‘พูดอีกอย่างก็คือ ความปรารถนาที่เราต้องการมากที่สุดดูเหมือนจะเป็นการกลับโลกใบเดิม’
ลู่เซิ่งสะท้อนใจ
นึกไม่ถึงว่าจุติมาหลายโลก สิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริงคือการกลับไป ณ จุดแรกสุด
กลับไปหาครอบครัวธรรมดาที่พ่อแม่ยังแข็งแรง และน้องสาวที่ดื้อรั้น
แม้น้องสาวจะไม่เชื่อฟัง ถึงพ่อแม่จะไม่ค่อยสบาย แต่ก็ยังขยันทำงานหาเงิน ทว่าบ้านหลังนั้นก็เป็นสถานที่ที่อบอุ่นที่สุดเสมอมาสำหรับเขา
‘คนเขาถึงพูดว่า…’ ลู่เซิ่งใช้ความคิด รอบตัวพลันมืดลงอีกครั้ง
‘เรื่องบางเรื่องก็ยากจะเติมเต็ม’
สิ่งที่ปรากฏเป็นครั้งที่สามคือปากใหญ่ที่กำลังอ้าๆ หุบๆ
ปากใหญ่เหมือนเคี้ยวอะไรบางอย่าง ตอนอ้าจะเห็นฟันที่แหลมคมและแปลกประหลาดหลายชั้นด้านในได้
ฟันสีขาว ฟันสีดำ ฟันสีแดง ฟันทรงรูปบาศก์ ฟันสามเหลี่ยม ฟันกรามทรงกลม ถึงขั้นยังมีฟันทรงจันทร์เสี้ยว
ฟันนับไม่ถ้วนเหยียดยื่นเรียงกันอยู่ในปากใหญ่เป็นชั้นๆ
ในความมืดรอบกาย เหมือนจะมีอะไรบางอย่างกำลังถูกโยนให้ปากใหญ่เคี้ยวกินอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
‘ที่นี่น่าจะเป็นญาณนรก ชั้นสุดท้ายของสามวิญญาณแล้ว”
“ที่นี่ใช้กิเลสที่สับสนมากมายเป็นหลัก เป็นที่เก็บและให้กำเนิดกิเลสอันวุ่นวาย เพียงแต่…แล้วเจ็ดอารมณ์หกกิเลสล่ะ”
ลู่เซิ่งกวาดตามอง นอกจากปากใหญ่ตรงหน้าแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอีก
ปากใหญ่สีดำก็คือการดำรงอยู่เพียงหนึ่งเดียวในความมืดมิดผืนนี้
ตามเหตุผล ผู้ชายหรือเพศผู้ทั่วไปควรมีกิเลสถึงจะถูก
ลู่เซิ่งลนลานอยู่บ้าง รีบค้นหาสัญลักษณ์การคงอยู่ของกิเลสไปทั่ว
ไม่นานหลังจากอ้อมรอบปากใหญ่ไปรอบหนึ่ง ในที่สุดเขาก็เจอภาพเบลอกลุ่มหนึ่งตรงตำแหน่งที่มีเงามืดปกคลุม
ขณะมองภาพเบลอที่มีรูปร่างเหมือนกับไอ้จ้อน ลู่เซิ่งก็ทราบว่า กิเลสจะต้องเป็นสิ่งนี้แน่
‘นี่มันแตกต่างกันเยอะไปหน่อยมั้ง’
เขาเอือมระอาอยู่บ้าง ภาพเบลอที่อยู่ข้างใต้ปากใกล้เคียงกับเม็ดงา สองสิ่งจึงตัดกันอย่างชัดเจน
ความจริงเขาเองก็ทราบดีว่า สาเหตุที่เป็นแบบนี้ เป็นเพราะร่างหลักแข็งแกร่งเกินไป จึงไม่เจอคู่ครองที่ทนเขาได้
ถ้าหาคนที่เปราะบาง เกิดตอนมีอะไรกันแล้วอดกลั้นไม่ไหว คุมตัวเองไม่อยู่
ก็เป็นอันจบสิ้น ทั้งสาวทั้งดาวจะแหลกไปพร้อมกัน
