หลังจากนักบินเข้าใจก็ไม่พูดอะไรมากอีก ยกระดับความสูงขึ้น แล้วหันหัวเฮลิคอปเตอร์บินไปยังที่ไกล
พวกเบนกับแจ๊คที่โบกมืออย่างบ้าคลั่งถูกทิ้งไว้อยู่ด้านล่าง
“จะทิ้งพวกเขาไปเฉยๆ แบบนี้เหรอครับ” นักบินอดไม่ไหว
ลู่เซิ่งละสายตากลับมา
“ที่นี่คือเทือกเขาอันมีร์ ในเมื่อกล้าเข้ามา ก็ต้องกล้ารับผลที่ตัวเองก่อขึ้นด้วย”
เขายื่นมือไปทาบหน้าผากเจย์ลา เพื่อสัมผัสอาการบาดเจ็บของร่างเธออย่างละเอียด
จากนั้นสองสามวินาที สองมือของเขาก็เริ่มจิ้มลงบนร่างเจย์ลาเหมือนกับหยดฝน ผิวหนังและกล้ามเนื้อที่มีบาดแผลหลายแห่งหดตัวด้วยความเร็วสูง เลือดเริ่มไหลน้อยลงตามไปด้วย
เขาทาบมือกับทรวงอกของเจย์ลา ปราณปฐพีหลายสายซึมเข้าไปสู่หัวใจเจย์ลาโดยตรง
ปราณปฐพีอันน้อยนิดนี้มีไม่ถึงหนึ่งในร้อยๆ ล้านของเขา แต่สำหรับคนธรรมดาที่มีความแข็งแกร่งทางร่างกายทั่วไปแล้ว
นี่เทียบเท่ากับยาบำรุงเลือดที่มีพลังงานมหาศาลถึงขีดสุด
หัวใจของเจย์ลาที่เมื่อครู่ใกล้จะหยุดเต้น พลันเต้นด้วยคามเร็วสูงเหมือนติดเครื่องยนต์เล็กๆ เพิ่มเข้าไป
สารอาหารกับไขมันมากมายกลายเป็นเลือดสดใหม่ในร่างกายที่กระบวนการเผาผลาญพลังงานเร่งเร็วขึ้นด้วยความเร็วสูง พร้อมกับหล่อเลี้ยงร่างกายทั้งหมด
ใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาที อาการบาดเจ็บของเจย์ลาก็ทรงตัว
หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ลู่เซิ่งก็ทิ่มนิ้วชี้เข้าปากของเจย์ลาอย่างระมัดระวัง
ของบางอย่างที่มีสีแดงอมม่วงเหมือนเลือดไหลซึมออกมาจากปลายนิ้วชี้
ของสิ่งนั้นเพิ่งจะปรากฏ ก็จับตัวกลายเป็นหนวดสีแดงอมม่วงที่เหมือนกับหนวดปลาหมึกเส้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว แล้วมุดเข้าช่องปากไปในลำคอของเจย์ลา
‘ถึงเวลาสร้างขุมกำลังของตัวเราเองแล้ว’ ลู่เซิ่งชักนิ้วกลับอย่างพอใจ
หนวดหมายถึงการขยับขยายพลังของโลกเทพนอกรีต พลังชนิดนี้จะค่อยๆ ลบความคิดปัจเจกของสิ่งมีชีวิต แล้วปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นสาวกผู้ที่คลั่งไคล้ในตัวเขา บูชาเขา และจงรักภักดีต่อเขา
นี่ไม่ใช่การแก้แค้นที่ผู้หญิงคนนี้พูดหยามเขา เขาลู่เซิ่งไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่แล้ว
จากนั้นลู่เซิ่งก็หันไปมองมารยักษาที่อยู่ด้านข้าง
เขาแทงนิ้วชี้ใส่ทรวงอกของมารยักษาดังฉึก
มารยักษาที่ถูกดึงลิ้นขาดแค่นเสียงอย่างเจ็บปวด ก่อนจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างหรือสิ่งมีชีวิตบางอย่างมุดเข้าหัวใจของตัวเองอย่างรวดเร็ว
