“รู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน” ลู่เซิ่งชี้ไปที่พื้น
สการ์เล็ตงุนงง
“บ้านฉันเองโว้ย!” ลู่เซิ่งมีน้ำโหบ้างแล้ว
เขาตะปบมือใส่คอของสการ์เล็ต
ตูมๆๆ!
พริบตานั้นพลันมีรังสีสีแดงระเบิดขึ้นบนฝ่ามือของลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง
เขายิ่งเข้าใกล้สการ์เล็ตมากเท่าไร การโจมตีกับการกัดกร่อนในฝ่ามือที่เจอก็ยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น
เทพแห่งการทำลายล้างสการ์เล็ตครอบครองชุดป้องกันมารมายาที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
นั่นคือปราการเกราะที่ว่ากันว่าต้านทานการโจมตีด้วยกระสุนนิวเคลียร์ได้ มันมีวงแหวนเวทหลากหลายชนิดมากกว่าหมื่นชั้นซึ่งเชื่อมระบบป้องกันเข้าด้วยกัน
“หือ” พอรู้สึกได้ถึงแรงต้าน ลู่เซิ่งก็ส่งเสียงอย่างฉงน ก่อนเพิ่มพละกำลังขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฝ่ามือของเขาห่างจากคอของสการ์เล็ตแค่ไม่กี่เซนติเมตร แต่ในระยะไม่กี่เซนติเมตรนี้ แสงสีแดงนับไม่ถ้วนระเบิดขึ้นบนมือเขา พลังงานในลักษณะตาข่ายสีแดงดำหลายสายเริ่มปกคลุมมือเขาไว้
ตูมๆๆ!
แรงต้านแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มกลายเป็นลูกบาศก์สีแดงอมดำ ห่อหุ้มทุกส่วนของสการ์เล็ตเอาไว้
มือของลู่เซิ่งกำลังปะทะเข้ากับรูรูหนึ่งบนผิวลูกบาศก์
“อะไรกันเนี่ย ยังมีรูที่ฉันเข้าไปไม่ได้อยู่ด้วยเหรอ” ลู่เซิ่งประหลาดใจ
เวลานี้สการ์เล็ตได้สติกลับมาแล้ว พลันผุดสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อครู่นี้เธอเพียงนึกไม่ถึงว่ามนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งจะมีพละกำลังมหาศาลได้ถึงขนาดนี้ พละกำลังนั้นแข็งแกร่งกว่ามารยักษาที่แข็งแกร่งที่สุดใต้การบังคับบัญชาของเธอด้วยซ้ำ
ความจริงเธอยังไม่ได้รับข่าวที่มารยักษาของตนถูกจับเป็นเชลย ไม่อย่างนั้นเวลานึ้คงจะไม่ประหลาดใจกับพละกำลังของลู่เซิ่งแน่ๆ
“นึกไม่ถึงว่าคนที่แบล็คมิสต์รัก จะเป็นพ่อหนุ่มรูปหล่อที่หายากคนหนึ่ง” เธอยิ้มอย่างหยาดเยิ้มตามความเคยชิน
“น่าเสียดายจริงๆ…อยากมาอยู่กับพี่สาวไหม แบล็คมิสต์ใกล้จะดับสูญอย่างสมบูรณ์แล้ว เจ้าอยู่กับนางไปก็ไม่มีความหวังกับอนาคตอะไรหรอก”
ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้นมองเธอ
“แบล็คมิสต์เป็นใคร”
“หวังจิ้ง หรือก็คือพี่สาวของเจ้าไง” สการ์เล็ตหัวเราะ
ตูม!
แขนของลู่เซิ่งมีเมือกสีดำอมม่วงปกคลุม มันเจาะทะลุรูป้องกันสีแดงไปจับคอของเธอได้พอดี
ตูม!
