“ฉันก็ไม่ได้สนใจเหมือนกัน แต่ใครใช้ให้พวกเรากลายเป็นบุคคลระดับผู้นำในสำนักโดยไม่รู้ตัวล่ะ คนอื่นๆ เขาไม่สนหรอกนะว่านายจะเป็นฝั่งสมาคมพันภูผาหรือเปล่า พวกเขาเพียงแค่ทำลายทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับธรรมเนียมเท่านั้น และนายก็เป็นแบบนี้” ชายผมเกรียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“จริงสิ” เขาเปลี่ยนหัวข้อ “ได้ยินมาว่านายเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบร้อยปีของสำนัก ตอนนั้นมีองค์กรไม่น้อยต่างมีอิทธิพลกับนาย ถ้าไม่ใช่สำนักเคลื่อนภูผาของพวกเรามือไว ไม่แน่ว่านายจะไม่เข้าร่วมกับพวกเราถูกไหม”
“ใช่” ลู่เซิ่งตอบยืนยัน
“งั้นฉันขอถามสักคำถามได้ไหม ตอนนี้นายเอาชนะโอวหยางจี๋กับจ้าวเฉวียนเฉินได้ เห็นพวกเขาสองคนบอกว่านายรังเกียจที่พวกเขาอ่อนแอเกินไปใช่หรือเปล่า พอดีเลย ตอนนี้มีโอกาสวางอยู่หน้านาย นายใช้มันแสดงให้เห็นว่าตัวเองแข็งแกร่งขนาดไหนได้นะ กล้ารึเปล่าล่ะ”
“…” ลู่เซิ่งคร้านจะตอบเขา คำพูดท้าทายระดับต่ำแบบนี้ไม่มีแม้กระทั่งกลวิธีจูงใจใดๆ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ติดกับ
“อย่าเงียบสิ ขอบอกเลยนะว่าฉันไม่ได้กำลังท้าทายนาย อีกเดี๋ยวนายจะอดใจไม่ไหวเอง นายก็รู้นี่ว่าตอนนี้คนเขาเรียกนายว่าอะไร” ชายผมเกรียนยิ้มแฉ่งพลางชูนิ้วหัวแม่โป้ง
“นี่ไง!” เขาขยับนิ้วโป้ง “คนอื่นๆ บอกว่านายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักเคลื่อนภูผา ถูกจัดอยู่ในอันดับเจ็ดของทำเนียบดวงจันทร์แห่งหลันเก๋อหลั่งรื่อ ท่ามกลางอัจฉริยะทั้งหมดในสาธารณรัฐ นายอยู่ในอันดับเจ็ด ส่วนโอวหยางจี๋ที่นายเอาชนะได้ก่อนหน้านี้อยู่ในอันดับเก้า”
“…” ลู่เซิ่งมองเขาเหมือนมองคนโง่
“อะไรกัน ไม่เชื่อหรือไง” ชายผมเกรียนหัวเราะอีกครั้ง
“ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่สนใจ” ลู่เซิ่งเอามือออกจากกระเป๋าเสื้อ เดินไปด้านข้างเพื่อจะตรวจดูพี่สาวหวังจิ้งในกล้องวงจรปิดผ่านโทรศัพท์
เขาไม่ได้สนใจอันดับบ้าบออะไรพวกนี้
“อย่าเดินหนีสิ ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ รู้ไหมว่าโอวหยางจี๋มีพี่สาวอยู่คนหนึ่ง เป็นหนึ่งในสุดยอดเมล็ดวิญญาณของสมาคมน้ำแข็งหิมะ นายทำร้ายน้องชายเธอจนบาดเจ็บสาหัส ถึงสำนักจะไม่เอาเรื่อง แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่สาวเขาจะไม่ยอมทำอะไรนะ” ชายผมเกรียนรีบพูดจนจบ
พอเห็นว่าในที่สุดลู่เซิ่งก็หยุดเดิน เขาก็กล่าวอย่างได้ใจว่า “รู้ไหมว่าเจ้าโอวหยางจี๋เป็นลูกหลานคนมีอำนาจ เบื้องหลังจะไม่มีที่พึ่งเหมือนคนธรรมดาได้ยังไง ไม่อย่างนั้นระดับอย่างมัน ต่อให้เก่งกาจขนาดไหน ก็เป็นรองหัวหน้าสมาคมกำเนิดใหม่ไม่ได้หรอก”
