“อายดี้…ฉันชอบชื่อนี้นะ” ลู่เซิ่งถูมือสองข้างที่เปื้อนเข้ากับเปลือกไม้ที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นก็เดินเข้าหามารยักษาอายดี้ที่มีหัวเป็นกระทิงตัวเป็นมนุษย์ซึ่งหันหลังให้เขา
“หือ? เมื่อครู่นี้เจ้าเป็นคนตะโกนหรือ” มารยักษาค่อยๆ หันหน้ามามองลู่เซิ่งที่เดินเข้ามาด้านหลัง
“แกเดาดูสิ” ลู่เซิ่งยิ้ม
เคร้ง!
เขายกมือขึ้นกันขวานด้ามสั้นที่มนุษย์หัวกระทิงจามลงมาจากทางซ้ายมือ
ส่วนฝ่ามืออีกข้างตบใส่ด้านข้างหัวขวานเบาๆ
หัวขวานเหมือนกับถูกบีบแบนไปอย่างไร้สุ้มไร้เสียง
ลู่เซิ่งคลายสองมือออก แล้วเตะขาขวาใส่ขาของมารยักษาดุจสายฟ้าแลบ
ครืน!
ขณะที่สองขาของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน กางเกงบนขาก็พลันกลายเป็นชิ้นส่วนกระจัดกระจาย
เปรี้ยงๆๆ!
พลังงานอันน่ากลัวปะทะกันครั้งแล้วครั้งเล่า ลู่เซิ่งถึงกับตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ โดนกระแทกถอยหลังติดต่อกัน
พื้นด้านหลังเขาถูกพละกำลังยิ่งใหญ่กระแทกเป็นหลุมดินขนาดต่างๆ
พละกำลังถูกลู่เซิ่งเหนี่ยวนำไปถึงข้างใต้พื้นเพื่อให้พื้นดินรองรับการสั่นสะเทือนแทน
แต่เมื่อเป็นแบบนี้ พื้นข้างใต้เขาจึงโดนลูกหลงไปด้วย
พลังกระแทกมากมายเหมือนระเบิด กระแทกกรวดหินดินทรายข้างใต้เท้าเขาจนแหลก
ตูม!
พละกำลังในการระเบิดครั้งสุดท้ายของมารยักษาเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าในพริบตา
ลู่เซิ่งกันสองแขนไว้ด้านหน้า ก่อนจะถูกพละกำลังอันมหาศาลถีบกระเด็นออกไป ทะลุเข้าไปในผาหินด้านหลัง กลายเป็นโพรงหินขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่
“เจ้าโง่!” มารยักษาอายดี้แค่นเสียงหัวเราะ มันที่อยู่มานานเพิ่งจะเคยเห็นคนกล้าวัดกำลังกับมารยักษาเป็นครั้งแรก
มันโยนขวานทิ้ง แล้วหมุนตัวมองไปยังมินเคอ
“ตอนนี้ถึงคราวพวกแกแล้ว”
เปรี้ยง
ร่างมันงอเป็นกุ้ง เอวถูกพละกำลังยิ่งใหญ่เหมือนกับกระสุนปืนใหญ่กระแทกเข้า แล้วกระเด้งไปกับพื้นหลายครั้ง หลังจากสร้างหลุมใหญ่ห้าหกเมตรขึ้นมาแล้ว ก็ไปนอนแผ่อยู่ในกองหิน
ในตำแหน่งเดิมของมัน ลู่เซิ่งที่ร่างกายใหญ่กว่าเมื่อครู่หนึ่งเท่าตัว สูงเกือบสามเมตร พ่นไอร้อนออกมาจากจมูก ก่อนจะค่อยๆ ชักเข่ากลับ
เขาสวมเกราะพลังวิญญาณสีดำสนิทไว้ทั่วร่าง พลังวิญญาณมากมายในป่าเริ่มรวมตัวกันบนผิวหนังของเขาโดยอัตโนมัติ
“สงครามเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น” ลู่เซิ่งอ้าปาก พร้อมกับพุ่งเข้าใส่มารยักษาที่อยู่ในกองหินไกลออกไป
“ตายเสียเถอะ! มรรคายุทธ์ทำลายล้างในพริบตา!” เขาตั้งฝ่ามือขวาดุจดาบ ส่งการสั่นไหวน้อยๆ วาดเป็นเส้นโค้งประหลาดสายหนึ่งกลางอากาศ ก่อนจะพุ่งโดนร่างมารยักษาในกองหินอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
มารยักษาอายดี้เพิ่งจะสั่นหน้าลุกขึ้น ยังไม่ทันได้สติ
พอสัมผัสความผิดปกติได้ มันก็เบิกตาโตและยกสองแขนขึ้นกันไว้ด้านหน้าด้วยความเร็วสูง
เปรี้ยง!