อสุจิที่หลั่งออกมาสามารถทำลายระบบดาวฤกษ์ได้หลายระบบ ถ้าไม่มีผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงคอยควบคุมล่ะก็
ดังนั้นจึงถือว่าลู่เซิ่งทำอย่างว่าไม่ได้ เพราะนี่คือการทำลายเผ่าพันธุ์แบบหนึ่ง
มีหลายครั้งที่เขารู้สึกโชคดีเพราะให้กำเนิดลู่หนิงกับเฉินอวิ๋นซีได้
ไม่อย่างนั้นหากช้ากว่านี้หน่อย เกรงว่าจะไม่ทันกาลแล้ว
ลู่เซิ่งได้สติกลับมา มองดูภาพเบลอกลุ่มนี้ พลางเกิดความรู้สึกถึงวิกฤติการณ์มากขึ้นๆ
‘ไม่ได้! เป็นแบบนี้ต่อไปฉันคงนกเขาไม่ขันแน่”
“จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ทำเรื่องอย่างว่าคือเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน แต่ถ้านับเวลาที่จุติไปยังโลกใบเล็กๆ ความจริงผ่านมามากกว่าพันปีแล้ว…”
“นึกไม่ถึงผ่านไปแค่พันปีจะหดถึงขนาดนี้…ดีที่ตอนนี้มาถึงโลกใบนี้แล้ว”
หวังจิ้งในฐานะเทพแห่งการทำลายล้าง เป็นตัวตนที่ทำลายทุกสิ่งอยู่แล้ว พลังแห่งความรกร้างด้านในตัว เป็นพลังงานแข็งแกร่งระดับเดียวกับพลังเทพนอกรีต ขอแค่มีพลังแข็งแกร่งมาก ก็จะทนการทำงานอันน่ากลัวกับพลังกลืนกินของอสุจิเขาได้
บวกกับเธออยู่มานานกว่าลู่เซิ่ง จึงมีความเป็นผู้ใหญ่และไม่อารมณ์ร้าย แม้จิตใจจะมีปัญหาเล็กน้อย แต่ไม่สำคัญ ถ้าทำได้ก็ทำ
ลู่เซิ่งใจลอยอีกครั้ง รอเขาได้สติกลับมาก็ค้นพบอย่างฉงนใจว่า ภาพเบลอเมื่อก่อนหน้านี้ใหญ่ขึ้นนิดหน่อย
‘ยังช่วยได้!’ เขายินดี
…
จิตค่อยๆ ถอยออกจากส่วนลึกของวิญญาณ
ลู่เซิ่งลืมตา
‘ดีปบลู’
กรอบสีฟ้าของเครื่องมือปรับเปลี่ยนปรากฏออกมาตรงหน้า
‘สามจิตยืนยันส่วนที่ต้องเติมเต็มได้แล้ว ทางเจ็ดวิญญาณค่อนข้างง่ายกว่า แบ่งเป็นกิเลสเจ็ดชนิด สามจิตคืออาณาเขตหลัก ส่วนเจ็ดวิญญาณเป็นการแบ่งกลุ่มย่อยๆ’
หลังจากลู่เซิ่งจัดระเบียบตั้งแต่บนถึงล่าง ก็ยืนยันปัญหาของตัวเองได้แล้วว่า มีแต่ความยึดติดที่จะกลับโลกใบเดิมกับการหดตัวของภาพเบลอเท่านั้น
ที่เหลือปกติทุกอย่าง
เขากวาดตามองเครื่องมือปรับเปลี่ยนอย่างคุ้นเคย ก่อนจะเจอกรอบของวิชาสื่อวิญญาณตรงด้านล่างสุด
[วิชาสื่อวิญญาณพื้นฐาน: ขั้นที่เจ็ด (คุณสมบัติพิเศษ: ชำระธรรมชาติ)]
ที่เหลือคือการใช้วิชาวิญญาณบางส่วนที่ฝึกฝนอย่างไม่เป็นระเบียบ แต่พวกนั้นเป็นวิธีการใช้วิชาสื่อวิญญาณพื้นฐาน
พลังวิญญาณที่ฝึกฝนจากพื้นฐานนี้เป็นพื้นฐานทั้งหมดที่ผู้สื่อวิญญาณฝึกฝน
