หลังจากอวี่ซวนกลับไป เผ่าหงส์เพลิงก็ใช้เส้นสาย ทรัพย์สมบัติ และทรัพยากรมากมาย ในที่สุดก็ทำให้เรื่องเฟิงหลินเงียบหายไปได้
เผ่าเวทตามหาคนร้าย ยังคงไล่ล่าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ไม่มีใครทราบว่า อวี่ซวนได้แอบซ่อนเฟิงหลินไว้ในซากโบราณสถานพิเศษที่หงส์เพลิงเคยสละชีพแห่งหนึ่ง
นั่นคือมิติเล็กๆ อีกมิติ ไม่มีใครค้นเจอได้
เผ่าเวทหาใครไม่เจอ ได้แต่สังหารเผ่าปีศาจรอบๆ ระบายความแค้น แล้วล่าถอยอย่างจนปัญญา
มีคนเริ่มสงสัยว่าอวี่ซวนเอาตัวเฟิงหลินไปซ่อนหรือไม่ แต่เมื่อไม่มีหลักฐาน กอปรกับซีเหอช่วยพูดให้เผ่าหงส์เพลิง ก็ไม่มีใครพัวพันกับปัญหานี้ต่อไป
สรุปแล้วนอกจากความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าเวทกับอุทยานปีศาจที่แย่กว่าเดิมเล็กน้อย สถานการณ์ก็เริ่มสงบลง
สำหรับเผ่าเวทและปีศาจ เผ่าเล็กๆ อย่างเจิงมู่ ใต้สังกัดต่อให้ไม่ถึงสิบหมื่น ก็มีเจ็ดแปดหมื่น สิ่งที่พวกเขาใส่ใจคือศักดิ์ศรี และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ภายในของเขาเกิดเรื่อง จึงต้องจัดการอย่างเร่งด่วน
เผ่าหงส์เพลิงถูกริบอาวุธเทพ ตัวหัวหน้าเผ่าออกหน้าจับตัวคนร้ายและตรวจสอบหาฆาตรกรด้วยตัวเอง ทั้งยังเป็นตัวแทนอุทยานปีศาจในการขอโทษ โดยจ่ายค่าชดเชยเป็นวัตถุดิบกับทรัพยากรไม่น้อย
พวกเขาสังหารเผ่าปีศาจไปแล้วหลายกลุ่มเช่นกัน
ภายใต้ผลลัพธ์เช่นนี้ เผ่าเวทไม่อาจสืบสาวต่อไป เรื่องนี้จึงค่อยๆ สงบลง
สิ่งที่ป่าต้นไม้ไม้ยักษ์ต่างไปจากเดิมก็คือ ในป่ามีทายาทหงส์เพลิงเพิ่มมาหนึ่ง ส่วนนกอัคคีเฟิงหลินผู้สืบเชื้อสายหงส์เพลิงก็ลดไปหนึ่ง
ทางลู่เซิ่ง เริ่มหลอมของวิเศษป้ายคำสั่งจอมขุนเขาที่ได้จากอวี่ซวน
…
“สังหาร!”
นกยักษ์ไร้ขนทั่วป่าเขาก้าวย่างหนักอึ้ง มุ่งหน้าไปเผชิญกับสองตาแดงฉานของเผ่าโหมวซีหนิวตรงหน้า
โหมวซีหนิวเป็นหนึ่งในเผ่าปีศาจที่ใหญ่ที่สุดของป่าต้นไม้ยักษ์ เดิมทีถิ่นของพวกเขาตั้งอยู่ที่ชายขอบของเผ่าเวทเจิงมู่ ตอนนี้เจิงมู่ถูกทำลาย อาณาเขตจึงถูกลัทธิแสงสว่างที่ลงมือเป็นคนแรกยึดครอง
และลัทธิแสงสว่างก็กลายเป็นขุมกำลังที่อยู่ติดกับเผ่าโหมวซีหนิวในปัจจุบัน
ลู่เซิ่งยืนอยู่บนท่อนซุงของต้นไม้ยักษ์ที่แตกหักต้นหนึ่ง ทอดตามองการศึกที่อยู่ไกลออกไป
