ค่ำคืนต้นฤดูร้อน นิ่งสงบสงัดเงียบ
บนผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้ม มีดวงดาวพราวเต็มฟ้า
ลมอุ่นจากทิศใต้พาเสียงต่ำๆ ของแมลงในฤดูร้อนส่งเข้ามาภายในหน้าต่าง ทว่าจากนั้นก็ต้องเขินอายจนต้องกลับตัวออกมาด้วยภาพที่อยู่เบื้องล่างหน้าต่าง…แต่คงเพราะรีบร้อนกลับตัวออกมา จึงได้เอาเสื้อผ้าออกไปด้วย…
ในขณะที่แสงเทียนสั่นไหว เสื้อคลุมสีทับทิมที่เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งเอาคลุมตัวไว้หลวมๆ ก็ไหลหลุดลงมา เผยไหล่งามเนียนละเอียดดังหิมะขาวออกมาให้เห็นกว่าครึ่งหนึ่ง แสงเทียนฉายส่องไปยังความเปล่งปลั่งที่มีเฉพาะในสาวแรกแย้ม ใบหน้าของนางงดงามอ่อนโยน ผุดผ่องเป็นยองใย
เสิ่นจั้งเฟิงก้มหน้าลงมาอยู่เนิ่นนาน จุมพิตนัวเนียกับนางไปมา มือที่โอบเอวนางไว้กลับค่อยๆ เลื่อนขึ้นมา ไม่ทันรู้สึกตัวก็สอดเข้ามาภายในเอี๊ยมซับในของนาง แล้วเคล้าคลึงเบาบ้างหนักบ้าง… เว่ยฉางอิ๋งพลันกดมือเขาเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว ทว่าเรี่ยวแรงนั้นช่างบางเบาเสียจนคล้ายกำลังออดอ้อน และยิ่งคล้ายเป็นการเชิญชวน
มือที่มีปมด้านแข็งลัดเลาะไประหว่างหยกอ่อนนุ่มหอมหวนตามใจชอบ ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ไม่เคยคุ้น สัญชาตญาณของเว่ยฉางอิ๋งที่กำลังถูกจูบเสียจนฟ้าหมุนดินสะเทือนบอกว่าไม่ถูกต้อง แต่กลับไม่มีแก่ใจจะมาใคร่ครวญให้ถี่ถ้วน กลายเป็นว่าท่ามกลางความเคลิบเคลิ้มนั้น นางกลับหันมือเข้ามาเกาะกุมที่ข้างแขนของสามีเอาไว้
…และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เสิ่นจั้งเฟิงยืนตัวตรงขึ้นมา เพียงชั่วอึดใจริมฝีปากของคนทั้งสองจึงได้แยกจากกันอย่างรวดเร็ว เสิ่นจั้งเฟิงมองเห็นว่าความต้องการอันแสนลึกล้ำในแววตาของนาง จึงก้มหน้าลงอีกครั้ง ขบเม้มริมฝีปากของเว่ยฉางอิ๋งอย่างถี่ถ้วนด้วยลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะ ความเร้าร้อนฉาบอยู่บนใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋ง จิตใต้สำนึกของนางคิดอยากจะหลบหนี แต่ท้ายทอยกลับถูกเสิ่นจั้งเฟิงจับเอาไว้แน่น ไม่มีทีท่ายอมปล่อยนางออกไปเลยแม้แต่น้อย
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วน้อยๆ คล้ายรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา ความรู้สึกสับสนงวยงงปรากฏออกมาอย่างชัดเจนบนใบหน้าที่แดงดังลูกท้อ ทำให้เสิ่นจั้งเฟิงหยุดจูบนางในทันใด ทั้งยังดึงมือออกมาจากเสื้อของนางด้วย
เว่ยฉางอิ๋งจับจ้องไปที่เขาอย่างไม่เข้าใจ มีความรู้สึกอยู่ภายในมากมายแต่กลับไม่รู้ว่าควรจะทำสิ่งใด คิดอยากจะเอ่ยบางสิ่งแต่จู่ๆ ก็กลับคิดถ้อยคำที่เหมาะสมออกมาไม่ได้… แต่เห็นชัดว่ายามนี้เสิ่นจั้งเฟิงก็ไม่อยากรู้ว่านางต้องการจะเอ่ยสิ่งใด เขาก้มตัวลงอุ้มภรรยาตนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วเร่งฝีเท้าเดินไปที่ตั่งนอน