พละกำลังอันมหาศาลทำให้สการ์เล็ตกระแทกใส่กำแพงของคฤหาสน์ด้านหลังอย่างแรง จนเกิดรอยแตกขึ้นเหมือนใยแมงมุม
สการ์เล็ตที่ไม่ทันตั้งตัวผุดสีหน้าตกตะลึง โดนกดไว้บนกำแพง ดิ้นไม่หลุดอยู่ชั่วขณะ
“เจ้า!” ใบหน้าของเธอแดงก่ำ จากนั้นก็ถลึงตาอ้าปาก คิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าจะพลาดท่าง่ายๆ
ครืน!
เธอพ่นคลื่นอันน่ากลัวที่ไร้รูปร่างออกมาจากปากอย่างบ้าคลั่ง
ลู่เซิ่งกำลังจะเพิ่มแรง อยู่ๆ มือก็คลายออก
พอมองด้านหน้าอีกครั้ง สการ์เล็ตก็ล้มลงไปแล้ว สองตาสูญเสียประกาย ร่างกายหลอมละลายอย่างรวดเร็วเหมือนเทียนไข
พริบตาเดียวก็เหลือแค่โคลนสีแดงไหลนองอยู่บนพื้นเท่านั้น
เปรี้ยง!
เวลานี้หวงย่าเพิ่งพังประตูเข้ามา ก่อนจะเห็นโคลนสีแดงที่กำลังละลายหายไปบนพื้นพอดี
“หุ่นเชิดเลือดหรือ” เธอเหมือนจะรู้จักมัน
“หมายความว่าไง” ลู่เซิ่งมองเธอ
“วิชาแทนตัวระดับสูงสุดชนิดหนึ่ง สามารถเปลี่ยนตำแหน่งกับหุ่นเชิดของตัวเองได้ในเวลาที่สั้นที่สุดเพื่อให้บรรลุผลตายแทน” หวงย่าผุดสีหน้าคร่ำเคร่ง “ยิ่งเป็นผู้ที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่ง ก็จะสับเปลี่ยนร่างในระยะทางที่ไกลมากๆ ได้”
เธอเดินเข้าไปทรุดนั่งมองรอยแตกกลุ่มใหญ่บนผนังอย่างตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็ป้ายโคลนแดงบนพื้นที่ยังไม่สลายขึ้นมาดม
“เป็นวิชาที่มีระดับสูงมาก ฉันไม่เคยเห็นหุ่นเชิดสับตัวที่มีระดับความเข้มข้นของพลังวิญญาณแบบนี้มาก่อน...นี่…นี่มัน…ช่าง”
เธอตื่นตระหนกถึงขีดสุด
“ช่างเถอะ ไม่เป็นไรแล้ว หาคนมาจัดการผนังให้ฉันที นอกจากนี้…” ลู่เซิ่งยังคิดจะถามอะไรอีก
อยู่ๆ ประตูห้องก็ถูกกระแทกเปิดอีกครั้ง
เงาสีขาวสายหนึ่งกระโจนเข้าใส่อ้อมอกของเขา
“ตงตง…!”
เดิมลู่เซิ่งกำลังจะง้างเท้าถีบ พอได้ยินเสียงและได้กลิ่นที่คุ้นเคย ร่างกายก็ผ่อนคลายลง
เขาชักแขนกลับ กอดหวังจิ้งเอาไว้ในทรวงอกอย่างแนบแน่น
เดินทางผ่านมาหลายโลก ตอนแรกเขารู้สึกว่าคงหาภรรยาไม่ได้อีกแล้ว
ยังดีที่ตอนนี้ได้เจอพี่สาวผู้เป็นเทพแห่งการทำลายล้างที่เป็นอมตะ หลังจากรู้ว่าหวังจิ้งเป็นเทพแห่งการทำลายล้าง ลู่เซิ่งก็รู้ว่า
เธอจะต้องทนไหวแน่
“ไม่เป็นไรใช่ไหม ผมกำลังจะไปหาพี่อยู่เลย!” ลู่เซิ่งรีบแสดงความเป็นห่วงเป็นใย
“ไม่เป็นไร…แค่ เหนื่อยนิดหน่อย” หวังจิ้งโอบกอดลู่เซิ่งเอาไว้
“เหนื่อยไม่เป็นไร พักผ่อนหน่อยก็ดีขึ้นเอง” ลู่เซิ่งอุ้มหวังจิ้งพร้อมกับขยิบตาให้หวงย่าที่อยู่ใกล้ๆ