เขานั่งลงบนม้านั่งข้างตัวลู่เซิ่งแล้วสาธยายต่อ
“นายคิดดูซี่ มีสิทธิ์อะไร ถูกไหม นายมีคุณสมบัติไม่เลว แต่คนที่มีคุณสมบัติมีอยู่เยอะถมไป นายต้องมีประโชน์กับคนอื่นเท่านั้น พวกเขาถึงจะยอมติดตามนายและปกป้องนาย เหตุผลนี้นายว่าถูกไหมล่ะ”
“นายจะพูดอะไรกันแน่” ลู่เซิ่งเริ่มหงุดหงิดบ้างแล้ว เขาอยากก้มดูท่านอนของพี่สาว แต่ตอนนี้เจ้านี่เอาแต่พูดจาไร้สาระกวนเขาอยู่ได้ ทำให้ความอดทนในใจเขาลดลงเรื่อยๆ แล้ว
“ฉันก็แค่อยากจะบอกนายว่า” ชายผมเกรียนหุบยิ้มทันที “ในสำนัก นายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เมื่ออยู่ที่นี่ พยายามอย่าทำตัวเด่นหรืออย่าทำตัวกร่างเกินไปจะดีกว่า ไม่งั้น ไม่มีใครปกป้องนายได้แน่”
ลู่เซิ่งหรี่ตา
“ฉันว่านายเข้าใจผิดไปหน่อยนะ ข้อแรก ฉันไม่เคยบอกว่าตัวเองแข็งแกร่งที่สุด ข้อสอง ที่ฉันแข็งแกร่ง ไม่ใช่เพราะว่าฉันแข็งแกร่ง แต่เพราะพวกนายอ่อนแอเกินไป ส่วนข้อสาม…”
เขาเว้นเล็กน้อย
“ตั้งแต่นี้ไป อย่ามากวนฉัน! รู้ไหมว่าทำไมโอวหยางจี๋ถึงบาดเจ็บสาหัส”
“ทำไมล่ะ” ชายผมเกรียนไม่โมโห เพียงทำหน้าทะเล้น
“เพราะมันปากมาก”
ลู่เซิ่งที่ถือโทรศัพท์ปล่อยความหงุดหงิดที่ชัดเจนออกมาจากร่างกาย พร้อมกับตั้งท่าหากพูดจาไม่ลงรอยได้มีการลงไม้ลงมืออัดคนแน่
พลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่หลายสายแผ่พุ่งออกมาจากตัวเขาอย่างช้าๆ เหมือนกับเหวที่ลึกไม่เห็นก้น
พลังวิญญาณที่เย็นยะเยือกกดทับวิญญาณของทุกคนที่อยู่รอบๆ ทำให้พวกเขาตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
นอกจากชายผมเกรียนแล้ว คนที่เหลือต่างก็ตัวสั่น พากันออกห่างจากลู่เซิ่งมากกว่าเดิม
“จุ๊ๆ…พลังวิญญาณแกร่งจริงๆ” ชายผมเกรียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนจะอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นทองคำแล้ว…จุ๊ๆ มาถึงระดับนี้ได้ทั้งๆ ที่ยังอายุน้อยขนาดนี้ สมกับเป็นอัจฉริยะเลย เพียงแต่…อีกเดี๋ยวถ้าเจอโอวหยางถัวจากสมาคมน้ำแข็งหิมะ หวังว่านายจะยังใจกล้าแบบนี้ได้อยู่นะ”
ลู่เซิ่งหรี่ตาพิจารณาอีกฝ่าย เขารู้สึกแปลกพิกล ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายมัดผ้าพันแผลและได้รับบาดเจ็บ แต่เหมือนจะไม่สนใจแม้แต่น้อย และไม่มีอารมณ์หดหู่หลังพ่ายแพ้เลยสักนิด
เหมือนกับว่าทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเป็นแค่เกมสำหรับเขาเท่านั้น ให้ความรู้สึกก้มมองจากที่สูง