เมื่อถูกวางไว้บนตั่งอีกหน ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งเรียบร้อยกว่าเมื่อชั่วยามก่อนมากนัก นอกจากจะไม่พุ่งหมัดเข้าใส่ กระทั่งยามเสิ่นจั้งเฟิงยืนอยู่ที่ข้างตั่งและปลดมุ้งลงมา นางยังไปคว้าจับชายเสื้อของเขาโดยไม่รู้ตัว… แม้จะรู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์จากสุราปลุกเร้าอารมณ์ที่นางดื่มเข้าไปติดต่อกันสี่จอก ทว่าอาการแอบอิงไม่ยอมปล่อยเช่นนี้ก็ยังทำให้หัวใจของเสิ่นจั้งเฟิงอ่อนระทวยจนกลายเป็นน้ำในฤดูใบไม้ผลิแสนรันจวนใจ
หลังจากปลดมุ้งลงมา มองเห็นภายในมุ้งเพียงรางๆ จนดวงตายากจะแยกแยะได้ ทว่าท่ามกลางการขัดขืนที่แสนจะแผ่วเบาอ่อนแรงนั้น เว่ยฉางอิ๋งที่ถูกหว่านล้อมด้วยเสียงแผ่วเบา และค่อยๆ ถูกปลดเปลื้องเสื้อคลุม เสื้อเกาะอก และเอี๊ยมปิดหน้าอกออกไปทีละชิ้นก็โผเข้าไปในอ้อมอกของเสิ่นจั้งเฟิงอย่างลนลานและตัวสั่นสะท้านอยู่น้อยๆ ภาพนี้ทำให้เขาคิดไปถึงเครื่องหอมเจี๋ยปู้หลัว[1]ที่มีบันทึกเอาไว้ใน ‘บันทึกเมืองตะวันตก’ เล่าลือกันว่าเครื่องหอมชนิดนี้สกัดออกมาจากต้นไม้จำพวกสนชนิดหนึ่ง แต่กลับไม่ได้มีสีเหลืองอำพันเช่นเครื่องหอมจากต้นสนทั่วไป หากแต่มีสีขาวบริสุทธิ์ดังหิมะ
ทันใดนั้นผิวกายของเว่ยฉางอิ๋งก็พลันหอมหวนไปทั่วทุกอณู กลายเป็นความหอมหวนที่เครื่องหอมเลื่องชื่อล่ำค่าใดในใต้หล้าก็มิอาจเทียบเทียมได้ ประหนึ่งยาพิษที่มีพิษร้ายแรงเป็นที่สุด ซึ่งเย้ายวนให้เสิ่นจั้งเฟิงอยากจะดำดิ่งลงไปด้วยความยินยอมพร้อมใจเสียเหลือเกิน จนถึงขั้นไม่อาจทนรั้งรอต่อไปได้…
เขาจึงอาศัยแสงสว่างเลือนรางที่ลอดผ่านมุ้งเข้ามาชมผิวกายหอมหวนเนียนละเอียดดังหิมะที่ไร้ตำหนิใดๆ รอบหนึ่ง แต้มพรหมจรรย์สีแดงเลือดสดดังเพลิงกำลังลุกไหม้ที่ลำแขนของนาง และกำลังเฝ้ารอเพียงเขาให้มาลบเลือนมันออกไป ให้ผิวกายดังหยกนี้ได้ขาวหมดจดดังหิมะไปจนถ้วนทั่ว
แม้จะรุ่มร้อนไปทั่วทั้งตัว สัญชาตญาณของนางก็โอนอ่อนไปตามความต้องการของเสิ่นจั้งเฟิง ว่าแล้วยามนี้ริมฝีปากร้อนของเสิ่นจั้งเฟิงก็ขบเม้มไปตามอำเภอใจจนทำให้เว่ยฉางอิ๋งต้องผลักเขาออกโดยไม่รู้ตัว พลางเอ่ยแผ่วเบาดังเสียงยุงว่า “อย่า…อย่าทำเช่นนี้…”
แรงที่นางผลักบางเบาถึงเพียงนั้น เหมือนขนนกสัมผัสผ่าน เสียงกังวานเสนาะหูในยามปกติ ยามนี้กลายเป็นเสียงต่ำๆ ที่ทั้งอ่อนโยนทว่าอ้อนออดด้วยความอ่อนล้าจากอารมณ์ปรารถนา เสิ่นจั้งเฟิงถอนหายใจยาวๆ อยู่ในใจว่า เหตุไฉน…เขาฟังดูแล้ว ซุ่มเสียงเช่นนี้…เหมือนกับเป็นการ…ยั่วยวนนะ?”