พลังทะลุทะลวงอันยิ่งใหญ่เจาะทะลุสองแขนของมัน แล้วทะลวงเข้าไปในทรวงอกของมัน
เปรี้ยง!
มันกระอักเลือดออกมาคำโต
“ทะลวง!” ลู่เซิ่งคำรามต่ำๆ พร้อมเพิ่มพลังใส่ดาบฝ่ามือ ร่างกายขยายใหญ่ด้วยความเร็วสูง!
พรุ่บ!
ฝ่ามือของเขาทะลุสองแขนของมารยักษา แล้วเจาะเข้าทรวงอกของมันเหมือนตัดเต้าหู้
“หาที่ตาย! อ๊ากก!” อายดี้แผดเสียง ถ่มเลือดออกมาจากปาก ก่อนจะกอดรัดลู่เซิ่งแล้วโถมตัวไปด้านหลัง
ตูม!
ทั้งสองคนปะทะเข้ากับต้นไม้ยักษ์ขนาดสี่เมตรกว่าๆ จนลำต้นจมเป็นหลุมใหญ่
“ตายซะ!” ลู่เซิ่งผุดสีหน้าเหี้ยมเกรียม ตะปบฝ่ามือใส่ทรวงอกของมารยักษา แล้วจับอะไรสักอย่างเอาไว้ ก่อนจะกระชากออกมาด้านนอก
ฉูด…
กระดูกสันหลังสีขาวถูกเขากระชากออกมา
เปรี้ยง!
มารยักษาอายดี้เงยหน้าร้องคำรามในทันใด
ร่างกายของมันและกระดูกสันหลังในมือลู่เซิ่งระเบิดกลายเป็นจุดแสงสีดำนับไม่ถ้วนโดยอัตโนมัติ ก่อนจะสลายไป
มารยักษาอายดี้ผู้มีร่างใหญ่โตเปลี่ยนร่างจากมายาเป็นจริง กลายเป็นรูปเป็นร่างด้วยความเร็วสูงบนที่ว่างอีกแห่งหนึ่ง
“นี่คือความเป็นอมตะที่ว่างั้นหรือ” ลู่เซิ่งคลายฝ่ามือออกพร้อมกับพุ่งใส่มารยักษาที่เกิดใหม่อีกครั้ง
เจ้าตัวนี้มีพละกำลังสูงสุดขีด เพียงแค่อ่อนแอกว่าเขาเล็กน้อยเท่านั้น กอปรกับประสบการณ์ผ่านร้อยสมรภูมิและร่างอมตะที่ฆ่าไม่ตาย
สำหรับกลุ่มก้อนทั่วไปแล้ว นี่เป็นตัวตนที่ไร้เทียมทาน
ในเวลาต่อจากนี้ ลู่เซิ่งทดลองใช้วิธีการมากมายสังหารมารยักษาอายดี้ แต่กลับไร้ความหมาย
ทำลายหัว ฉีกเป็นชิ้นๆ แยกแขนแยกขา ใช้ไฟเผา ใช้หมดทุกวิถีทาง
ทันทีที่ยืนยันได้ว่ามารยักษาสูญเสียคุณลักษณะของชีวิต ศพก็จะระเบิดกลายเป็นจุดแสงสีดำ จากนั้นมารยักษาอายดี้ตนใหม่ก็จะพุ่งออกมาจากในความมืด และไม่เหลืออาการบาดเจ็บใดๆ
ลู่เซิ่งถึงขั้นใช้วิชาจิตโน้มนำ หมายจะควบคุมโดยใช้การสะกดจิต แต่ก็ไร้ความหมาย มารยักษาอายดี้เหมือนมีภูมิคุ้มกันต่อความสามารถชนิดนี้
แต่เป็นเพราะกายเนื้อของลู่เซิ่งพิสดารถึงขีดสุด ถึงจะสามารถฆ่ามารยักษาได้
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าคงต้านทานไม่ไหว ถูกพัวพันจนตายไปนานแล้ว
ทักษะการต่อสู้ของมารยักษาอายดี้แข็งแกร่งถึงขีดสุด ทั้งยังผ่านมาร้อยสมรภูมิและไม่กลัวตาย ทำให้ถนัดที่สุดในการต่อสู้โดยใช้อาการบาดเจ็บแลกอาการบาดเจ็บ