ลางสังหรณ์บอกเขาว่า เจ้าหมอนี่ไม่เหมือนผู้จัดการเรื่องราวระดับทองคำของสำนักเคลื่อนภูผาธรรมดาๆ
แต่ลู่เซิ่งคร้านจะคิดมาก ไม่ธรรมดาก็ไม่ธรรมดาเถอะ เพราะต่อให้ไม่ธรรมดาอย่างไรก็ไม่ใช่คู่มือของเขาอยู่ดี
เขาเดินไปด้านข้าง ยึดมุมมุมหนึ่งไว้ คนอื่นๆ ไม่กล้าเข้าใกล้เขา ต่างก็คุยกันเบาๆ อยู่ห่างๆ
ไม่นานนัก ผู้หญิงผมแดงก็นำกลุ่มออกไปด้านนอก เหมือนจะไปชมดูเรื่องสนุกที่ค่ายน้ำแข็งหิมะ
ชายไว้ผมเกรียนกับผู้ดูแลอีกสองคนอยู่ดูแลผู้หญิงสองคนบนเตียงผู้ป่วยต่อ
ดูเหมือนพวกเขากำลังเตรียมของที่จำเป็นสำหรับการเคลื่อนย้าย ผู้หญิงสองคนนี้ไม่ใช่แค่ถูกขืนใจเฉยๆ แต่คล้ายถูกทรมานมานานจนใกล้จะเสียสติแล้ว
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว มองดูสายตาของผู้หญิงคนหนึ่ง ในนั้นมีแต่ไอความตาย
‘ช่างเถอะ ถ้าไม่เจอก็แล้วไป ถ้าเจอค่อยฆ่าทิ้งก็พอ’ เขาไม่มีทางออกตัวช่วยเหลือคนที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่คนรู้จักอยู่แล้ว
เหมือนกับผู้หญิงเสื้อแดงคนเมื่อครู่ ดูท่าทางของเธอ ไม่เหมือนกับไปชมดูเรื่องสนุก พาคนพกอาวุธภูตไปขนาดนั้น ดูก็รู้ว่าเตรียมจะไปมีเรื่อง
แต่อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของเขา
“นายไม่สนใจเหรอ” ชายผมเกรียนเข้ามาหาพร้อมหัวเราะคิกคักอีกครั้ง
ลู่เซิ่งปิดกล้องวงจรปิดที่ใช้ดูหวังจิ้งบนโทรศัพท์ทิ้ง หวังจิ้งพลิกตัวโดยไม่รู้สึกตัวรอบหนึ่ง กระโปรงยาวเลิกขึ้น เผยให้เห็นส่วนใต้กระโปรง
เขามองหวังจิ้งเป็นของส่วนตัวของตัวเองมานานแล้ว ย่อมไม่อยากให้เธอถูกคนอื่นคุกคาม
พอปิดโทรศัพท์ ลู่เซิ่งก็นั่งพิงบนโซฟาเดี่ยว ก่อนจะยกแก้วน้ำที่อยู่บนโต๊ะเล็กใกล้ๆ ขึ้นดื่มคำหนึ่ง ไม่รู้ว่าใครเทไว้ให้เขา
“ก่อนหน้านี้ไม่นานอวี๋เฉิงกังเพิ่งเลื่อนสู่ขั้นทองคำ แม้อานุภาพอาวุธภูตของเขาจะไม่เลว มีวิญญาณวีรชนของแม่ทัพใหญ่ยุคโบราณหลี่หรงซิ่นเกาะติดอยู่ แต่วิชาวิญญาณของเขาไม่ค่อยดีนัก พลังโดยรวมเป็นพวกธรรมดาๆ ในขั้นทองคำ”
ชายผมเกรียนวิเคราะห์โดยไม่สนใจใคร
“โหยวเหลียนคนที่ใส่เสื้อสีแดงเป็นผู้เข้มแข็งมากประสบการณ์ในขั้นทองคำ แต่พลังไม่ได้สุดยอดเท่าขนาดอก เอวและสะโพกของเธอเอง ทั้งยังไม่มีจุดเด่นอะไร แถมตอนนี้บาดเจ็บยังไม่หายดี หรือก็คือเป็นระดับกลางขั้นทองคำคนหนึ่ง ปัญหาใหญ่สุดของเธอก็คือ นิสัยเธอแย่และร้ายกาจมาก ถึงจะสวยและรูปร่างดี แต่กลับใจร้อน นายรู้ไหมว่าผู้หญิงแบบนี้จะถูกทำอะไรง่ายที่สุด”
“ข่มขืน” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างไม่อิหนังขังขอบ
“ถูกต้อง” ชายผมเกรียนหัวเราะเหอะๆ “ดังนั้น ถ้าฉันทายไม่ผิดล่ะก็…อีกไม่นาน...”