เขาจึงอดจะงับและดูดที่หน้าอกของนางขึ้นมาไม่ได้
อาการดิ้นรนขัดขืนของเว่ยฉางอิ๋ง ไม่นานก็กลายมาเป็นเสียงครางอย่างอ่อนโยน เรื่องที่นางตวนมู่หาเรื่องตน ความทรงจำนานาของคำสอนสั่งก่อนแต่งงาน สิ่งที่นางหวงกำชับกำชามา โทสะที่ตนไม่ยอมทำตามสามี…ทุกสิ่งหมุนวนอยู่ในสมองของตนดังโคมม้าหมุน ทว่าเมื่อใคร่ครวญถึงอย่างละเอียดแล้วกลับเหมือนเป็นเพียงความว่างเปล่า
ความร้อนรุ่มในกายและสัมผัสที่ร้อนผ่าวพลันเข้าครอบงำตัวนาง ท่ามกลางสติที่เลือนรางบังเกิดมีแสงสว่างวาบฉายขึ้นมา
จึงทำให้นางมีสติขึ้นมาเล็กน้อย แล้วผลักอกเสิ่นจั้งเฟิงด้วยความตื่นตระหนก พลางกล่าวไปอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “เจ้า? เจ้าทำสิ่งใด?”
“อย่าดื้อ” เสิ่นจั้งเฟิงอดทนมาจนยามนี้ หน้าผากของเขามีเหงื่อบางๆ ฉาบอยู่ชั้นหนึ่ง เขาเอียงหน้ามาจูบที่ข้างแก้มภรรยาหนแล้วหนเล่า พลางปลอบอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้ากอดข้าไว้แน่นๆ”
เว่ยฉางอิ๋งงงงันอยู่สักพัก จึงค่อยเอื้อมแขนไปโอบไหล่ของเขาเอาไว้ตามคำเขา…แรกเริ่มนั้นนางรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก พยายามจะหุบขาทั้งสองเข้าและผลักเสิ่นจั้งเฟิงออกไป แต่แล้วเสิ่นจั้งเฟิงกลับขืนกดนางเอาไว้ ทั้งปลอบทั้งขู่ ทั้งรับประกับว่าผ่านไปสักพักก็จะดีเอง เว่ยฉางอิ๋งจึงได้ยอมให้เขาทำต่ออย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง… จากนั้นเมื่อความเจ็บปวดแผ่ผ่านขึ้นมานางก็รู้ว่าตนถูกหลอกเสียแล้ว ด้วยโทสะล้นเหลือนางจึงกัดที่หัวไหล่ของเสิ่นจั้งเฟิงไปอย่างแรงหนหนึ่ง รอยกัดนี้ไม่เบาเลย นางแทบจะได้รสชาติฝาดเค็มขึ้นมาท่ามกลางริมฝีปากและฟันในทันที…
เสิ่นจั้งเฟิงแค่นเสียงออกมาหนหนึ่ง แล้วถอนหายใจทั้งความรู้สึกโกรธและรู้สึกขำ “ดุถึงเพียงนี้… เคราะห์ดีที่ไม่ได้กัดที่คอ…หาไม่แล้ว…วันพรุ่งเจ้าจะออกไปข้างนอกได้อย่างไร?”