‘วิชาสื่อวิญญาณพื้นฐานสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่วิญญาณและเพิ่มปริมาณพลังวิญญาณได้’
ลู่เซิ่งย้อนนึกถึงผู้สื่อวิญญาณในระดับเงินอย่างหวงย่า วิญญาณของเธอทำให้เขารู้สึกเหมือนหลอดไฟที่สว่างไสว
ตอนนี้ เขาโคจรพลังวิญญาณมาปกคลุมดวงตาแล้วก้มมองตัวเอง
วิญญาณของเขาก็เหมือนหลอดไฟเช่นกัน ใกล้เคียงกับระดับความสว่างของหวงย่า เพียงแต่อ่อนกว่าเธอเล็กน้อย
‘เหมือนหวงย่าจะฝึกฝนวิชาสื่อวิญญาณพื้นฐานถึงขั้นสิบห้าแล้ว…’
ตอนนี้เขาเพิ่งฝึกถึงขั้นเจ็ดก็สามารถเทียบเคียงกับผู้สื่อวิญญาณขั้นสิบห้าได้แล้ว
นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมพวกหวงอวิ๋นซื่อถึงให้ความสำคัญกับเขาขนาดนี้
วิชาสื่อวิญญาณพื้นฐาน พูดถึงที่สุดแล้วก็คือการขุดค้นศักยภาพ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้วิญญาณผ่านการฝึกฝน
แต่คนที่มีศักยภาพนิดหน่อย ต่อให้ขุดค้นต่ออีก ก็มีแต่จะเจอทางตัน ทว่าเขาเพิ่งจะขุดค้นก็เทียบกับคนที่ฝึกถึงขีดสูงสุดได้แล้ว
‘ช่างเถอะ ไม่ต้องไปคิดมากหรอก’ ลู่เซิ่งกดความคิดลงบนปุ่มปรับเปลี่ยน
อินเตอร์เฟซดีปบลูกะพริบน้อยๆ ก่อนจะกลับเป็นแบบเดิมทันที
ดีปบลูในตอนนี้ร้ายกาจกว่าตอนแรกมาก ความสามารถที่ฝังอยู่ในแกนกลางร่างของเขานี้เหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นพร้อมกับเขา
‘ยกระดับวิชาสื่อวิญญาณพื้นฐานถึงขั้นสิบห้า’ ลู่เซิ่งใช้ความคิดออกคำสั่งแก่ดีปบลู
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นก็มีพลังอาวรณ์ทะลักออกมาจากหน้าอกเหมือนกับน้ำพุแล้วกระจายไปทั่วร่างกาย
แม้แต่จิตของลู่เซิ่งก็สั่นไหวน้อยๆ เหมือนกับมีของเหลวเย็นๆ นับไม่ถ้วนซึมเข้าสู่สมองของเขา
จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าจิตของตัวเองขยายใหญ่ขึ้นเหมือนถูกเป่า
ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ…
ความรู้สึกนี้เหมือนการขยายทั่วไป ไม่มีความรู้สึกหวิวโหวงใดๆ ของเหลวที่ไหลสู่จิตใจนั้นเติมเต็มวิญญาณของร่างร่างนี้เหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของเขา
วิชาสื่อวิญญาณพื้นฐานในกรอบยกระดับอย่างรวดเร็ว
ระดับแปด
ระดับเก้า
ระดับสิบ
ระดับสิบเอ็ด
ระดับสิบสอง…
จนถึงระดับสิบห้า!