มันเบิกตาโตพร้อมกับดิ้นรนอย่างรุนแรงกว่าเดิม
แต่ว่าร่างกายที่ข้อต่อกับเส้นเอ็นถูกตัดขาดไม่อาจเคลื่อนไหวอะไรได้มากมาย
มันควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ตอนนี้เป็นเวลาพิสูจน์ผลลัพธ์แล้ว” ลู่เซิ่งนั่งลงบนที่นั่งอย่างพอใจและรอคอยผลลัพธ์เงียบๆ
ใบพัดของเฮลิคอปเตอร์หมุนพามันบินไปยังรอบนอกเทือกเขาอันมีร์ด้วยความเร็วสูง
สุดท้ายนักบินก็ติดต่อกับทีมค้นหาและช่วยชีวิต ให้พวกเขาพาพวกแจ๊คที่เดินทางมาถึงรอบนอกแล้วพาออกไป
ลู่เซิ่งไม่ได้ห้ามปราม
แม้สามคนนั้นจะแอบขโมยเอาผลไม้ของเขาไป แต่โทษไม่ถึงตาย ที่เขาไม่ช่วยก็เพราะไม่มีหน้าที่ต้องช่วยใครเท่านั้น
พอจัดการทุกอย่างเสร็จ ลู่เซิ่งก็นั่งงีบหลับบนที่นั่ง
“เราใช้พละกำลังทางกายเนื้อสะกดมารยักษาได้ แต่ถ้าเผชิญกับเทพแห่งการทำลายล้าง พละกำลังนี้ไม่แน่ว่าจะยึดครองความได้เปรียบได้”
ลู่เซิ่งเดาว่า เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่เทพแห่งการทำลายล้างจะเกี่ยวข้องกับพลังงาน ไม่แน่ว่าจะเหมือนกับมารยักษาที่อยู่ในสายกายภาพล้วนๆ
วิชาวิญญาณสีชาดของเขาในตอนนี้มีผลแข็งแกร่งถึงขีดสุดในด้านการเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อ แต่ใช้ไม่ได้ในด้านพลังงาน
‘เห็นได้ชัดว่าพลังแห่งความรกร้างบนตัวมารมายาของที่นี่เข้มข้นกว่ามารมายาที่เราเคยเจอ โดยเฉพาะมารยักษาตัวนี้’ ลู่เซิ่งมองมารยักษา
เขาสัมผัสได้ว่า หนวดของตนกำลังเข่นฆ่ากับพลังแห่งความรกร้างของมารยักษาอยู่ในหัวใจของมันอย่างสุดกำลัง
หนวดของเขาไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ก่อนหน้านี้ตอนเผชิญกับพลังหรือสิ่งมีชีวิตใดๆ หนวดเทพนอกรีตสามารถเจาะทะลุและฝังกาฝากไว้ได้อย่างง่ายดาย
แต่สถานการณ์อย่างในตอนนี้เพิ่งเจอเป็นครั้งแรก
‘พลังแห่งความรกร้าง…’ ลู่เซิ่งสัมผัสพลังงานชนิดนี้อย่างละเอียด
ของสิ่งนี้เป็นความว่างเปล่ากลุ่มหนึ่งเหมือนโพรงถ้ำโพรงหนึ่ง
พึงทราบว่า ต่อให้อยู่ในความว่างเปล่า ก็ยังมีอนุภาคเบาบางมากมาย รังสีหลายชนิด และแม้แต่ยังมีมิติอยู่ด้วย ถือเป็นการดำรงอยู่ชนิดหนึ่ง
แต่ของสิ่งนี้เหมือนกับหลุมในโลกความเป็นจริงที่คอยกลืนกินทุกอย่างรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นพลังงานธรรมดา หรือเป็นกายเนื้อของมารยักษาตนอื่นๆ
ลู่เซิ่งสังเกตอย่างละเอียด ก่อนจะค้นพบว่าโครงสร้างของมารยักษาตัวนี้ใช้พลังกลืนกินกับพลังเหนี่ยวนำต่อโลกภายนอกจากพลังแห่งความรกร้าง มาเป็นพลังงานเพื่อสร้างเครื่องยนต์ที่เหมือนกับเครื่องจักรนิรันดร์ขึ้นมา