ฝ่ายหลังเข้าใจ ถือหอกยาวเดินออกไปอย่างหมดคำพูด
ลู่เซิ่งอุ้มหวังจิ้งไปวางไว้บนเตียงที่ชำรุดในห้องนอนอย่างแผ่วเบา
“เธอ กลัวไหม” พอหวังจิ้งเข้ามา ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่ของสการ์เล็ตได้ทันที เมื่อเห็นท่าทางของลู่เซิ่งก็เดาออกว่าเขาอาจจะรู้ความจริงบางส่วนแล้ว
“กลัวอะไร” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
“ผู้หญิง…คนเมื่อกี้…” จิตใจของหวังจิ้งมีปัญหามาเป็นเวลานาน จึงชินกับการพูดจากระท่อนกระแท่น
“ผู้หญิงคนนั้นเหรอ”
หวังจิ้งพยักหน้าน้อยๆ
เธอไม่รู้ว่าทำไมสการ์เล็ตถึงไม่จับตัวลู่เซิ่งไว้ แต่อีกฝ่ายเจอจุดอ่อนของเธอแล้ว และในเมื่อมีครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งที่สอง ครั้งที่สามตามมา
ลู่เซิ่งลูบคาง
“เธอกับผมไม่ได้พูดอะไรกันมาก จะว่าไปก็สวยอยู่นะ แต่เนื้อเยอะไปนิดหน่อย…พี่ถามว่ากลัวไหมเหรอ ผมไม่ได้รู้สึกอะไร”
“สวยหรือ”
หวังจิ้งมีสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงแต่อยู่ๆ ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องห่วง…อีกไม่นานนางก็จะตายแล้ว”
“เอ่อ…ทำไมเหรอครับ พี่กับเธอมีความแค้นกันเหรอ” ลู่เซิ่งถามอย่างแปลกใจ
“…” หวังจิ้งส่ายหน้าไม่พูดอะไรอีก
หลังจากลู่เซิ่งพักผ่อนเป็นเพื่อนเธอสักพัก ก็ลุกออกมาจากห้อง
หวงย่ากับคนของสำนักเคลื่อนภูผายังรออยู่ด้านนอก
“เป็นยังไงบ้างศิษย์น้อง” หวงย่าเข้ามาถาม
“ยังดี ไม่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนที่บีบคั้นให้พี่สาวของฉันเหนื่อยได้ขนาดนี้เป็นใคร” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
“พวกเราจะพยายามตรวจสอบเบาะแสให้เจอโดยเร็วที่สุด” ผู้จัดการเรื่องราวของสำนักเคลื่อนภูผาที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงขรึม
“ไม่เป็นไร ความจริงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกคุณ” หลังจากทราบว่าพี่สาวเป็นเทพแห่งการทำลายล้าง ลู่เซิ่งก็สงสัยว่าสำนักเคลื่อนภูผาจะช่วยอะไรได้หรือไม่
“ในเมื่อไม่เป็นไร อย่างนั้นพวกเราไม่รบกวนแล้ว นายพักผ่อนกับพี่สาวนายเถอะ” ลู่เซิ่งกะพริบตา
“อย่าลืมป้องกันด้วยล่ะ” ประโยคสุดท้ายทำให้สีหน้าลู่เซิ่งพิกลเล็กน้อย
เขาทราบว่าหวังจิ้งในตอนนี้ยังทนร่างหลักของเขาไม่ได้ แต่เธอมีศักยภาพนี้
เทพแห่งการทำลายล้างคล้ายจะมีความเกี่ยวข้องกับพลังแห่งความรกร้างโดยธรรมชาติ พลังชนิดนี้มีระดับชั้นสูงสุดขีด ต่อให้อยู่ในโลกที่น่ากลัวอย่างโลกบรรพกาลที่มีเทพกับพระพุทธเจ้าเดินอยู่เต็มไปหนด และมีผู้วิเศษเป็นผู้ควบคุมฟ้าดินแล้ว พลังแห่งความรกร้างก็เป็นพลังระดับสูงสุดของโลกเช่นเดียวกัน
