงเวลาจิ่งหยางอ๋องไว้แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายจิ่งหยางอ๋องยังคงมาที่นี่อยู่ดี ซือเหยาอันสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
พอได้รับคำสั่งจากในตำหนัก จิ่งหยางอ๋องก็รีบรุดขึ้นบันไดเข้าไป เมื่อเข้าตำหนักมา ก็ให้ขุนนางทหารทั้งหมดในตำหนักออกไปก่อน
ไท่จื่อเห็นจิ่งหยางอ๋องมาในที่สุดก็สบายใจขึ้น ยิ้มเย็นตรัสว่า “สภาพทั้งในทั้งนอกตำหนัก จิ่งหยางอ๋องคงเห็นหมดแล้วกระมัง ฉินอ๋องบุกวังในยามวิกาล ซ้ำยังใช้เรื่องลอบสังหารเฮ่อเหลียนอวิ่นมาเป็นชนวนเรียกศัตรูมาทำสงครามเพื่อชิงตัวคนอีก บีลบังคับข้าให้ขัดพระราชโองการฮ่องเต้ ไม่ให้พระชายาฉินอ๋องถูกร่วมฝังด้วย ปล่อยพระชายาฉินอ๋องออกไป จิ่งหยางอ๋องในเมื่อมาแล้ว ยังไม่รีบจับกบฏผู้นี้ไปอีก!”
เสียงก้องกังวานอยู่ภายในตำหนัก ซือเหยาอันเหงื่อแตกพลั่กเต็มแผ่นหลัง จิ่งหยางอ๋องครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “ไท่จื่อ ที่กระหม่อมมาในคืนนี้ มิได้เพื่อช่วยไท่จื่อจับตัวฉินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร!” ไท่จื่อตกใจ “หรือเจ้าก็จะกระทำขัดต่อกฎหมายบ้านเมืองด้วย จะหักหลังฮ่องเต้พระองค์ก่อนรึ เขาให้ผลประโยชน์ใดแก่เจ้าเล่า” ซือเหยาอันถอนหายใจออกมา
ซย่าโหวซื่อถิงแววตาพลันเปลี่ยนเล็กน้อย เห็นจิ่งหยางอ๋องเอ่ยฉะฉานว่า “คืนนี้กระหม่อมทั้งไม่ช่วยไท่จื่อจับฉินอ๋อง และไม่ช่วยฉินอ๋องกระทำขัดต่อกฎหมายบ้านเมืองพ่ะย่ะค่ะ ที่กระหม่อมเข้าวังมาในคืนนี้ เดิมทีควรจะไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงจับตัวฉินอ๋องและทหารที่เหลือไว้ แต่ก่อนหน้านี้กระหม่อมดูแลบ้านเมืองกับสมุหนายกและฉินอ๋องมาด้วยกัน ทราบดีว่าฉินอ๋องเป็นผู้มีความสามารถใช้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองได้ ได้รับความพอพระทัยจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนอย่างยิ่งในเวลาอันสั้น ยามนี้เป็นเวลาที่บ้านเมืองต้องใช้คน ฉินอ๋องไม่คุ้มค่าที่จะมาตายด้วยเรื่องในคืนนี้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!”
“สิ่งที่เรียกว่า ‘เรื่องในคืนนี้’ คืออันใด เขาก่อเรื่องน้อยหรือไร วังโกลาหลไปหมดแล้ว!” ไท่จื่อหัวเราะหยันเสียงเย็น จิ่งหยางอ๋องลูกพี่ลูกน้องที่มือกุมอำนาจทางการทหารเอาไว้ผู้นี้ ปากมีคุณธรรม แต่เห็นได้ชัดว่าปกป้องเจ้าสามอยู่!
จิ่งหยางอ๋องแกล้งทำเป็นหูทวนลม ทูลต่อว่า “…อีกทั้งคืนนี้ฉินอ๋องพาทหารเข้าวังก็มีเหตุมีผล ล้วนเพื่อช่วยชายาทั้งสิ้น หักใจปล่อยชายาให้ตายมิได้” พูดพลางหันไปมองไท่จื่อ ถลกอาภรณ์คุกเข่าลง “ขอไท่จื่อโปรดทรงให้คำตอบที่น่าสบายใจแก่ฉินอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมาเป็นคนกลางร่วมออกวังไปกับฉินอ๋อง เรื่องในคืนนี้ก็ให้คิดว่าเป็นเพียงหมอกควัน ไม่เอาโทษที่ผ่านมา ไม่เอ่ยถึงขึ้นมาอีกด้วยเถิด!”
นี่มิใช่กำลังจงใจปล่อยเจ้าสามไปหรอกหรือไร คืนนี้กว่าจะหว่านแหได้ไม่ใช่ง่ายๆ จะยอมปล่อยเจ้าสามไปเช่นนี้ได้อย่างไร จิ่งหยางอ๋องผู้นี้วางทางลงไว้ให้เจ้าสามเรียบร้อยแล้วชัดๆ!