ถ้าไม่ใช่เพราะมรรคายุทธ์ทำลายล้างในพริบตาระดับปรมาจารย์แข็งแกร่งไร้เทียมทาน หากคิดจะสะกดอีกฝ่าย ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ
ต้นไม้ยักษ์หลายต้นในป่าโค่นล้มลงอย่างต่อเนื่อง
ลู่เซิ่งกับมารยักษากำลังเข่นฆ่ากันอย่างบ้าคลั่ง เมื่อคำนวณดูดีๆ อายดี้มีพลังใกล้เคียงกับลู่เซิ่ง แต่ร่างกายไม่ทนทานเท่า
ลู่เซิ่งเป็นฝ่ายได้เปรียบในด้านขอบเขตมรรคายุทธ์ แต่ไม่ได้เป็นอมตะเหมือนอีกฝ่าย ในเมื่อร่างกายเขาไม่เป็นอมตะ หากเสียชีวิตก็ได้แต่ออกจากโลกใบนี้ทันที
ทั้งสองฝ่ายฆ่ากันเหมือนสายฟ้าคำรามครืนครัน พวกมินเคอที่เป็นมนุษย์หมอกดำหนีออกมาอยู่ห่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้โดนลูกหลง
โดยเฉพาะหลังจากเห็นลู่เซิ่งขยายร่างขึ้นและฉีกแขนข้างหนึ่งของมารยักษายัดใส่ปาก...พวกเขาต่างมีอารมณ์ปั่นป่วน
แม้ดูเหมือนว่าลู่เซิ่งกำลังทดลองว่าจะกำจัดอีกฝ่ายได้หรือไม่
แต่วิธีการแบบนี้…
การต่อสู้กินเวลาตั้งแต่บ่ายถึงเย็น
ป่ามากกว่าพันตารางเมตรประสบภัยพิบัติอย่างสมบูรณ์ ถูกตัวประหลาดสองตัวทำลายจนแหลกเละดูไม่ได้
สัตว์วิเศษที่ใช้ชีวิตอยู่ในเทือกเขาอันมีร์มีบางส่วนหลบไม่พ้น ถ้าไม่ถูกลู่เซิ่งฟาดตาย ก็ถูกมารยักษาที่คลุ้มคลั่งกระแทกตาย
พละกำลังของลู่เซิ่งเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่ากว่าๆ ตามเวลาที่ผ่านไป
กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งขึ้นตลอดเวลาภายใต้การหล่อเลี้ยงของปราณปฐพีและอัคคีหงส์ชาด
มารยักษาที่เดิมสูสีกับเขา หลังจากเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งต้านทานไม่ไหว
ตอนแรกแบ่งผลแพ้ชนะในหลายสิบกว่ากระบวนท่า ต่อมากลับถูกทุบตายในไม่กี่สิบกว่ากระบวนท่า
เวลาหดสั้นลงเรื่อยๆ
และสิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งจนปัญญาก็คือ เจ้าตัวนี้มีขวัญกำลังใจฮึกเหิมตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่แสดงการท้อถอยให้เห็นแม้แต่น้อย
สุดท้าย หลังจากฆ่ามารยักษาอายดี้เป็นรอบที่หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ด ลู่เซิ่งก็ตัดสินใจกลับบ้าน