ทางหนึ่งเขาพูดไป แต่กลับมิได้หยุดการเคลื่อนไหว เพราะยังมิได้ลิ้มรสคืนแรกของภรรยาอย่างถึงอกถึงใจ การค่อยๆ สอดแทรกล่วงล้ำเข้าไปทีละเล็กทีละน้อยอย่างระมัดระวังเช่นนี้ ไม่เพียงเป็นการขัดเกลาตนอย่างหนึ่ง ทว่าการได้นำพาภรรยาจากหญิงสาวให้กลายมาเป็นภรรยาของตนด้วยตนเอง ได้สัมผัสถึงช่องทางอ่อนนุ่มไร้ที่ติซึ่งเป็นดังดอกไม้ค่อยๆ เบ่งบานออกรับร่างกายส่วนล่างของตน กลับเป็นความภาคภูมิใจและสุขสมอย่างหาที่สุดมิได้อย่างหนึ่ง
เนิ่นนานจากนั้น เขาก็ลุกขึ้นมาจากตัวเว่ยฉางอิ๋งด้วยความเหนื่อยอ่อนและอาลัยอาวรณ์ แล้วก้มตัวลงไปจูบแก้มภรรยาหนแล้วหนเล่า ยามนี้จึงเพิ่งรู้สึกถึงความเจ็บแสบที่อยู่บนแผ่นหลัง ไม่ต้องดูก็เดาได้ว่า…ภรรยาของตนผู้นี้เป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ เกรงว่านี่คงจะเป็นหลักการว่า หากมีผู้ใดไม่ยอมให้นางอยู่อย่างเป็นสุข นางก็จะไม่ให้ผู้นั้นอยู่อย่างเป็นสุขยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
เขาทั้งปลอบทั้งหลอกล่อจนสำเร็จ พอเรื่องดำเนินไประหว่างทาง เว่ยฉางอิ๋งมานึกเสียใจก็สายไปเสียแล้ว นอกจากจะกัดเขาไปหนหนึ่ง ยังจงใจข่วนแผ่นหลังเขาจนยับเยิน…ทั้งรอยหยิก รอยข่วน ที่ใดที่เว่ยฉางอิ๋งหยิกข่วนไปถึงก็เกรงว่าล้วนจะได้รับการต้อนรับอย่างถ้วนหน้า
เสิ่นจั้งเฟิงหยิกแก้มนางด้วยความรักปนขัดเคือง ส่ายหัวแล้วว่า “นี่ถือเป็นการตอบโต้ให้สามีทำอีกครั้งเช่นนั้นหรือ?”
ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งกลับมีสติขึ้นมามากแล้ว นางนอนก่ายหน้าผากย้อนคิดกลับไป แล้วรู้สึกถึงความผิดปกติขึ้นมา ไม่รู้จริงๆ ว่าควรเอ่ยปากอย่างไรจึงจะดี เนิ่นนานจึงได้เอ่ยถามเสียงเบาๆ ว่า “เจ้าทำดีนักนะ…ถึงกับวางยาไว้ในสุรา?”