ทว่ายามนี้ ไม่อยากปล่อยก็คงต้องปล่อยแล้ว เจ้าสามใช้เรื่องลอบสังหารเฮ่อเหลียนอวิ่นในต้าเซวียนมาข่มขู่พระองค์ ไท่จื่อเดิมทีจิตใจก็ไม่ค่อยมั่นคงอยู่แล้ว ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเพิ่งจะสวรรคต ฝักฝ่ายและอำนาจภายในแคว้นไม่มั่นคง หากเหมิงหนูเปิดศึกกับต้าเซวียน พระองค์ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้ ยามนี้ นึกไม่ถึงว่ากระทั่งจิ่งหยางอ๋องก็ปกป้องเขาไว้ ได้ฟังเจตนานี้แล้ว ต่อให้พระองค์ไม่ยอม จิ่งหยางอ๋องก็จะรั้นปกป้องเขาต่อไปแน่!
ภายในตำหนักเงียบงันดั่งทะเลสาบที่หยุดการกระเพื่อมไหว
แม้ว่าจะไม่อยากได้แหเปล่ามา แต่ไท่จื่อก็จำต้องประนีประนอมชั่วคราว “ฉินอ๋องเข้าวัง มิใช่เพื่อจะปกป้องชีวิตของแม่นางสกุลอวิ๋นหรือไร คืนนี้หากเจ้าพาคนที่ต้องฝังร่วมไปอย่างเอิกเกริกเปิดเผย ไม่มีทางทำเช่นนั้นได้เด็ดขาด ภายหน้าข้าจะนั่งบัลลังก์รักษาการณ์ได้อย่างไร ยิ่งหมดหนทางจะแก้ต่างให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนและเหล่าขุนนางได้ ข้าทำได้เพียงรับปากฉินอ๋องว่าจะปกป้องชีวิตพระชายาฉินอ๋อง จะคิดหาวิธีให้นางรอดจากการฝังร่วมพรุ่งนี้ให้ได้แน่นอน หากเห็นด้วยล่ะก็ ขอฉินอ๋องรีบนำทหารออกจากวังไปเสีย”
ซย่าโหวซื่อถิงมุมปากปรากฏเป็นรอยยิ้มเย็นยะเยือก “ข้าต้องการทั้งไว้ชีวิตนาง และต้องการตัวนางด้วย”
“เจ้าอย่ามาทำตัวได้คืบจะเอาศอกเกินไปเช่นนี้” ไท่จื่อเดือดดาล
จิ่งหยางอ๋องมองออกว่าฉินอ๋องไม่พอใจ จึงส่งสัญญาณให้เขาเดินไปตรงประตูตำหนัก แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “คืนนี้ฉินอ๋องบรรลุเป้าหมายแล้ว ไท่จื่อยอมถอยให้แล้ว ท่านก็พอเสียเถิด วันหน้ายังมี ขอแค่สามารถปกป้องชีวิตของพระชายาไว้ได้ จะกังวลว่าจะไม่มีโอกาสได้พบหน้าอีกไปไย เมื่อครู่กระหม่อมก็บอกไปแล้วว่าคืนนี้จะไม่ช่วยไท่จื่อ แต่ก็จะไม่ช่วยท่านเช่นกัน หากไท่จื่อลงมือกับท่าน กระหม่อมก็จะหาวิธีปกป้องท่านแน่นอน แต่หากท่านบีบบังคับไล่บี้ไม่ลดละ รั้นไม่ยอมฟัง…เช่นนั้นกระหม่อมก็จำต้องไม่สนใจบุญคุณของท่าน บังคับใช้กฎหมายเพื่อบ้านเมืองแล้ว!”
ถ้อยคำรุนแรงและมีอำนาจ แม้จะเคารพนบนอบ แต่ก็ไม่มีทางหนีทีไล่ให้เลย
เมื่อรุ่งสางใกล้มาถึง ทหารม้าสองหมื่นนายของจิ่งหยางอ๋องก็ถือคบเพลิงยืนอยู่ตรงกลางลานกว้าง
สองฟากของตำหนัก ทหารร่วมทัพของผู้ที่บาดเจ็บจากธนูบนระเบียงก็หอบหิ้วมายังด้านข้าง กำลังทนความเจ็บปวดดึงลูกธนูทิ้ง กุมแผลที่เลือดไหลออกมาไม่หยุด ทว่าก็ยังคงเงยหน้าขึ้นรอผู้นำทัพออกคำสั่งท่ามกลางลมราตรี จะบุกวัง หรือว่าจะถอยกลับ มีเพียงประโยคเดียวของคนในตำหนักเท่านั้น
“ชายากระหม่อมกับพระชายาฉินอ๋องเป็นสหายสนิทกัน กระหม่อมได้ยินชายาพูดถึงพระชายาฉินอ๋องให้ฟังอยู่บ่อยๆ” จิ่งหยางอ๋องเอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ “ชายาบอกว่า บางคราแค่ช่วยเหลือนางเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น พระชายาฉินอ๋องกลับไม่ละอายที่จะเอ่ยขอบคุณ บางครายอมรับหน้าเพียงคนเดียว ดีกว่าให้ชายากระหม่อมต้องลงมือเอง เพราะกลัวจะทำให้คนอื่นลำบาก…หากเห็นฉินอ๋องขัดต่อบ้านเมืองเพื่อนาง ถูกราชวงศ์และเหล่าขุนนางทอดทิ้งแต่นี้ไป ทั้งยังมีทหารมากมายเพียงนี้ที่พบกับจุดจบทอันสาหัสเพราะนาง ซ้ำยังก่อให้เกิดสงครามระหว่างต้าเซวียนและเหมิงหนู…ท่านอ๋องคิดว่านางจะมีความสุขหรือ”