พลังชีวิตของมารยักษามาจากพลังเหนี่ยวนำชนิดนี้เหมือนกับไฟฟ้าพลังน้ำ
“ดูเหมือนจะเป็นฝีมือของโลกใบนี้ มันห่อหุ้มพลังแห่งความรกร้างเอาไว้โดยสัญชาติญาณ ใช้วิธีการนี้ลดความเร็วในการกัดกร่อนของพลังแห่งความรกร้าง พร้อมกับเปลี่ยนพลังกลืนกินและเหนี่ยวนำให้กลายเป็นพลังงานหลากหลายชนิด”
ลู่เซิ่งฉุกใจนึกได้
เฮลิคอปเตอร์บินไปถึงท่าเรืออย่างรวดเร็ว ที่ท่าเรือมีเรือส่วนตัวที่รอมานานแล้วจอดเทียบอยู่
ศิษย์จากกิจการรอบนอกหลายคนของสำนักเคลื่อนภูผาพากันเข้ามาคำนับ แล้วช่วยลู่เซิ่งวางมารยักษากับเจย์ลาลง
“ไปสนามบินทันที” ลู่เซิ่งสั่ง
“ไม่ต้องห่วง” ผู้รับผิดชอบการจัดการเป็นชายวัยกลางคนเคราเฟิ้ม เขาตบอกและกล่าวเสียงดัง “ฉันฮัคเฒ่าเดินเรือมาหลายปีแล้ว ครั้งนี้ต้องเป็นครั้งที่เร็วที่สุดแน่นอน”
ลู่เซิ่งไม่ได้พูดอะไรกับเขามาก หลังจากหาที่อยู่ให้กับมารยักษาและเจย์ลาแล้ว เขาก็มองไปยังมินเคอทันที คนธรรมดามองไม่เห็นมนุษย์หมอกดำเหล่านี้
“ทางพี่สาวฉันเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรขอรับ เหมือนเทพแห่งการทำลายล้างจะยังไม่คิดพลิกหน้ากับนายท่าน ตอนนี้ทุกอย่างปกติดี เพียงแต่…” มินเคอลังเลเล็กน้อย
“เพียงแต่อะไร”
“เพียงแต่พวกเขาลงสัญลักษณ์ลับที่เป็นตราไล่ล่าไว้บนตัวนายท่านแล้วขอรับ” มินเคอตอบเสียงทุ้มต่ำ
ลู่เซิ่งหรี่ตา สัมผัสได้ว่าหนวดบนตัวมารยักษาถูกพลังแห่งการทำลายล้าง ทำลายได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
เขามองไปยังกราบเรือพลางมองดูผิวน้ำที่กระเพื่อมเป็นระลอกอยู่ด้านนอก
“ขอแค่ไม่ลงมือก็ยังทัน”
มินเคอทำท่าอ้ำอึ้ง แต่กลับไม่ทราบจะพูดอะไรดี
ระหว่างทางขากลับไม่มีความวุ่นวายใดๆ
เช้าตรู่วันต่อมา เครื่องบินส่วนตัวที่ลู่เซิ่งโดยสารก็ลงจอด กลับมาถึงสาธารณรัฐหลันเก๋อหลั่งรื่อ
พอลงจากเครื่องบิน ลู่เซิ่งก็โดยสารรถส่วนตัวของสำนักเคลื่อนภูผากลับคฤหาสน์ทันที
หวงย่าได้รับข่าวเป็นคนแรก จึงโทรศัพท์ไต่ถามสถานการณ์กับเขา แล้วทราบว่าลู่เซิ่งต้องการกลับบ้านโดยเร็วที่สุด เธอรู้ว่าคนอย่างลู่เซิ่งถ้าไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องใหญ่ ไม่มีทางรีบร้อนแบบนี้แน่
ดังนั้นเธอจึงเดินทางออกจากสำนักเคลื่อนภูผา ก่อนจะมาเจอกับลู่เซิ่งที่ประตูคฤหาสน์พอดี
ลู่เซิ่งลงจากรถ เงยหน้ามองหน้าต่างของตัวคฤหาสน์
กลิ่นอายด้านในทำให้เขารู้สึกผิดปกติเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” หวงย่าลงรถมาจากฝั่งตรงข้าม ผุดสีหน้าเคร่งขรึม
