ดังนั้นคนที่ให้ความสำคัญกับเฉินจื่อลัวอย่างแท้จริงจึงมีเพียงตู้เฟิงจื่อกับหนิงเหมยเท่านั้น
ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ แม้เฉินจื่อลัวจะเป็นคนเลือดเย็น แต่ก็รู้จักบุญคุณคน
“ช่างเถิด” ลู่เซิ่งเอ่ยขึ้น จากนั้นก็พาดลูกตุ้มเหล็กไว้บนหลัง ปลดโซ่ลงพันกับลำตัวเพื่อใช้ยึดลูกตุ้มคู่ไว้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็ลากันเท่านี้ ข้าจะไปตามหาอาจารย์กับศิษย์พี่ พวกท่านดูแลตัวเองด้วย” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างไม่นำพา ก่อนจะหันหลังเดินลงจากเขา
“เจ้า…! หยุดนะ! เจ้าเป็นศิษย์พรรคกระบี่ คิดว่าจากไปเช่นนี้แล้วเรื่องจะจบหรือ!? ตอนนี้พรรคตกทุกข์ได้ยาก เจ้าได้รับการเลี้ยงดูจากพรรค พอถึงช่วงวิกฤติก็คิดจะตอบแทนพรรคกระบี่เช่นนี้น่ะหรือ!?”
พอเห็นลู่เซิ่งหันหลังจะจากไป กวนซิ่วเหนียนกลับนึกเสียใจและหวาดกลัวอย่างกะทันหัน หากว่าลู่เซิ่งไปแล้วมหาปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมผู้นั้นโผล่มาอีก นั่นไม่ใช่ว่าทั่วทั้งเขาจะตกอยู่ในอันตรายหรือ
“ยังไม่รีบกลับมาปกป้องพวกเราอีก!” เขาตวาดเสียงดัง ขณะเดียวกันก็ขยิบตาให้หวังเยวี่ยกับเหยียนชิ่นหรงด้วย
“หา?” ลู่เซิ่งอยู่มานาน เห็นโลกมามากมาย แต่ตอนนี้ต้องอึ้งเพราะความไร้ยางอายของกวนซิ่วเหนียน
เขาคิดว่าตัวเองยังเป็นศิษย์เอกที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ลูกศิษย์อยู่หรืออย่างไร เลยนึกว่าลู่เซิ่งจะถูกเขาเรียกกลับไปได้เหมือนศิษย์ธรรมดาพวกนั้น
ลู่เซิ่งหันไปมองกวนซิ่วเหนียนด้วยความระอาใจ
“ไอ้ตรงนี้ของเจ้า…มีปัญหาหรือ” เขาชี้ศีรษะตัวเอง “หรือจะให้ข้าช่วยตบเรียกสติให้”
“เจ้า!?” กวนซิ่วเหนียนอารมณ์ขึ้น จะเอ่ยสบถด่า
ตูม!
เสียงหวีดพลันระเบิดกลางอากาศอย่างฉับพลัน
เงาสีเทาสายหนึ่งกระแทกใส่ทรวงอกของเขาอย่างรุนแรงราวสายฟ้าฟาด
เปรี้ยง!
เขาร้องโหยหวน กลิ้งไปกับพื้นสิบกว่าตลบ แล้วชนใส่เสาหักที่ถล่มลงมา ก่อนจะแน่นิ่งไป
“หยุดมือ!”
“เฉินจื่อลัวหยุดมือ!”