“พอแล้วๆ รีบกลับไปเถอะ” ลู่เซิ่งโบกมือไล่คน
หลังจากพวกหวงย่าจากไป เขาก็เดินพล่านอยู่ในห้องรับแขก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่ง
ทางปลายสายมีเสียงดังตู้ดๆ สองครั้ง ก่อนจะถูกรับอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน มีคำสั่งอะไรหรือคะ” เสียงของเจย์ลาดังมาจากปลายสาย
“เตรียมตัวพร้อมหรือยัง” ลู่เซิ่งย้อนถาม
“…ตอนนี้ฉันยืนอยู่หน้าประตูห้องสมุดของคุณตา ถ้าสำเร็จ ฉันจะโทรศัพท์หาท่าน ถ้าล้มเหลว…” เจย์ลาไม่พูดอะไรอีก สาวกเทพนอกรีตหลังถูกฝังกาฝากจะมีความแน่วแน่เต็มเปี่ยม
ในหมู่สาวกผู้งมงายยังมีพวกหลบหนี แต่สาวกเททพนอกรีตไม่อาจทรยศได้
“เธอทำสำเร็จแน่” ลู่เซิ่งดูเวลาแล้ววางสาย
นอกจากมารมายาระดับสูงที่ต้านทานความแข็งแกร่งของพลังเทพนอกรีตได้ มารมายาที่เหลือและคนธรรมดาไม่มีใครป้องกันการกัดกร่อนสองชั้นที่มาจากร่างกายและจิตใจได้
ลู่เซิ่งวางโทรศัพท์แล้วหลับตาสัมผัสดู
“แอนดี้” เขาส่งเสียงเรียก เหมือนคุยกับอากาศ
ซู่…
หมอกดำกลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นด้านหน้าเขา แล้วกลายเป็นมนุษย์หมอกดำอย่างรวดเร็ว
เป็นมนุษย์หมอกดำที่เขาได้ช่วยเหลือเอาไว้นั่นเอง
“ฝ่าบาท ท่านต้องการถามอะไร”
แอนดี้มีหน้าที่ตอบคำถามทั่วไปให้กับลู่เซิ่งโดยเฉพาะ เวลานี้แม้จะถูกอัญเชิญออกมา แต่ในใจกลับไม่มีความสุขแม้แต่น้อย
เขาไม่อยากจะสนทนากับพวกชอบความรุนแรงอย่างลู่เซิ่ง
“เล่าข้อมูลเกี่ยวกับเทพแห่งการทำลายล้างให้ฟังหน่อย” ลู่เซิ่งว่า
“เรื่องนี้ไม่ยาก”
แอนดี้ดีดนิ้ว พลันมีหมอกดำสายหนึ่งพรั่งพรูออกจากฝ่ามือก่อนจะกลายเป็นกรอบภาพขนาดใหญ่ที่สูงหนึ่งเมตรกว่าๆ อย่างรวดเร็ว
ในกรอบภาพแขวนภาพน้ำมันสีรุ้งอยู่ภาพหนึ่ง
เงาคนที่มีสีแตกต่างกันสามคนปรากฏออกมาบนภาพน้ำมัน
ลู่เซิ่งมองหญิงงามที่สวมหมวกกลมสีดำ ใส่กระโปรงดำและคลุมเสื้อคลุมสีดำเป็นอันดับแรก
หน้าตาและบุคลิกของคนคนนั้นคล้ายหวังจิ้งเป็นอย่างมาก
อีกสองคน คนหนึ่งเป็นชายผมทองที่ทั่วร่างเป็นสีทองคำขาว แต่งตัวฉูดฉาด
ยังมีผู้หญิงผมสีเงินที่เขาได้เจอเมื่อครู่
“นี่คือรูปสามเทพ” แอนดี้แนะนำ
“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นานมาแล้ว เทพแห่งการทำลายล้างเป็นผู้ชมความรุ่งเรืองเสื่อมโทรมของอารยธรรมมนุษย์มาโดยตลอด”