“คิดว่าเป็นสามีวางยารึ?” เสิ่นจั้งเฟิงทอดถอนใจ “ข้าบอกแล้วว่า อิ๋งเอ๋อร์ก่อนเจ้าออกเรือนจะต้องไม่ได้ฟังคำที่พวกท่านอาหรือแม่นมบอกกับเจ้า..สุราปลุกอารมณ์กานี้ เดิมทีก็ตระเตรียมเอาไว้เพื่อค่ำคืนนี้ เพื่อมิให้พวกเราอ่อนล้าเกินไปจนไม่มีอารมณ์…อีกประการ สามีก็มิได้บังคับให้เจ้าดื่มนี่” พูดถึงตรงนี้เขาก็มีร้อยยิ้มเจ้าเล่ห์ปนท่าทีได้อดได้ใจ “เจ้าเอาตัวส่งมาถึงประตูเอง…นี่ไม่เรียกว่าผลกรรมตามสนองหรอกหรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งตะลึงงันไปพักใหญ่ นึกย้อนกลับไปสักพัก พลันรู้สึกอับอายจนโกรธ เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “จากเฟิ่งโจวมาเมืองหลวงใช้เวลาตั้งหลายวัน แล้วข้าจะไปจำได้อย่างไรตั้งมากมาย?” แล้วโทษเขาว่า “ยามข้าดื่ม แล้วไยเจ้าไม่บอกข้า? เจ้าตั้งใจตลบหลังข้าชัดๆ!”
“ดีชั่วอย่างไรเจ้าก็เป็นคนของข้า” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถามไปอย่างรู้สึกขันว่า “ยามนั้นอิ๋งเอ๋อร์กลัวสามีถึงเพียงนั้น สามีคิดว่า พอดื่มสุรานี้ไปแล้วทั้งคู่ก็จะได้เบาแรงลงไปสักหน่อย และเพื่อมิให้เจ้าต้องเจ็บปวดเกินไป…แล้วจะบอกเจ้าไปทำสิ่งใด? ดังนั้นนี่ก็เป็นลิขิตฟ้า”
เว่ยฉางอิ๋งตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบเป็นอย่างยิ่ง ว่าแล้วจึงหันหลังให้ไม่สนใจเขา ไม่คิดว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะเข้ามากอดนางจากด้านหลัง แล้วหัวเราะเบาๆ ที่ข้างหูว่า “ความจริงแล้วสุรานั้นเป็นอิ๋งเอ๋อร์ดื่มถือว่ายังดี หากเป็นสามีดื่มแล้วล่ะก็…อืม วันนี้เจ้าก็คงน่าสงสารน่าดู” พูดไป เขาก็ยกหัวขึ้นมาค่อยๆ บรรจงเม้มที่แก้มของนางเบาๆ
“เจ้าน่ะสิน่าสงสาร!” ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย และพูดออกมาไม่ได้ว่ามีอารมณ์เช่นใด ทั้งใจคอห่อเหี่ยวปนเวิ้งว้าง ในความเสียใจก็มีความอับอายและหวาดกลัวอยู่ด้วย ในใจนางเคว้งคว้างว่างเปล่า เมื่อคิดดูอย่างถี่ถ้วนก็รู้สึกว่าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ทางหนึ่งหันหน้าหนีไม่ยอมให้เขาจูบ อีกทางหนึ่งก็โต้แย้งไปด้วยใจล่องลอยว่า “วันนี้ถือเป็นเหตุบังเอิญ! เจ้าคอยดูเถิด ข้าจะต้องตีเจ้าให้เชื่อฟังแต่โดยดีให้จงได้!”
คำกล่าวนี้ดูแล้วดุดันมีพลัง แต่เมื่อนางใช้น้ำเสียงที่โรยแรงทั้งยังนิ่มนวลพูดออกมา เสิ่นจั้งเฟิงจึงมิได้สะทกสะท้านใดๆ กลับหัวเราะเสียงดังออกมาเสียอีก อาศัยจังหวะที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังขบริมฝีปาก เขาก็พลันดึงให้นางหันหน้ามาแล้วจูบเสียงดังลั่นที่แก้มของนาง พลางกล่าวเย้าหยอกว่า “อิ๋งเอ๋อร์ไยเจ้าต้องลำบากลงไม้ลงมือเช่นนี้? ขอเพียงเจ้าเชื่อฟังสักหน่อยยามอยู่ข้างกายสามี ไม่ต้องให้เจ้าตี สามีก็จะเชื่อฟังแต่โดยดี! หรือต่อให้เจ้าอยากจะตีสามี สามีก็จะยกมือขึ้นยอมแพ้ ยอมรับแต่โดยดี!”