“ขึ้นไปก่อนค่อยว่ากัน” ลู่เซิ่งหยิบกุญแจเดินเข้าไปในชุมชนเขตเล็กๆ จากนั้นก็วิ่งไปถึงตำแหน่งที่เป็นคฤหาสน์ของตัวเองพร้อมกับเปิดประตูใหญ่
ด้านในว่างเปล่าไม่มีร่องรอยผู้คน พื้นห้องรับแขกเหลือรอยลากอะไรบางอย่างไว้
“พี่สาว” ลู่เซิ่งตะโกนเรียก
ไม่มีการตอบรับ
“พี่สาวครับ!?”
เขาตะโกนเรียกอีกครั้ง
ภายในคฤหาสน์ทั้งสองชั้นไม่มีการตอบกลับใดๆ
หวงย่าอยู่ด้านข้างลู่เซิ่ง มือดึงหอกสีเงินออกมาอย่างระมัดระวัง ก่อนจับปลายหอกไปสะพายไว้ด้านหลังในลักษณะคว่ำลง
“ไม่มีร่องรอยการต่อสู้” เธอมองลู่เซิ่งที่ผุดสีหน้าอึมครึม
ก่อนหน้านี้เธอได้ยินมาว่าหวังตงกับพี่สาวสนิทกันมาก ทั้งสองมีความสัมพันธ์เหนือธรรมดา ดูจากตอนนี้น่าจะเป็นเรื่องจริง
“ที่นี่ให้ฉันจัดการคนเดียวก็พอ รบกวนพวกเธอไปพักผ่อนข้างนอกก่อน อีกเดี๋ยวฉันจะออกไป” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงทุ้ม
“ได้ ถ้าต้องการความช่วยเหลือ นายรีบบอกทันทีนะ” หวงย่าพยักหน้า พร้อมกับถือหอกเดินออกจากประตูใหญ่
ด้านนอกประตูมีคนของสำนักเคลื่อนภูผาสิบกว่าคนที่รออยู่นานแล้ว
ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้าเดินขึ้นบันไดชั้นสองพร้อมกับประตูคฤหาสน์ที่ปิดลง
เขาหยุดยืนที่ด้านหน้าห้องนอนของหวังจิ้ง ก่อนจะยื่นมือไปผลักเบาๆ
ด้านในว่างเปล่าไม่มีคน มีแต่จดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ บนจดหมายเหมือนจะมีข้อความสีดำ
ลู่เซิ่งเดินไปดูพร้อมกับหยิบจดหมายขึ้นมา
“มีธุระชั่วคราว ไม่ต้องตามหาไม่ต้องเป็นห่วง–พี่หวังจิ้ง “
“มินเคอ” ลู่เซิ่งหันไปเรียกบนอากาศ
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือ เวลานี้มนุษย์หมอกดำที่แอบติดตามอยู่ด้านหลังเขามาโดยตลอดไร้การตอบกลับ
“มินเคอ!?” ลู่เซิ่งเรียกอีกครั้ง
ยังคงไม่มีการตอบรับ
ลู่เซิ่งสีหน้าอึมครึมขึ้นเรื่อยๆ เขาเดาออกแล้วว่าทำไมหวังจิ้งถึงไม่อยู่ ถ้าเธอเป็นเทพแห่งการทำลายล้างจริงๆ อย่างนั้นผลลัพธ์จากการต่อสู้กันระหว่างเทพแห่งการทำลายล้างก็คงจะรุนแรงกว่าที่เขาจินตนาการไว้
อย่างไรเขาก็เคยเอาชนะมารยักษาต่อหน้าพวกมินเคอมาก่อน
ถ้าหวังจิ้งไม่รู้เรื่องนี้ก็ยังดี แต่ถ้ารู้แล้วยังเลือกจะไปที่อื่นล่ะก็…
ลู่เซิ่งนึกเป็นห่วงขึ้นเล็กน้อย
แม้จะอยู่กับหวังจิ้งได้ไม่นาน แต่ความรู้สึกนั้นทำให้เขาหวั่นไหวยิ่งกว่าตอนอยู่กับเฉินอวิ๋นซีเสียอีก
นี่เป็นผู้หญิงคนที่สองที่ทำให้เขาจิตใจสั่นไหว
“ไสหัวออกมา!” สายตาลู่เซิ่งเฉียบขาดขึ้นเล็กน้อยขณะกวาดตามองไปรอบๆ
“ตอนนี้ เดี๋ยวนี้!”