นกยักษ์ลัทธิแสงสว่างจำนวนนับหมื่นกระพือปีกที่เต็มไปด้วยเรี่ยวแรง เข้าปะทะกับปีศาจกระทิงของเผ่าโหมวซีหนิวที่มีพลังคชสารโดยกำเนิด
ทั้งสองฝ่ายมีพละกำลังสูสีกัน ขึ้นอยู่กับขนาดร่างกายว่าจะแพ้หรือชนะ
ทางฝั่งกระทิงเผ่าโหมวซีหนิวมีพลังป้องกันไม่ธรรมดา หนังกระทิงทนทาน ดาบกระบี่ยากทำร้าย แต่พลังฟื้นฟูยังคงช้าไปบ้าง
ทางนกยักษ์มีพลังฟื้นฟูน่าตื่นตะลึง แต่การป้องกันย่ำแย่กว่า
ทั้งสองฝั่งฆ่ากันอย่างดุเดือด ไม่ได้ปล่อยอาคมอิทธิฤทธิ์ หากเข้าไปปะทะกันโดยตรง อย่างไรอิทธิฤทธิ์ทั่วไปก็มีผลกับพวกเขาไม่มากนัก
ทั่วพื้นดินของป่าเต็มไปด้วยเสียงกระทบกระแทกและเสียงสั่นสะเทือนอันรุนแรง
ลู่เซิ่งสีหน้าไร้อารมณ์ ในมือควงป้ายคำสั่งจอมขุนเขาเล่น เบื้องหลังเป็นโลกบาลจ้าวหมิงยืนอยู่
ธรรมบาลสี่คนเข้าสู่สนามรบตั้งแต่ต้น ทว่าการศึกยังคงยื้อยุดกัน
“ท่านเจ้าลัทธิ ให้ข้าร่วมศึกเถอะ! พวกเรารอมานาน ไม่ได้มาเพื่อรับชมเรื่องสนุกนะขอรับ!” แขนข้างที่ขาดของจ้าวหมิงงอกกลับมาแล้ว ตอนนี้สีหน้าแดงก่ำ ต้องการเข้าร่วมสนามรบ
โลกบาลอีกสองคนก็มีท่าทีกระเหี้ยนกระหือรือเช่นกัน ภายใต้การสนับสนุนทางทรัพยากรของลัทธิแสงสว่าง ไม่นานมานี้พลังฝึกปรือของเขาก็ก้าวหน้าขึ้น ศึกใหญ่ในเวลานี้คือโอกาสดีที่จะได้พิสูจน์ตัวเอง
ลู่เซิ่งส่ายหน้าน้อยๆ
“ไม่ต้อง พวกมันทนได้อีกไม่นานแล้ว” สถานการณ์ดูเหมือนเคร่งเครียด ขุมกำลังสูสี แต่ความจริงกระทิงเผ่าโหมวซีหนิวยันได้อีกไม่นานแล้ว ความอดทนของพวกมันไม่ได้มีมากเท่ากับนกยักษ์จากลัทธิแสงสว่าง
ผ่านไปไม่นาน ทางฝั่งกระทิงเผ่าโหมวซีหนิวส่งเสียงคำราม
แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งขึ้นท้องฟ้า พริบตาเดียวก็กลายเป็นเงาสีเทากึ่งโปร่งแสงกลางอากาศ ร่วงตกจากฟากฟ้า พุ่งชนใส่ค่ายกลนกยักษ์ด้านล่าง
สีหน้าของลู่เซิ่งไม่เปลี่ยนแปลง กดป้ายคำสั่งจอมขุนเขาในมือเบาๆ
“ไป!”
ฉับพลันนั้นป้ายคำสั่งปล่อยลำแสงสีขาวสายหนึ่งออกมา แสงสีขาวสายนั้นพุ่งไปถึงกลางอากาศ แล้วขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นประตูข้ามมิติสีขาวทรงรี
ในประตูพลันมีแขนสีแดงก่ำขนาดมหึมายื่นออกมา
มนุษย์ศิลาร่างยักษ์ที่ตัวประกอบจากหินหนืดสีแดงเข้ม มุดออกมาจากประตูข้ามมิติ ต่อยหมัดใส่เงากระทิงยักษ์ที่กระทิงเผ่าโหมวซีหนิวร่ายออกมา
เปรี้ยง!