ใช้พลังอาวรณ์ไปราวหนึ่งพันหกร้อยกว่าหน่วย จึงบรรลุถึงระดับสิบห้าอันเป็นระดับสูงสุด
ลู่เซิ่งลืมตาขึ้น ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเหมือนกับบิดเบี้ยวเปลี่ยนแปลง
วิญญาณเดิมเป็นแก่นสารและการสะท้อนของร่างกาย ในเมื่อกายเนื้อของเขาได้ฝึกถึงขั้นที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดแล้ว
เลขฐานของวิญญาณย่อมสูงสุดขีดโดยอัตโนมัติ
ตอนนี้ยกระดับถึงขั้นสิบห้าในคราวเดียว ปกติพลังวิญญาณตั้งแต่ขั้นเจ็ดถึงขั้นสิบห้าจะต้องเพิ่มขึ้นชนิดพุ่งทะยานอย่างน้อยสามครั้ง
ทุกๆ ครั้งจะยกระดับพลังวิญญาณขึ้นเกือบสิบเท่า
พูดอีกอย่างก็คือ หลังจากผ่านไปสามครั้ง คนธรรมดาจะฝึกฝนวิญญาณของตัวเองให้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมากกว่าพันเท่าได้
นี่ยังเป็นตัวเลขต่ำสุด
ตอนนี้ลู่เซิ่งยกระดับถึงขั้นสิบห้าในครั้งเดียว
พลังวิญญาณของร่างกายจึงเปลี่ยนแปลงไป
การเพิ่มพลังมากกว่าพันเท่าทำให้เขาสัมผัสได้ว่าตัวเองเหมือนกำลังลอยขึ้น
หลังจากเขารับร่างของหวังตงมาก็เพิ่มความแข็งแกร่งให้ทันที วิญญาณจึงแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปเกือบมากกว่าพันเท่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ตอนนี้ยังเพิ่มขึ้นอีกมากกว่าพันเท่า
นี่ไม่ใช่การบวก หากเป็นการคูณ
ทันใดนั้น วิญญาณก็ขยายขึ้นกว่าเดิมมากกว่าล้านเท่า!
ร่างวิญญาณที่ยิ่งใหญ่และบิดเบี้ยวไหลอย่างช้าๆ อยู่ใต้ผิวหนังของลู่เซิ่ง พลังวิญญาณที่ล้ำลึกบริสุทธิ์เหมือนมหาสมุทรนับไม่ถ้วนคิดจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของกายเนื้อ พุ่งออกจากร่างกายมายังโลกภายนอก
ดีที่ลู่เซิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กายเนื้อมากพอ ขณะเดียวกันผิวหนังก็ปรากฏลวดลายสีแดงอ่อน ผนึกพลังวิญญาณที่กระจัดกระจายไว้สุดกำลัง
หลายวินาทีให้หลัง ภายใต้การประสานกับปราณปฐพีของร่างกาย ในที่สุดร่างวิญญาณที่ขยายตัวมากเกินไปก็หดลง กลับมาสอดคล้องกับกายเนื้ออย่างสมบูรณ์
ลู่เซิ่งลืมตาขึ้น ดวงตาพลันสาดแสงสีน้ำเงินเข้ม
“สื่อวิญญาณ!”
ด้านหลังเขาปรากฏดวงตายักษ์ที่สูงถึงสามเมตรกว่าๆ ขึ้นโดยอัตโนมัติ
นั่นคือดวงตาประหลาดสีแดงที่ม่านตามีลวดลายเหมือนเปลวไฟนับไม่ถ้วน
‘พอมาถึงขั้นสิบห้าก็ได้รับความสามารถทางธรรมชาติมาอย่างหนึ่ง’
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงความสามารถทางธรรมชาติที่ได้รับมาแล้ว
แต่เขายังคงมองอินเตอร์เฟซดีปบลูอย่างคุ้นเคย
กรอบของวิชาสื่อวิญญาณในดีปบลูระบุอย่างชัดเจนว่า
[วิชาสื่อวิญญาณพื้นฐาน: ขั้นสิบห้า(สมบูรณ์) (คุณลักษณะพิเศษ: ปลดปล่อยพลังวิญญาณ, ชำระล้างธรรมชาติ)]
‘การปล่อยพลังวิญญาณ ไม่ใช่การถอดวิญญาณออกจากร่างทั้งหมด แต่เป็นการถอดวิญญาณออกไปครึ่งหนึ่ง คือเก็บรักษาพลังวิญญาณพื้นฐานของร่างกายไว้ แล้วปลดปล่อยพลังวิญญาณที่เหลือออกไปด้านนอกทั้งหมดเพื่อสร้างร่างวิญญาณในการช่วยโจมตีศัตรู’