เงียบสงัด
ในตอนที่ลู่เซิ่งฉุนเฉียวยิ่งขึ้น หมอกดำกลุ่มหนึ่งก็รวมตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นด้านหน้าเขาด้วยความเร็วสูง
“ฝ่าบาท นายท่านไม่ได้จากไปไหน ความจริงเป็นเพราะเทพแห่งการทำลายล้างมีพลังทำลายแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นปกติจะไม่สู้กันในโลกเดิม แต่พวกท่านจะสู้กันในโลกเทพแห่งการทำลายล้าง”
“โลกของเทพแห่งการทำลายล้างหรือ” ลู่เซิ่งนิ่วหน้าน้อยๆ
“ถูกต้อง นั่นเป็นโลกอันแข็งแกร่งที่มีแต่เทพแห่งการทำลายล้างเท่านั้นถึงมีสิทธิ์เข้าไปได้ ด้านในเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างที่ไร้สิ้นสุด นอกจากเทพแห่งการทำลายล้างแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่ดำรงอยู่ในนั้นได้อีก” มนุษย์หมอกดำเอ่ยอย่างรวดเร็ว
“ดังนั้นสิ่งเดียวที่พวกเราทำได้ในตอนนี้ก็คือการรอ รอนายท่านหลุดจากโลกของเทพแห่งการทำลายล้างเอง ถึงเวลานั้นจะเป็นการต่อสู้ของพวกเรา”
“นอกจากจะกลายเป็นเทพแห่งการทำลายล้างแล้ว ยังมีวิธีไหนที่เข้าไปได้อีก” ลู่เซิ่งซัก
“ไม่มีขอรับ ที่นั่นเป็นมิติอีกแห่งที่แยกตัวออกเป็นโลก วิธีเข้าไปมีแค่เทพแห่งการทำลายล้างเท่านั้นที่รู้ พวกเราเองก็ไม่ทราบเช่นกัน” มนุษย์หมอกดำรีบตอบ
ดวงตาของลู่เซิ่งทอแววเกรี้ยวกราด
‘บังคับข้าอีกแล้ว ข้าไม่อยากจะเสียพลังอาวรณ์อีกแล้วนะ’
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนนอกจากการยกระดับวิชาวิญญาณอย่างรวดเร็วเพื่อกลายเป็นเทพแห่งการทำลายล้างแล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่นอีก
ดูเหมือนจะต้องไปโพรงหมื่นวิญญาณสักครั้ง…
เพิ่งจะไตร่ตรองเสร็จ จุดแสงสีดำกลุ่มหนึ่งก็ระเบิดขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่งอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น จากนั้นมันก็ขยายกลายเป็นวังวนด้วยความเร็วสูง แล้วมีแขนของผู้หญิงที่ขาวบริสุทธิ์และบอบบางข้างหนึ่งยื่นออกมา
……………………………………….