หวังเยวี่ยกับเหยียนชิ่นหรงร้องออกมาแทบจะพร้อมกัน
แม้คำพูดของกวนซิ่วเหนียนจะไม่น่าฟัง แต่ก็มีเหตุผลอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองยังมีความลับร่วมกันด้วย
นั่นก็คือกวนซิ่วเหนียนเป็นลูกชายคนเดียวของประมุขพรรคคนปัจจุบัน นี่เป็นสาเหตุที่แท้จริงที่พวกเขาคอยดูแลกวนซิ่วเหนียนมาโดยตลอด
ซ่งซิ่นหรูส่ายหน้า พอเห็นภาพนี้เข้า ก่อนหน้านี้คำพูดของหวังโหวจงยังไม่ทำให้นางท้อแท้ กระนั้นท่าทีของพวกหวังเยวี่ยและกวนซิ่วเหนียนในตอนนี้กลับทำให้นางรู้สึกผิดหวังต่อพรรคกระบี่บรรณภูผาอย่างสิ้นเชิง
ไม่ได้ออกมาแค่ไม่กี่สิบปี พรรคกระบี่กลับตกต่ำลงถึงขั้นนี้ไปแล้ว
ชั่วขณะนั้นซ่งซิ่นหรูเกิดความรู้สึกมากมาย ในใจไม่เป็นสรรพรส ขณะมองดูสถานที่ที่ตนสู้และสร้างขึ้นตลอดชีวิต ก็คับข้องอึดอัดใจจนไม่อาจบรรยาย
ทุกคนร้องอุทาน มีคนสองสามคนรีบเข้าไปประคองกวนซิ่วเหนียน เห็นทรวงอกของเขาอาบเลือด ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ แล้วสลบเหมือดไปทั้งอย่างนั้น
สิ่งที่ทำให้เขาสลบ ก็คือก้อนหินสีดำขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่ง
“เจ้าบ้าไปแล้วเฉินจื่อลัว! ลงมือกับสหายร่วมพรรค หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าอาจารย์ตู้เฟิงจื่อของเจ้าเคยสอนอะไรเจ้าไปบ้าง” หวังเยวี่ยตวาดเสียงเฉียบขาดด้วยใจที่เดือดพล่าน
“ข้าจะรายงานเรื่องวันนี้กับอาจารย์ของเจ้าตามความจริง ข้าอยากจะเห็นนักว่าในสี่สายของพรรค…”
“พูดอีกประโยคข้าฆ่าเจ้าแน่”
เสียงชะงักกลางคัน ลู่เซิ่งตัดบทหวังเยวี่ยซึ่งหน้า
ครั้งนี้แม้แต่เหยียนชิ่นหรงก็อ้าปากค้าง มองดูลู่เซิ่งอย่างฉงน
หวังเยวี่ยริมฝีปากสั่น เพลิงโทสะก่อตัวขึ้นในใจ พร้อมปะทุได้ตลอดเวลา
เขาเป็นผู้อาวุโสมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่มีศิษย์กล้าพูดกับเขาเช่นนี้
แต่จิตสังหารที่ไม่เหมือนของปลอมสายนั้นทำให้เขาตัวสั่นจนไม่อาจต่อล้อต่อเถียงได้อีก
“พอได้แล้ว เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าเฉินจื่อลัวขอประกาศออกจากพรรคกระบี่บรรณภูผา ทำตามที่พวกเจ้าต้องการ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่นำพา ก่อนจะหมุนตัวนำโซ่และลูกตุ้มเหล็กเดินออกจากซุ้มประตู
ศิษย์พรรคกระบี่บรรณภูผาที่อยู่ด้านหลังเห็นเงาร่างของเขาออกห่างไปอย่างรวดเร็ว จึงค่อยโล่งอกเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ไม่ทันรู้สึกตัวด้วยคับข้องใจอยู่ชั่วขณะ รอได้สติกลับมา พวกเขาค่อยนึกขึ้นได้ว่า เกิดเมื่อครู่ลู่เซิ่งอาละวาด อย่างนั้นพวกเขาจะเจอปัญหาเข้าจริงแล้ว
ทางลู่เซิ่งเองเมื่อลงเขาไปได้ครึ่งทาง ก็มีเงาร่างสะโอดสะองสองสายพุ่งมา เป็นเหอชู่หร่วนกับเหอชู่เซียงที่เพิ่งเดินทางมาถึงนั่นเอง
“พี่ใหญ่เฉิน ท่านขึ้นเขาไปตรวจสอบสถานการณ์ไม่ใช่หรือ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” เหอชู่เซียงตะโกนถามอย่างสงสัย
เหอชู่หร่วนมองลู่เซิ่งด้วยสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน นางสังเกตเห็นโซ่ที่รัดพันบนร่างและของหนักที่เขาแบกไว้บนหลัง
“พี่จื่อลัว เป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นหรือ” นางรีบถาม
“ไม่มีอะไร ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ข้าน่าจะถูกขับออกจากพรรคกระบี่บรรณภูผาแล้ว” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“อะไรนะ!”