สัตว์ขนาดยักษ์สองตัวที่สูงสิบกว่าหมี่เริ่มฆ่าฟันกัน
“นี่คือยักษ์หินหนืดหรือ” ลู่เซิ่งควงป้ายคำสั่งจอมขุนเขาในมือเล่น “พลังทำลายกับพลังฆ่าฟันอยู่ในระดับทารกกำเนิด ดูเหมือนเป็นเพราะเราใส่พลังอาคมเข้าไปไม่เยอะ ตามคำพูดของอวี่ซวน อย่างมากของสิ่งนี้อัญเชิญยักษ์หินหนืดระดับเทพจำแลงออกมาได้มากสุด”
ขณะเขาคิดแบบนี้ ก็เติมพลังอาคมบางส่วนเข้าไปในป้ายคำสั่งจอมขุนเขา ทันใดนั้นร่างยักษ์หินหนืดก็เรืองแสงสีแดง ขนาดร่างขยายขึ้นอีกครั้ง ราวกับพละกำลังเพิ่มขึ้น ต่อยหมัดใส่เงากระทิงยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าจนอีกฝ่ายร้องโหยหวนและโซเซถอยหลัง
“เป็นอย่างที่คิด” ลู่เซิ่งพยักหน้า เติมพลังอาคมเข้าไปอีก ไม่นานยักษ์หินหนืดก็ตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สูงกว่าเงากระทิงยักษ์ในตอนแรกแล้ว
กรรซ์!
มันร้องคำราม พร้อมกับคว้าหมับเงากระทิงยักษ์ทุ่มใส่พื้น
ตูม!
กระทิงยักษ์อันเป็นเงาลวงแตกสลายอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น ปีศาจกระทิงตัวหนึ่งในเผ่าโหมวซีหนิวกระอักเลือดออกมา
“ถอย!” มันแผดเสียง
ฉับพลันนั้นเผ่ากระทิงโหมวซีหนิวก็ถอยออกจากป่าต้นไม้ยักษ์ อพยพออกไปไกล
“ไปเถอะ ต่อไป” ลู่เซิ่งหันไปยังเขตต่อสู้อื่นต่อ
เวลานี้ห้าราชาปีศาจที่เหลือกำลังขยับขยายอาณาเขตในทิศทางต่างๆ เช่นกัน อาณาเขตของป่าต้นไม้ยักษ์หมายถึงทรัพยากร อาหาร ที่อยู่อาศัย และผลไม้วิเศษ
ในเวลาห้าวัน อาณาเขตของทั่วทั้งลัทธิแสงสว่างใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่า
อาณาเขตของลัทธิแสงสว่างขยายไปรอบๆ โดยใช้ฐานของเผ่าเวทเจิงมู่เป็นศูนกลาง ใหญ่ขึ้นอย่างน้อยเกือบสองเท่า
ลู่เซิ่งลงมือบนสมรภูมิหลายครั้ง ยักษ์หินหนืดที่ป้ายคำสั่งจอมขุนเขาอัญเชิญออกมามีความสามารถล่อลวง ทำให้คนอื่นๆ ไม่สังเกตเห็นระดับพลังของตัวเขาเอง
โลกใบนี้เน้นใช้ของวิเศษต่อสู้ เมื่อเป็นแบบนี้ สายตาจากโลกภายนอกส่วนใหญ่จึงไม่ได้รวมอยู่ที่ตัวเขา หากแต่อยู่ที่ป้ายคำสั่งจอมขุนเขาอันแข็งแกร่งที่เขาครอบครอง
นี่เป็นผลลัพธ์ที่ลู่เซิ่งต้องการเช่นกัน
หลังจากได้รับวิชาถ่ายทอดที่แข็งแกร่งของเผ่าหงส์เพลิง และเอาชนะขุมกำลังคุกคามที่อยู่รอบๆ ได้ เขาก็ไม่สนใจเรื่องอย่างอื่นอีก มอบภารกิจในลัทธิให้สามโลกบาล และสี่ธรรมบาลข้างกาย และกักตนอีกครั้ง
ครั้งนี้ เขาจะทดลองดูว่า อานุภาพที่แท้จริงของวิชาถ่ายทอดแห่งหงส์เพลิงเป็นอย่างไร
…
ณ อุทยานปีศาจ
“อวี่ซวน” บนสะพานหยกระหว่างตำหนักหยกขาว หัวหน้าหงส์เพลิงชะงักเท้า หันกลับไปมองด้านหลัง
บุรุษรูปงามสวมกวนหยกสีเขียว และแขวนกระบี่ไข่มุกไว้ที่เอว เร่งฝีเท้าเดินมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ชิงจ้งหรือ เผ่ามังกรเขียวของท่าน ไปชมพูทวีปไม่ใช่หรือ เหตุใดอยู่ๆ ถึงกลับมาเล่า” อวี่ซวนเอ่ยอย่างงุนงง