แม้พลังฟื้นตัวของเขาจะสนับสนุนให้เขาสู้ได้สิบกว่าวันโดยไม่มีปัญหา แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ
เขาทดลองกินมารยักษาอายดี้มาแล้วสิบกว่าครั้ง แต่กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม คล้ายกับพลังงานที่บรรจุอยู่ในร่างมารยักษาไม่ได้สูงอย่างที่จินตนาการไว้
ลู่เซิ่งรู้สึกว่าไม่ต่างอะไรกับการกินมนุษย์ธรรมดาสองสามคน
แม้ไม่ทราบว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าคนธรรมดาบรรจุพลังงานไว้มากขนาดไหน แต่กุญแจสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนี้ กุญแจสำคัญก็คือ การสู้กับมารยักษาเป็นสิ่งเสียเวลาและได้ไม่คุ้มเสีย
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจล่าถอย
หลังจากทดสอบได้แล้วว่าไม่อาจกำจัดมารยักษาอายดี้ได้ เขาก็คิดกลับไป
แม้จะไม่อาจฆ่ามารยักษา แต่การหยุดมันเป็นเรื่องสบายๆ
ลู่เซิ่งเข้าสู้ระยะประชิด ใช้ศอกกับเข่าโจมตีหลายร้อยครั้งในพริบตา
เปรี้ยง!
การโจมตีทั้งหมดรวมกัน พร้อมส่งเสียงกระแทกทึบหนัก
ครั้งนี้ลู่เซิ่งควบคุมแรงของตนเอาไว้
มารยักษาอายดี้ร้องโหยหวนพลางโซเซถอยหลัง ข้อต่อทั้งหมดบนตัวมันถูกลู่เซิ่งโจมตีแหลกในพริบตานี้
ลู่เซิ่งยกฝ่ามือดาบเข้าไปฟันใส่หลายครั้ง
เลือดเป็นหย่อมๆ กระจายออกมาจากร่างมารยักษา เส้นเอ็นในส่วนสำคัญทั้งหมดบนร่างมันถูกตัดทิ้งทั้งสิ้น
เมื่อไม่เหลือข้อต่อและเส้นเอ็น ต่อให้มันมีพละกำลังแข็งแกร่งขนาดไหนก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
ได้แต่นอนนิ่งๆ อยู่กับพื้นเท่านั้น
“ไอ้ชั่ว มีปัญญาก็มาฆ่าข้าสิ!” มารยักษาคำราม
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปจับคางของมัน แล้วล้วงนิ้วเข้าไปในช่องปากมันดุจสายฟ้าฟาด
ฉับพลันนั้นลิ้นที่โชกเลือดก็ถูกคีบออกมา
ครั้งนี้แม้แต่พูดก็พูดไม่ได้อีกแล้ว
มารยักษาได้แต่ขยับตัวเหมือนตะขาบอยู่บนพื้น
“พามันกลับไป พวกเราถอย” ลู่เซิ่งหดร่างลงอย่างหมดคำพูด ก่อนจะโบกมือให้พวกมินเคอจัดการ
หลังจากเจอการเข่นฆ่าในช่วงบ่าย เหล่ามนุษย์หมอกดำก็ชินชากับความวิปริตของลู่เซิ่งโดยสิ้นเชิงแล้ว
พอพวกเขาได้ยินก็ทำตามคำสั่งโดยอัตโนมัติทันที รีบเข้าไปใช้เชือกสีดำชนิดพิเศษมัดตัวมารยักษาไว้หลายรอบ แล้วให้มนุษย์หมอกดำสองคนหามตามหลังลู่เซิ่งไป เร่งรุดไปยังทางออก