พวกนางอุทานขึ้นแทบจะพร้อมกัน
เมื่อครู่เพิ่งจะกลับไปช่วยพรรค แต่ตอนนี้ดันบอกว่ากำลังจะถูกขับออก การหักมุมรุนแรงแบบนี้ทำให้ทั้งสองตอบสนองไม่ทัน
“ตอนนี้ข้าจะไปแล้ว พวกเจ้าหลีกทางหน่อย” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ท่านจะไปไหน” เหอชู่หร่วนที่ตกใจก็พลันได้สติ ลู่เซิ่งไม่มีทางเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นแน่ ดูเหมือนจะเป็นไปได้จริงๆ เสียด้วย
“ไปหาอาจารย์กับศิษย์พี่ก่อน ส่วนเรื่องอื่นไว้ว่ากัน” แม้ลู่เซิ่งจะมีแผนการขั้นต้นแล้ว แต่ย่อมไม่บอกกับ เหอชู่หร่วนแน่นอน
“น่าเสียดาย…เช่นนั้นก็ได้ ขอมอบสิ่งนี้ให้ท่าน ขอให้ท่านเดินทางราบรื่น” เหอชู่หร่วนคบหากับลู่เซิ่งเป็นสหายมาช่วงหนึ่ง รู้สึกว่าความจริงคนนี้ไม่เลวทีเดียว ทั้งสองคนจึงมีความผูกพันกันในช่วงเวลานี้อยู่บ้าง
นางโยนถุงยาให้ถุงหนึ่ง
“ด้านในบรรจุผงยารับประทานรักษาอาการบาดเจ็บภายในและยาทาสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บภายนอกไว้ ยังมีพวกผ้าพันแผลยามฉุกเฉินด้วย”
ลู่เซิ่งรับไว้พลางพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก ก่อนจะเดินผ่านร่างทั้งสองลงเขาต่อไป
เหอชู่หร่วนมองตามเงาหลังของเขาด้วยความเศร้าสร้อยเล็กน้อย อย่างไรก็ถือเป็นสหายที่เข้ากันได้ดี
“อะไรกัน ท่านพี่ชอบเขาจริงๆ หรือ” เหอชู่เซียงถามอย่างประหลาดใจ
“แค่รู้สึกช่วยอะไรไม่ได้ก็เท่านั้น” เหอชู่หร่วนส่ายหน้า
“แล้วพวกเรายังจะไปพรรคกระบี่บรรณภูผาอีกหรือไม่”
“ไม่ไปแล้ว กลับกันเถิด ท่านพ่อคงรอจนร้อนใจแล้ว” เหอชู่หรวนหมุนตัวกลับโดยไม่อาจรู้ได้ว่าเหตุใดจึงหมดอารมณ์
เหอชู่เซียงแลบลิ้น รู้ดีว่าพี่สาวอารมณ์ไม่ดี ก่อนจะติดตามไปโดยไม่พูดอะไรอีก
พรรคกระบี่บรรณภูผาถูกจู่โจม แต่กลับขับไล่มหาปรมาจารย์หวังโหวจงแห่งฝ่ายอธรรมไปได้สำเร็จภายใต้การดูแลของผู้อาวุโสสูงสุดที่เร้นกายมาหลายปี
ไม่นานข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วยุทธจักร
มีคนบนยุทธจักรส่วนหนึ่งเห็นร่องรอยของหวังโหวจงที่ออกจากเขาบรรณภูผาด้วยสภาพได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ข่าวนี้จึงได้รับการพิสูจน์ยืนยันหลายครั้ง
มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่ทราบว่าความจริงแล้วเป็นศิษย์สายย่อยที่มีชื่อว่าเฉินจื่อลัวต่างหากที่แก้ไขสถานการณ์ ขับไล่มหาปรมจารย์หวังโหวจงไปได้
แต่เมื่อข้อมูลที่แท้จริงนี้กระจายออกไป กลับไม่มีใครเชื่อเพราะไร้ซึ่งหลักฐาน
ไม่นานต่อจากนั้น พรรคกระบี่บรรณภูผาก็ประกาศว่า เฉินจื่อลัวผู้เป็นศิษย์ถูกถอนคุณสมบัติศิษย์ของพรรคกระบี่เพราะทรยศสำนัก ไม่ใช่ศิษย์ทางการของพรรคกระบี่บรรณภูผาอีกต่อไป
…
ณ แคว้นโชคลาภที่อยู่ห่างจากเขาบรรณภูพานับพันลี้ ในคฤหาสน์ไข่มุก
ยามดึกสงัด คนกลุ่มใหญ่กำลังจุดไฟเผากองฟางในนาข้าวที่เพิ่งถูกเก็บเกี่ยวไปไม่นาน
เพลิงพวยพุ่งขึ้นสามหมี่กว่า คนกลุ่มใหญ่จับมือร้องเพลงและเต้นระบำกันอยู่รอบกองไฟ
โดยรอบๆ มีคนตีของสิ่งคล้ายท่อนไม้เพื่อบรรเลงทำนอง มีคนร้องเพลงดังสุดเสียง พวกเด็กๆ วิ่งไล่กันไปมา วิ่งจากกระโจมหนึ่งไปอีกกระโจมหนึ่งเพื่อขอขนมอย่างสนุกสนาน
หวงเจินพิงอยู่บนกองฟาง มองดูศิษย์น้องเข้าร่วมกับฝูงชนที่กำลังเต้นรำทำเพลงเพื่อฉลองให้แก่การเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ อารมณ์ค่อนข้างไม่เลวทีเดียว
ผ้าสีเทาผืนหนึ่งกางอยู่ด้านข้างเขา บนนั้นวางขนมเปี๊ยะไส้หวาน ถั่ว เมล็ดแตงโม และผลไม้ไว้ส่วนหนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนท้องถิ่นมีน้ำใจงามมอบให้
นับตั้งแต่ออกจากบู๊ตึ๊ง เขาก็แสวงหาชีวิตที่ตัวเองต้องการอย่างเต็มที่ ศิษย์น้องสองคนไม่ได้รับการกดดันจากคนของบู๊ตึ๊งเช่นกัน จึงถือโอกาสติดตามเขาออกมากลายเป็นศิษย์ทรยศสำนักเข้าร่วมกับฝ่ายอธรรม
ครั้งนี้พวกเขามาที่นี่เพื่อตรวจสอบซากศพที่เล่าลือกันในบริเวณนี้ ด้วยหวังว่าจะหาเบาะแสของคดีในตอนนั้นเจอบ้าง
หนำซ้ำยังมีอีกข่าวหนึ่ง ว่ากันว่ามหาปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมหวังโหวจงสร้างสำนักสามานย์ขึ้นอีกครั้งที่นี่ ขณะเดียวกันก็เรียกเก้าสำนักสิบหกวิถีมารวมตัวกันเพื่อถกเรื่องยิ่งใหญ่ของฝ่ายอธรรม!