มังกรเขียวเป็นเผ่าที่มีสายเลือดมังกรมากที่สุด ถือเป็นเผ่าที่ใกล้เคียงกับบรรพชนมังกรที่สุดในปัจจุบัน พลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดในสี่สัตว์เทพ ได้รับการอวยยศเป็นผู้บัญชาการนำทัพของอุทยานสวรรค์ ยาตรากองทัพไปทั่วทุกที่
“ไม่ใช่อยู่ๆ ก็กลับมา แต่ทางนั้นเกิดเรื่องอีกแล้ว” ชิงจ้งถอนใจ “สรุปก็คือ พวกเราสี่สัตว์เทพมีแหล่งกำเนิดเดียวกัน สถานการณ์อย่างเป็นรูปธรรม ข้ายังเปิดเผยไม่ได้ แต่…ตัวเจ้าระวังไว้หน่อยดีกว่า ความโกลาหล…กำลังจะมาแล้ว”
ชิงจ้งไม่พูดอะไรมาก เดินผ่านอวี่ซวนไปยังตำหนักที่อยู่ห่างออกไป
อวี่ซวนยืนอยู่บนสะพานหยก รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีอยู่บ้าง
“ได้ยินมาว่าอีกไม่กี่วันเหล่าโอรสจะลงไปเที่ยวเล่นยังโลกเบื้องล่าง ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”
“น่าจะจริง สองสามวันก่อนข้าถูกเรียกตัวไปจัดแต่งราชรถ เพียงแต่โลกเบื้องล่างมีรังนกทองคำอยู่สิบเจ็ดแห่ง ไม่รู้ว่าพวกโอรสจะไปที่ไหน...”
“ใช่แล้วๆ…ถ้าหากรู้จุดหมายก่อน ไม่แน่ว่าจะทำให้พวกเราเตรียมตัวได้ก่อน ถ้าประจบเหล่าโอรสได้ดีก็เป็นผลงานใหญ่เช่นกัน!”
อวี่ซวนได้สติกลับมา ตอนนี้จิตใจหวั่นไหว ได้ยินเรื่องใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ที่ปีศาจน้อยซึ่งอยู่ในอุทยานปีศาจรอบๆ กำลังคุยกัน
“พวกโอรสจะลงไปเที่ยวเล่นที่โลกเบื้องล่าง…” อวี่ซวนขมวดคิ้วมุ่น เหตุใดอยู่ๆ โอรสทั้งสิบที่เป็นอีกาทองสามขาซึ่งควบคุมการโคจรของดวงอาทิตย์จึงจะลงไปยังโลกเบื้องล่างโดยไม่มีสาเหตุเล่า
นางนึกเฉลียวใจ เริ่มสังเกตการเคลื่อนไหวที่ส่งมาจากอาณาเขตเทพปีศาจ
เหล่าเทพปีศาจโดยส่วนใหญ่แล้วเกียจคร้านรักสบาย บางครั้งก็ไม่ได้ใช้วิธีส่งกระแสเสียงหรือสื่อสารทางจิต ก็จะเปิดปากสนทนากันตรงๆ
เวลานี้เป็นเวลาที่นางรวบรวมข้อมูลได้
ปกติแล้วในสิบครั้งจะมีสักเก้าครั้งที่ไม่ได้ยินอะไรเลย แต่ครั้งนี้เหมือนโชคจะดีไม่น้อย อวี่ซวนได้ยินจอมดาราหลายคนกำลังดื่มสุราสนทนากันอยู่พอดี
“…บรรพชนเวทเทพธารากับจู้หรงทำศึกใหญ่มาสิบวันแล้วกระมัง”
“ประมาณนั้น ตอนแรกแค่ตีฝีปากกัน เหตุใดยิ่งสู้ยิ่งรุนแรงขึ้นเล่า พวกป่าเถื่อนเหล่านี้เข้าใจยากจริงๆ…”
“แต่คงสู้กันอีกไม่นานหรอก เจ้าจู๋จิ่วอินไม่มีทางปล่อยให้สองฝั่งก่อเรื่อง น่าจะใกล้เกลี้ยกล่อมให้ยุติแล้ว”
“จะว่าไปหลายครั้งก่อนหน้านี้ก็เป็นจู๋จิ่วอินยุติเรื่องไม่ใช่หรือ แต่ครั้งนี้พวกท่านกลับไม่ทราบว่า จู่จิ่วอินนั่นไม่อยู่พอดี!” จอมดาราคนหนึ่งเอ่ยอย่างมึนเมา
“ไม่อยู่หรือ มิน่าบรรพชนเวทธาราและอัคคีสองคนจึงสู้กันมานานไม่หยุดหย่อน…ที่แท้สิบโอรสใหญ่ก็ต้องการ...”