“เทพแห่งการทำลายล้างครอบครองปริศนาของชีวิตอมตะ และคนที่ตามหาชีวิตอมตะนับไม่ถ้วนก็ดาหน้ากันมาไม่ขาดสาย พอเทพเจ้าองค์ใหม่คลั่งเพราะความเดียวดาย ก็จะมีผู้รับช่วงต่อ เทพแห่งการทำลายล้างจึงค่อยๆ เหลือแค่เทพเจ้าระดับสูงสุดสามองค์ภายใต้การคัดเลือกของกาลเวลา”
แอนดี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพ
“นามของทั้งสามท่านนี้คือ แบล็คมิสต์ แพลทินัม และสการ์เล็ต ราชาเทพที่พวกเราติดตามคือแบล็คมิสต์ ซึ่งมีขุมกำลังใต้สังกัดชื่อภัยพิบัติแห่งผลกรรม”
“ภัยพิบัติแห่งผลกรรมหรือ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างแปลกใจ “ชื่อนี้ยิ่งใหญ่เกินไปหน่อยมั้ง”
“ไม่ขอรับ…ไม่ได้ยิ่งใหญ่เกินไปเลย” แอนดี้ส่ายหน้า “ความจริงเหล่าเทพแห่งการทำลายล้างเป็นจุดจบของทุกผลกรรม ส่วนแบล็คมิสต์หรือนายท่าน ก็อยู่ที่ปลายสุดของวิถีผลกรรม เป็นร่างจุติแห่งจุดจบของสรรพสิ่ง”
“โลกของเทพแห่งการทำลายล้างเป็นต้นกำเนิดของพวกนายท่าน หากโลกแห่งเทพไม่ถูกทำลาย นายท่านก็ไม่มีวันตาย”
“แล้วเมื่อก่อนหน้านี้เทพแห่งการทำลายล้างตายได้อย่างไร” ลู่เซิ่งถามประเด็นสำคัญของคำถาม
ในเมื่อบอกว่าไม่มีวันตาย อย่างนั้นเทพแห่งการทำลายล้างจำนวนมากเหลือแค่สามคนได้อย่างไร
“ถูกกินขอรับ” น้ำเสียงของแอนดี้แผ่วทุ้มกว่าเดิม “พลังของเทพแห่งการทำลายล้างมีแต่พวกเดียวกันเท่านั้นถึงจะกินได้ และผู้ที่ถูกกินก็จะดับสูญและหายไปอย่างสมบูรณ์ มีแต่ร่างจริงของเทพแห่งการทำลายล้างเท่านั้นถึงจะฆ่าเทพแห่งการทำลายล้างด้วยกันได้”
ลู่เซิ่งพยักหน้าน้อยๆ ถ้าเทพแห่งการทำลายล้างใช้พลังแห่งความรกร้างเป็นแกนหลักจริงๆ อย่างนั้นก็น่าจะมีเรื่องแบบนี้
พลังแห่งความรกร้างมาจากพลังแห่งความว่างเปล่า ตามที่หงจวินบอก นี่เป็นพลังที่มิติรองของจักรวาลนับไม่ถ้วนทำลายทิ้งไม่ได้
มันคืออีกขั้วของการดำรงอยู่ จึงกลายเป็นสมดุลกับวัตถุที่ดำรงอยู่โดยธรรมชาติ
ดังนั้นนอกจากพลังจากแหล่งเดียวกัน สิ่งอื่นๆ เกรงว่าจะได้แต่ถูกถือเป็นอาหารของพวกมันเท่านั้น
ลู่เซิ่งย้อนนึกถึงพริบตาที่ได้สัมผัสกับสการ์เล็ตเมื่อก่อนหน้านี้
“คำถามสุดท้าย” เขามองไปยังด้านบนสุดของภาพน้ำมัน
“นั่นคืออะไร” เขาชี้วัตถุทรงกลมสีเงินก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของสามเทพ
ของสิ่งนั้นคือดวงตาแห่งความเลวทรามที่เขาเฝ้าตามหามานาน ไม่ใช่แค่สีกับรูปร่างเท่านั้น แม้แต่ลวดลายก็เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
……………………………………….