“เจ้าสิต้องเชื่อฟัง!” เว่ยฉางอิ๋งพลันหน้าแดงขึ้นมา แล้วโพล่งออกไปโดยไม่ทันได้คิด
เสิ่นจั้งเฟิงจับมือนางมาที่ริมฝีปากแล้วจูบอย่างอ่อนโยน พลางยิ้มแล้วว่า “ตกลง เจ้าจะให้ข้าเชื่อฟังเช่นใด? จะให้ถอดเสื้อผ้าตัวเอง หรือจะให้ช่วยเจ้าถอดเสื้อผ้า แล้วแต่ว่าเจ้าต้องการอย่างไร… ข้าล้วนฟังเจ้า เริ่มจากหนนี้ได้เลย เจ้าว่าเป็นเช่นไร?”
ว่าแล้วก็พลันเอียงหน้ามางับใบหูของเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางอิ๋งร้องเสียงต่ำไปหนหนึ่ง รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาหนักหนา พลางออกแรงสะบัดตัวออกและกล่าวอย่างร้อนรนว่า “เจ้า… เจ้าคิดจะทำสิ่งใดอีก?”
“เมื่อครู่นี้เจ้าเอาแต่คิดจะทับอยู่บนตัวข้า ข้าจึงคิดว่า หนนี้ควรจะลองตามใจปรนนิบัติเจ้าอีกสักหน?” เสิ่นจั้งเฟิงเอื้อมมือไปกอดนางไว้ ไม่ให้นางสะบัดตัวออก แล้วกอดนางแน่นไว้ในอก พลางเอ่ยอย่างอ่อนโยนเอาใจ
…ไอ้เจ้าคนหน้าไม่อายคนนี้! เว่ยฉางอิ๋งเกือบจะกรีดร้องออกมา “เจ้ามันพวกเอาแต่ได้! ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว!” ยังมิทันสิ้นเสียง นางก็ร้องออกมาอย่างร้อนรนว่า “เจ้า!”
เสิ่นจั้งเฟิงพลันพลิกตัว แล้วกดนางไว้ใต้ตัวเขา หัวเราะเบาๆ พลางว่า “อย่าดื้อนะ ข้าชอบฟังที่เจ้าบอกว่า… ‘ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว’ ฟังเจ้าพูดประโยคนี้ข้าก็ต้องการเจ้าขึ้นมาอีกหน…อย่าดื้อ!”
“เจ้าสิอย่าดื้อ!” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกหนักใจขึ้นมาทันใด…ความเจ็บปวดระบมเมื่อครู่จนยามนี้ก็ยังมิทันจางหายไปหมด ของเหลวเหนียวข้นที่เสิ่นจั้งเฟิงปล่อยออกมาทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวจนหุบขาเข้าหากันไม่ได้ แต่กลับไม่คิดว่าคะ…คนผู้นี้ยังไม่ทันไร ยังคิดจะ…มากเกินไปแล้วจริงๆ! “ลงไปนะ ลงไป ข้าไม่…อุ๊!”
ริมฝีปากร้อนผ่าวปิดปากนางไว้อีกครั้ง แผงอกแกร่งทาบลงไปบนตัวนาง ทำให้รู้สึกไร้เรี่ยวแรงยากจะขัดขืนยากจะผลักไส ระหว่างที่สองมือเคล้าคลึงเย้าหยอกไปตามใจ เว่ยฉางอิ๋งอดจะเกร็งไปทั้งตัวไม่ได้
หนนี้เสิ่นจั้งเฟิ่งยิ่งเอาแต่ใจตนมากขึ้น ยามเขาจูบนาง ก็จับสองแขนของนางที่อยู่ไม่สุขคอยจะผลักไสเขาหรือยิ่งทำให้บาดแผลเดิมของเขาบาดเจ็บยิ่งกว่าเก่า เอาเกาะกุมไว้แน่นหนาและขืนยกขึ้นไปไว้เหนือหัวนาง…
_______________________________
[1] เครื่องหมอเจี๋ยปู้หลัว เป็นเครื่องหอมที่สกัดมาจากต้นยางแดง