“ห้ามพูด! เรื่องนี้ยังไม่แน่ จะกล่าวส่งเดชไม่ได้”
“ใช่แล้วๆ…ขอบคุณสหายร่วมเส้นทางที่เตือน”
เสียงเบาลงอย่างรวดเร็ว พอเงี่ยหูฟังก็ไม่ได้ยินอะไรอีก
แต่อวี่ซวนกระจ่างแล้วว่า การลงไปยังโลกเบื้องล่างของโอรสทั้งสิบแห่งจักรพรรดิปีศาจ น่าจะไม่ใช่แค่การเที่ยวเล่นเฉยๆ
“ฝนกำลังตั้งเค้าแล้ว…” นางผุดสีหน้าสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินไปยังตำหนักหงส์เพลิง
ถ้าทำลายสมดุลระหว่างเผ่าเวทและปีศาจจริงๆ เกรงว่าสงครามใหญ่จะอุบัติทันที ถึงเวลานั้น นางต้องพิจารณาให้ดีว่า เผ่าหงส์เพลิงจะหาที่อยู่ที่ดีที่สุดได้อย่างไร
…
โลกเบื้องล่าง ลึกลงไปข้างใต้เนินเขาขาวหลายพันหมี่
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในวังใต้ดินมืดทะมึน ไฟของหงส์เพลิงสีแดงอ่อนหลายกลุ่มวนเวียนสาดส่องรอบข้าง
เขาถือป้ายคำสั่งจอมขุนเขาไว้ในมือ ทางขวามีของขลังและวัตถุดิบล้ำค่าต่างๆ ที่ยึดมาจากขุมกำลังอื่น วางอยู่
“ร่างกายปรับตัวได้พอประมาณแล้ว สามารถยกระดับได้อีกครั้ง ครั้งนี้อยากจะดูหน่อยว่า วิชาถ่ายทอดหงส์เพลิงร้ายกาจขนาดไหน”
เวลานี้ลู่เซิ่งค่อนข้างคาดหวัง อย่างไรก็เป็นวิชาวงศาเทพ ของสายเลือดสัตว์เทพที่บริสุทธิ์ในตำนาน
เขาเรียกบันทึกทักษิณอายุวัฒนะจากในความทรงจำที่ได้รับถ่ายทอดออกมาพิเคราะห์ดู
บันทึกทักษิณอายุวัฒนะแบ่งเป็นเก้าขั้น หลังฝึกสำเร็จทั้งเก้าขั้น จะทำให้ตนเองเกิดใหม่หนึ่งครั้ง ยิ่งจำนวนเกิดใหม่มากเท่าไร คุณสมบัติร่างกายก็จะแข็งแกร่ง รูปร่างงดงาม เสียงดนตรีไพเราะ รวมถึงเปลวเพลิงแข็งแกร่งมากเท่านั้น
ทุกๆ ครั้งที่เกิดใหม่สำเร็จ อายุขัยจะเพิ่มขึ้นหมื่นปี
ลู่เซิ่งอ่านหลายรอบ แต่ก็ยังไม่เข้าใจหลักการนิยามกับองค์ประกอบในวิชา ระบบบำเพ็ญเป็นเซียนอย่างพวกกระตุ้นจิตก่อนกำเนิด ผนึกวิญญาณ และการทำลายตะเกียงวิญญาณ มันไม่ใช่การฝึกตามปกติ
แต่ไม่เป็นไร ขอแค่ฝึกได้ก็พอ
ต่อให้อ่านไม่เข้าใจหรือฝึกได้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ
หลังจากอ่านวิชาเก้าขั้นจบรอบหนึ่ง ลู่เซิ่งก็เริ่มตั้งสมาธิสงบลมหายใจ
ดีปบลู!
เขาคิดจะใช้ป้ายคำสั่งจอมขุนเขาอันเป็นของวิเศษอำพรางตัว ขณะอยู่ด้านนอกอาศัยของวิเศษลงมือเป็นหลัก ส่วนตัวเองยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง พยายามพัฒนาให้ถึงขีดจำกัดในเวลาที่สั้นที่สุดให้ได้
……………………………………….