“…” ลู่เซิ่งขี้เกียจจะสนใจเขา
“ความจริงอีกประโยคที่ฉันอยากจะพูดก็คือ นายเป็นศิษย์ของรองผู้อาวุโสหวงอวิ๋นซื่อ ส่วนโหยวเหลียนคนนั้นเป็นน้าของหวงย่า” ชายผมเกรียนยิ้มอย่างลามกเป็นพิเศษ
ลู่เซิ่งชะงักการเคลื่อนไหวอย่างหมดคำพูด
ความจริง ไม่ว่าเขาจะยินยอมหรือไม่ เขาในตอนนี้ก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักเคลื่อนภูผาในค่ายแห่งนี้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์หรือผู้จัดการเรื่องราว ก็ไม่มีใครเอาชนะการร่วมมือกันของรองผู้จัดการเรื่องราวหลักกับโอวหยางจี๋ได้อย่างง่ายดาย
อีกทั้งยังเป็นการเอาชนะโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ อีกต่างหาก
ดังนั้นทุกคนต่างก็ยอมรับพลังของลู่เซิ่ง
แต่ลู่เซิ่งขึ้นชื่อเรื่องนิสัยไม่แยแสใคร ถ้าไม่ใช่คนที่มีความเกี่ยวข้องกับเขา โดยปกติแล้วเขาจะไม่สนใจเลย
ดังนั้นวิธีการขอให้เขาลงมือจึงกลายเป็นเรื่องยาก
ดีที่ชายผมเกรียนไม่จำเป็นต้องปวดหัวนาน เพราะหลังจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงเสื้อแดงกับลู่เซิ่งถูกเปิดเผย เขาก็ทราบว่ากุญแจสำคัญอยู่ตรงไหน ดังนั้นเขาจึงจงใจกระตุ้นให้โหยวเหลียนนำกลุ่มไปหาเรื่อง ส่วนตัวเขาเฝ้าค่าย
และผลลัพธ์ในความเป็นจริงก็เป็นอย่างที่เขาคิดไว้
ลู่เซิ่งลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด
“น่ารำคาญจริงๆ สถานที่อยู่ไหน” เขาสาวเท้าเดินไปยังประตูใหญ่
ไม่ว่าอย่างไรหวงย่าก็ทุ่มเทกายใจกับเขามาโดยตลอด แม้ไม่มีความดีความชอบแต่ก็มีความพยายาม
“ฉันจะพานายไปเอง!” ชายผมเกรียนหัวเราะและรีบตามไป
ลู่เซิ่งพลันหมุนตัวมา
“รองหัวเราะอีกครั้งดูสิ”
ชายผมสั้นทำหน้าอึ้ง ก่อนจะหุบรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างรวดเร็ว และทำหน้าเคร่งขรึมในทันใด
“ฉันอารมณ์ไม่ดี ดังนั้น เวลามีคนหัวเราะต่อหน้าฉัน ฉันจะไม่ชอบใจมาก” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงแผ่วต่ำ
เอื๊อก
ชายผมเกรียนสัมผัสได้ทันทีว่า วิญญาณที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของร่างกายกำลังสั่นอย่างอธิบายไม่ได้
เขากลืนน้ำลายเอื๊อกหนึ่ง ไม่กล้าพูดต่ออีก