ความจริงลู่เซิ่งคิดจะค้นหาต่อ แต่ทางพี่สาวหวังจิ้งเหมือนจะมีอันตราย จึงต้องกลับด้วยความจำเป็น
ที่ต่อสู้กับมารยักษา เพราะเขาอยากทดลองดูว่าสุดยอดพลังของโลกใบนี้ไปถึงระดับไหนได้เท่านั้น
การทำแบบนี้ จะทำให้มีการประเมินเวลาเผชิญกับเทพแห่งการทำลายล้าง
แต่ผลลัพธ์สุดท้ายคือ มารยักษามีพลังไม่เท่าไร แต่คุณสมบัติอมตะรับมือได้ยากจริงๆ ในเวลาสั้นๆ ยังคิดหาวิธีแก้ไขไม่ออก ได้แต่กลับก่อนค่อยว่ากัน
…
ณ ส่วนลึกของป่า
เจย์ลา แจ๊ค เฌอมาน และเบนมองดูเสือชีตาห์สีดำตัวเขื่องที่กำลังก้มหน้าเลียขนอยู่ด้านหน้าอย่างระมัดระวัง
เจย์ลาสงบจิตใจ
“ไม่เป็นไร พวกเรามีสิ่งนี้อยู่ ขอแค่เข้าใกล้ มันจะต้องหนีพวกเราไปเองแน่”
เธอถือจี้เดินเข้าหาเสือชีต้าห์สีดำอย่างมั่นใจ
“ความจริงขอแค่มั่นใจ การเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าก็ไม่ต่างอะไรกับแมลงมีพิษพวกนั้น ต้องมีความมั่นใจในตัวเอง”
“แต่…” เฌอมานรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย เสือชีตาห์ตัวนั้นเหมือนไม่มีความคิดจะหลบไปที่อื่น
“ไม่ต้องห่วง พวกเราพิสูจน์ประสิทธิผลนี้มาตลอดทางไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งแล้วไม่ใช่เหรอ” เจย์ลายิ้ม
“ทางเข้าออกแห่งเดียวของที่นี่ถูกเสือชีตาห์ตัวนี้ขวางไว้ พวกเราเองก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ออกไปจากตรงนี้ ก็ต้องอ้อมลำธารนั้น แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีเวลาเยอะขนาดนั้น”
“ตกลง…เธอระวังหน่อยล่ะ…” แจ๊ครู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีวิธีอื่น
แม้เจย์ลาจะนิสัยแย่ไปบ้าง แต่มาถึงขั้นนี้ยังยอมพาพวกเขาออกมาด้วย แสดงให้เห็นว่ายังไม่เกินเยียวยาและเห็นเพื่อนสำคัญ
ทั้งสามมองเจย์ลาที่ถือจี้เดินเข้าหาเสือชีตาห์ พลางอวยพรให้เธอในใจเงียบๆ
เสือชีตาห์ตัวนั้นเหมือนเพิ่งกินอิ่ม จึงไม่คิดขยับไปไหน เพียงแค่หันมามองเจย์ลาโดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
ทว่าเจย์ลากลับแสดงสีหน้าที่อยากจะทดลองเต็มแก่ ไร้ความเกรงกลัว
“ดูจี้ฉัน! กลัวไหม! กลัวรึเปล่า?!” เจย์ลาแหย่จี้เข้าใส่ศีรษะเสือชีตาห์…
……………………………………….