กองไฟที่อยู่ไม่ไกลออกไปลุกไหม้อย่างเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ ฝูงชนคึกคักยิ่งกว่าเดิม หวงเจินกินผลไม้ไปพลาง เหลียวมองรอบข้างไปพลาง ตามข่าวที่เขาได้ซื้อมา เวลาในการพบปะสมควรจะเป็นคืนนี้
เหตุใดแถวนี้ จึงไม่เห็นคนในยุทธจักรสักคน
แต่อยู่ๆ หูเขาก็กระดิก คล้ายได้ยินเสียงลม
หวงเจินพลันตื่นตัว ทะลึ่งลุกขึ้น ก่อนจะพุ่งไปในความมืดไกลออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง
เฉียดผ่านฝูงชนข้างกายเขาไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที เขาก็ออกจากฝูงชนและกองเพลิง มาถึงท้องนาผืนใหญ่ที่เก็บเกี่ยวเสร็จแล้วผืนหนึ่ง
เวลานี้มีคนไม่น้อยมารวมตัวกันบนนาผืนนี้
ทุกคนต่างก็อยู่ห่างกันอย่างน้อยสองสามหมี่
หวงเจินมองผ่านๆ ทันทีที่เห็นคนพวกนี้ชัดเจนก็พลันตื่นตระหนก
คนที่อยู่รอบข้างแทบไม่มีใครเป็นคนธรรมดา ทั้งหมดคือยอดฝีมือฝ่ายอธรรมที่มีชื่อเสียงในยุทธจักรทั้งสิ้น
ในหมู่พวกเขาบ้างก็เป็นอัจฉริยะจากสำนักใหญ่ๆ ทรยศสำนักหนีออกมา บ้างก็เป็นจอมยุทธ์ที่อยู่ฝ่ายอธรรมและฝ่ายมารมาตั้งแต่เกิด
อีกทั้งยังมีโจรผู้ร้ายที่สำเร็จจากการร่ำเรียนเอง
“ถึงทุกคนจะเห็นด้วยกับการแบ่งเขตเป็นเหนือ ใต้ ออก ตก ตามความเห็นของมหาปรมาจารย์ แต่ถ้าไม่เจอคนที่มีคุณสมบัติมากพอ เช่นนั้นอย่าโทษพวกเราพี่น้องมนุษย์หน้าเหยี่ยวลงมือฉกชิงโดยไม่มีคุณธรรมเล่า” เงาสีดำที่มีรูปร่างเตี้ยเล็กพลันกล่าวเหน็บแนมขึ้นท่ามกลางคนชั่วที่อยู่ล้อมรอบ
“พวกเราล้วนได้รับการจัดแบ่งงาน ในเมื่อตอนนี้ทางใต้ไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสม มิสู้ให้วีรชนแห่งแดนเหนืออย่างพวกเราแบ่งคนไปปกครองทางใต้ดีกว่า” มีเสียงกล่าวเสริม
“ทางเหนือมีชวงเหอหู่กับเจินชิงหู่ปกครอง กอปรกับวีรชนจากสิบสามวิถี รับมือฝ่ายธรรมะได้เหลือเฟือ”
“ทางตะวันออกมีผู้อาวุโสแมงป่องเก้าหางนำสี่สำนักใหญ่สะกดไว้ ขอแค่ตัวอาจารย์ไม่อยู่ ก็สามารถรับมือไอ้พวกลาหัวล้านของสำนักเส้าหลินได้โดยไม่มีปัญหาเช่นกัน”
“มีเพียงทางใต้กับทางตะวันตก…เหอะๆ” เสียงแหลมยิ้มเยาะในความมืด “ข้าว่าวันนี้มีแต่ขอให้ผู้อาวุโสดาบมารแดงขึ้นนำบัญชาการทั้งสามลัทธิห้าสำนักใหญ่เท่านั้น ถึงอาจจะต้านทานพวกนางชีจากง้อไบ๊ได้”
“ผายลม! สำนักประจัญทะเลสาบของพวกเราไม่ยินยอม!”
“ถึงดาบมารแดงจะแข็งแกร่ง แต่นั่นคือชื่อเสียงในแดนเหนือ ทางใต้ไม่แน่ว่าจะใช้ได้”
“ไม่เป็นไร ให้ท่านผู้เฒ่ามาลองเถิด ดูว่าจะสะกดไหวหรือไม่ ถ้าหากไม่ไหว ก็อย่าโทษที่พวกเราไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน!”
……………………………………….