ข้ากลายเป็นภาระของท่านใช่หรือไม่
นั่นเป็นครานั้นที่ปกปิดสาส์นกราบทูลข้อราชการของขุนนางให้แก่บิดานาง นางซุกตัวอยู่ในอ้อมอกเขาเอ่ยถ้อยคำนี้ออกมา
นั่นเป็นถ้อยคำที่ออกมาจากใจนางจริงๆ นางไม่อยากให้เขาลำบากด้วยแม้แต่น้อย
ซย่าโหวซื่อถิงเหลือบมองไปยังตำหนักใกล้ๆ แววตาค่อยๆ ลุ่มลึกขึ้น กินยาถอนพิษมาหนึ่งเดือนนี้ พิษร้ายค่อยๆ หายไป ร่างกายดีวันดีคืน อารมณ์ก็ไม่ขึ้นๆ ลงๆ มากอีก ไม่มีเค้าลางที่พิษจะกำเริบขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย หมออิงบอกว่ากินต่อไปอีกสักระยะ บางทีอาจจะรักษาให้หายขาดได้
แต่ยามนี้ สะกิดในใจแค่เล็กน้อย เขากลับรู้สึกว่ามีความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง หน้าอกโน้มลงเล็กน้อย เกราะใบหลิวที่คลุมบนเกราะเหล็กสั่นเทาท่ามกลางลมราตรีอันเหน็บหนาว
รุ่งอรุณเพิ่งจะผ่านพ้นไป ฟากฟ้าเริ่มทอแสง เสียงประตูดังขึ้น มีนางกำนัลหอบบางอย่างไว้ในอกทยอยเข้ามา
หลังจากตกค่ำเมื่อวานนี้ หมอหญิงทั้งหกก็ถูกย้ายออกมาจากหอจื่อกวง เปลี่ยนไปอยู่ในตำหนักอีกแห่ง
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นสถานที่ใด ได้ยินแค่กงกงที่นำทางคล้ายบอกว่า ‘ที่ที่จะออกเดินทาง…’ อะไรสักอย่าง คาดว่าคงเป็นตำหนักในวังที่ใช้ทำพิธีประหารฝังร่วมโดยเฉพาะ หมอหญิงน้อยทั้งสองขวัญเสียจนร้องไห้ออกมาตรงนั้นอีกครั้ง
ห้องในตำหนักใหญ่มาก แต่ก็ว่างเปล่าเช่นกัน ไม่มีอะไรเลย พอเหล่านางกำนัลมาก็วางเก้าอี้เตี้ยไว้หกตัว แล้วก็มีนางกำนัลวางผ้าแพรต่วนสีขาวไว้บนโต๊ะ ขันทีคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า “เอาล่ะ เชิญทุกท่านมาทางนี้เถิด”
หมอหญิงขดตัวอยู่ตรงมุม เป็นตายร้ายดีก็ไม่ไป สะอึกสะอื้นอย่างหวาดผวาว่า “ไม่ ข้าไม่อยากตาย…”
อวิ๋นหว่านชิ่นจับมือฉินไชและทิงเสียนเอาไว้ แม้จะไม่ร้องไห้เสียงดังเหมือนกับคนอื่นๆ แต่ร่างกายก็สั่นเทาไม่หยุด นางแอบจับมือกันไว้แน่นเพื่อให้กำลังใจ
“ไม่อยากรึ ความเป็นความตายในวังไหนเลยเจ้าคนเดียวจะมาตัดสินได้!” ขันทีเฒ่าที่เป็นหัวหน้าส่งสายตาไปให้ ขันทีอายุน้อยสองคนก็เข้าไปลากตัวหมอหญิงที่ร้องไห้เสียงดังสามคนนั้นทันที
ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ยิ่งทะยานสูงขึ้น ทั้งสามกอดเสาเอาไว้ไม่ปล่อย ยามนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ดึงไม่ออก
ขันทีสองนายเหนื่อยจนหอบแฮ่กๆ ขันทีเฒ่าที่เป็นหัวหน้าโมโหจนหวีดขึ้น “ไร้ประโยชน์! แค่เด็กสาวไม่กี่คนก็จัดการไม่ได้!” ขันทีน้อยทั้งสองถูกตำหนิก็หน้าแดง กลัวว่าจะโดนลงโทษ จึงเหลือบตามองไป เห็นทิงเสียนรูปร่างเล็กและผอม จึงลุกขึ้นเดินไปหาคนที่ลงมือด้วยได้ง่ายที่สุดก่อน