เขามีลางสังหรณ์ว่าถ้าพูดมากกว่านี้ อาจจะถูกตัวประหลาดตรงหน้าอัดเละก็ได้
ถูกต้อง ตัวประหลาด
หลังจากเขาสัมผัสด้วยตัวเอง ก็มอบคำเรียกนี้ให้ความอัจฉริยะของหวังตง
แอ๊ด
ประตูใหญ่เปิดออก พายุหิมะด้านนอกพัดเข้ามา
พวกขี้เมาที่กำลังส่งเสียงสบถด่าทอ ถือขวดเหล้าเดินเซผ่านมาหน้าประตูพอดี พร้อมกับตบอกคุยโวพลางหัวเราะเสียงดัง
“ไสหัวไป อย่าขวางทาง!”
ลู่เซิ่งถลึงตา
พละกำลังไร้รูปร่างสายหนึ่งเหมือนค้อนหนักทุบใส่ร่างชายขี้เมาสองคนอย่างแรง
เปรี้ยงๆ!
ร่างกายของพวกเขาเปลี่ยนรูป แสงพลังวิญญาณหลายชั้นบนร่างพังทลายอย่างรวดเร็ว ร่างกายบิดเบี้ยวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ จากนั้นก็กระเด็นออกไปชนใส่ถังขยะใบหนึ่งก่อนจะหมดสติไป
ลู่เซิ่งแบะกระดุมเสื้อ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อพลางมองชายผมเกรียนที่อยู่ใกล้ๆ
“ตามฉันมา!” ชายผมเกรียนตัวสั่นแล้วรีบวิ่งไปด้านหน้า
เขาคิดไม่ถึงว่าลู่เซิ่งจะเหี้ยมขนาดนี้ เจอตอนอารมณ์ไม่ดีก็อัดคนทันที
แม้สองคนเมื่อครู่จะไม่ตาย แต่อย่างน้อยต้องนอนสิบวันครึ่งเดือน ถึงจะกลับมาเคลื่อนไหวได้
คนบนถนนที่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่พากันหลบไปสองฟากข้าง หนีกันจ้าละหวั่น
อาศัยแค่พลังวิญญาณก็ทำร้ายยอดฝีมือขั้นสูงของระดับเงินที่มีพลังวิญญาณคุ้มกัน จนร่างบาดเจ็บสาหัสได้ พลังแบบนี้ถ้าไม่ใช่ระดับทองคำ แม้แต่สิทธิ์จะพูดด้วยก็ไม่มี
ชายผมเกรียนทางหนึ่งนำทาง ทางหนึ่งมองคนเดินถนนที่รีบหลบไปอยู่ห่างๆ พร้อมกับนึกทอดถอนใจ นับตั้งแต่เข้าร่วมสำนัก นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้
ลู่เซิ่งเองก็รำคาญเช่นกัน
เขาไม่มีเวลาสนใจเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้ เป้าหมายหนึ่งเดียวที่เขามาที่นี่คือการกลายเป็นเทพแห่งการทำลายล้าง
แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ขุมกำลังอื่นๆ มาก่อกวน การกำจัดปัจจัยที่อาจส่งผลคุกคามในบริเวณรอบข้างทิ้งก่อนก็ไม่เลวเหมือนกัน
เขาคำนวณบางอย่างในใจ
ใช้การไปในครั้งนี้เป็นการสำรวจแล้วกันว่า ระดับไหนอาจสร้างการคุกคามได้
จากนั้น หากมีการคุกคาม ก็ต้องกำจัดทิ้ง
……………………………………….