ลู่เซิ่งลองสัมผัสดูก็เข้าใจหลักการทันที
‘ตามหน่วยทั่วไป ปริมาณพลังวิญญาณของผู้ใหญ่คนหนึ่งเท่ากับหนึ่งดูรา อย่างนั้นเราในตอนนี้น่าจะมีสามล้านดูราถึงสามล้านห้าแสนดูราแล้ว’
เขาคำนวณความแข็งแกร่งของวิญญาณในตอนนี้ดู
‘จากบันทึกของสำนักเคลื่อนภูผา และข้อมูลที่เจย์ลาส่งมาจากองค์กรทับทิม มารยักษาใต้การบังคับบัญชาของเทพแห่งการทำลายล้างมีปริมาณพลังวิญญาณเท่าที่เคยประเมินคือราวสี่ล้าน ขีดจำกัดของสุดยอดผู้สื่อวิญญาณทั่วไปคือแสนต้นๆ หากไม่พึ่งพาพลังภายนอก อาวุธภูต และของขลัง เวลาเผชิญกับมารยักษา ละอองน้ำยังไม่ทันกระจายก็คงถูกบดขยี้ตายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…ระดับเงินอย่างหวงย่ามีแค่ไม่กี่พันดูราเท่านั้น…’
ลู่เซิ่งเทียบเคียงในใจ ก่อนจะได้รับนิยามคร่าวๆ
‘แม้แต่มารยักษาก็มีสี่ล้านดูราแล้ว อย่างนั้นเทพแห่งการทำลายล้างมีเท่าไร’ ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก
‘ดูเหมือนเราจะยังแข็งแกร่งไม่พอ…ต้องต่ออีก’
ลู่เซิ่งเพ่งสายตาไปที่วิชาสื่อวิญญาณพื้นฐานอีกครั้ง
แต่กรอบนี้กลายเป็นสีเทาไปแล้ว แสดงให้เห็นว่าไม่อาจยกระดับได้อีก นอกเสียจากจะเรียนรู้
แต่ว่าสำนักเคลื่อนภูผาย่อมไม่ได้ฝึกฝนวิชาสื่อวิญญาณวิชาเดียว
สิ่งที่ลู่เซิ่งต้องฝึกฝนต่อจากนี้ คือวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณ วิชาฝึกฝนพลังวิญญาณที่มีเฉพาะในสำนักเคลื่อนภูผา
วิชาสื่อวิญญาณนี้จะมีผลก็ต่อเมื่อฝึกฝนวิชาสื่อวิญญาณพื้นฐานจบแล้ว
ปกติจะใช้ยกระดับพลังวิญญาณหนึ่งขั้น พร้อมกับค่อยๆ เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของพลังวิญญาณ ทำให้มันใช้วิชาวิญญาณธาตุดินมากมายในสำนักได้ดีกว่าเดิม
อย่างไรสำนักเคลื่อนภูผาก็ใช้วิชาวิญญาณธาตุดินเป็นหลัก
ลู่เซิ่งพลิกหาความทรงจำเกี่ยวกับวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณออกมา สิ่งนี้ล้ำค่ากว่าวิชาสื่อวิญญาณพื้นฐานมาก นี่เป็นรากฐานของสำนักเคลื่อนภูผา แม้ว่าผู้ที่สำเร็จเป็นเทพจุติหลังจากฝึกฝนจะมีแค่จอมอาวุโสคนเดียวก็ตาม
อัตราความสำเร็จน่าเป็นห่วงถึงขีดสุด
แต่กำขี้ดีกว่ากำตด
ไม่ทราบว่ามีองค์กรผู้สื่อวิญญาณกี่แห่งที่วิชาการฝึกฝนไม่มีใครสำเร็จเป็นเทพจุติได้เลย
การมีหรือไม่มีเทพจุติ เป็นความแตกต่างที่สำคัญที่สุดของขุมกำลังขนาดกลางกับขุมกำลังขนาดใหญ่
‘วิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณมีทั้งหมดแปดระดับ ทุกๆ ครั้งที่ฝึกฝนสำเร็จหนึ่งระดับ จะทำให้พลังวิญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลงรอบหนึ่ง ขณะเดียวกันปริมาณพลังวิญาณจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมสองเท่า’
ลู่เซิ่งสัมผัสกายเนื้อ ยังใช้ได้ พื้นฐานเมื่อก่อนหน้านี้แน่นมาก การรับภาระภายใต้การหล่อเลี้ยงของปราณปฐพีไม่มีปัญหา
‘ลองสักสองสามระดับดูก่อนก็แล้วกัน’
……………………………………….