ชายชราผู้นี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ในลานคฤหาสน์เช่นเดียวกับชายชราที่เหมือนกับเขาอีกสามคน
ทั้งสี่คนคนนี้คือประมุขพรรคและสามผู้อาวุโสในปัจจุบันของพรรคกระบี่บรรณภูผา
“ไม่ต้องมากมารยาทไป พวกเจ้ามายืนอยู่ด้านหลังข้าก่อน” ตู้เฟิงจื่อผู้เป็นชายชรายิ้มพลางพยักหน้า
การประลองกระบี่ในครั้งนี้ สายของเขาให้หนิงเหมยลงมือเป็นหลัก
เขาค่อนข้างมั่นใจในตัวศิษย์เอกผู้นี้ หนิงเหมยได้อันดับสองสองครั้งและอันดับหนึ่งสองครั้งในการประลองหลายครั้งที่ผ่านมา
กล่าวได้ว่ามีพลังเหี้ยมหาญยิ่ง
ส่วนเฉินจื่อลัวที่อยู่ด้านหลัง เขายังอายุน้อย แม้คุณสมบัติจะพอไหว แต่ในการชุมนุมครั้งนี้ ยังไปไม่ถึงขั้นประลองกับศิษย์เอกอย่างหนิงเหมย
ตู้เฟิงจื่อกวาดตามอง สายตากวาดผ่านร่างศิษย์เอกของสามสายที่เหลืออย่างรวดเร็ว
กวนซิ่วเหนียน ศิษย์เอกของศิษย์พี่ประมุขพรรคในหมู่สามคนที่เหลือ เชี่ยวชาญวิชากระบี่มัจฉาทะยานจาก บุปผา มีอานุภาพน่าตกตะลึง กอปรกับออกท่องไปทั่วยุทธจักรมาหลายปี จึงยากตัดสินผลแพ้ชนะกับหนิงเหมย
นอกจากนี้ อีกสองคนที่เหลือก็มีอานุภาพไม่เท่าไร เพิ่งจะฝึกวิชากระบี่ขั้นสูงได้ไม่นาน ประสบการณ์การต่อสู้ไม่เพียงพอ ยังไม่ถึงขั้นแบกรับหน้าที่ด้วยตัวคนเดียวได้
‘ดูเหมือนครั้งนี้จะเป็นการตัดสินระหว่างหนิงเหมยกับกวนซิ่วเหนียนอีกแล้ว’ ตู้เฟิงจื่อมองศิษย์พี่ประมุขพรรคโดยไม่แสดงท่าที
หลี่อวี้หลันประมุขพรรคกระบี่บรรณภูผาเผยสีหน้าสงบนิ่ง วางกระบี่ลายสนไว้บนตัก มือลูบเคราขาวใต้คางช้าๆ
หลี่อวี้หลันเห็นความเก่งกาจที่โดดเด่นในตัวหนิงเหมยทันทีที่นางเข้ามา
ดูเหมือนตู้เฟิงจื่อจะสั่งสอนได้ดี ใครจะไปนึกว่าสตรีนางหนึ่งจะฝึกฝนอย่างหนักมาถึงระดับนี้ได้
รอจนคนจากทั้งสี่สายพร้อม ที่ควรนั่งก็นั่ง ที่ควรยืนก็ยืนเรียบร้อยแล้ว
หลี่อวี้หลันก็ปรบมือเบาๆ จากนั้นเด็กคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างก็ตีฆ้องขึ้น
โหม่ง!
เสียงฆ้องดึงดูดความสนใจของทุกคนไว้ทันที
“การแข่งขันประลองทั้งสี่สายประจำปีนี้ยังคงจัดขึ้นที่นี่เหมือนเดิม แม้จะมีศิษย์หลายคนไม่ได้กลับมา แต่กฎก็ย่อมต้องเป็นกฎ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเพราะใครคนใดคนหนึ่ง”
เขาพูดจาอย่างฉะฉาน คำพูดทั้งหมดเกี่ยวกับว่าพรรคกระบี่ควรทำลายความชั่วร้ายขจัดความเลวทราม สังหารปีศาจกำจัดมาร และผดุงความยุติธรรมอย่างไร
จากนั้นผู้อาวุโสอีกสามคนที่เหลือก็สรุปการพัฒนาของสายตัวเองในปีนี้อย่างคร่าวๆ ต่อมาจึงเป็นการประลองอันเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด
ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านหลังหนิงเหมยกับตู้เฟิงจื่อด้วยสีหน้าเยือกเย็น
กฎของโลกใบนี้มีขีดจำกัดน่ากลัวถึงขีดสุด แต่นี่ไม่ได้สร้างความลำบากให้เขา ในเมื่อใช้ปราณปฐพีไม่ได้ ก็ใช้จิตวิญญาณตรวจสอบอาการบาดเจ็บภายในและส่วนที่ฝึกฝนผิดพลาดของร่างนี้แทน
จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงถึงขั้นควบคุมข้อผิดพลาดในระดับห่วงโซ่ยีนได้อย่างรวดเร็ว
ในเวลาครึ่งชั่วโมงกว่า ลู่เซิ่งได้ปรับทักษะการพัฒนามากมายของวิชากระบี่สามวิชาที่ร่างนี้ฝึกฝนจนสำเร็จ
กอปรกับประสบการณ์การต่อสู้และขอบเขตมรรคายุทธ์ของร่างหลัก ต่อให้คุณสมบัติร่างกายและระดับวิชากระบี่ในตอนนี้จะอยู่ในระดับศิษย์ธรรมดาระดับรองของสำนัก แต่หากต่อสู้จริงๆ หนิงเหมยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
หลังจากจัดการและตรวจสอบอาการบาดเจ็บภายในเรียบร้อยแล้ว ลู่เซิ่งก็ไม่พูดมากอีก เตรียมจะใช้พลังอาวรณ์ยกระดับพลังและความแข็งแกร่งของร่างกายร่างนี้ให้เร็วที่สุด
แต่ในตอนนี้เอง การประลองก็มาถึงรอบของหนิงเหมยที่อยู่ด้านหน้าเขาแล้ว
“ศิษย์น้องหนิง ลงประลองเถิด”
กวนซิ่วเหนียนมีสีหน้าองอาจ บุคลิกดูผ่าเผยปลอดโปร่งเล็กน้อย ฝีมือความเร็วกระบี่ก็ไม่อาจนับได้ว่าโดดเด่น แต่ก็เป็นอันดับหนึ่งอันดับสองในหมู่คนรุ่นเดียวกัน
ตอนนี้เขามองหนิงเหมยด้วยสายตาร้อนแรง บุรุษหนุ่มแอบมองศิษย์น้องที่มีพลังร้ายกาจคนนี้มานานแล้ว
น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะเข้าหากี่ครั้ง อีกฝ่ายก็ยังคงไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่กวนเชิญ” หนิงเหมยสีหน้าราบเรียบขณะชักกระบี่และก้าวไปด้านหน้า
ทั้งสองคนถือปลายกระบี่ลงดิน เริ่มคุมเชิงกัน
ลู่เซิ่งมองภาพนี้อยู่ด้านหลังเงียบๆ เขาไม่ได้สนใจชมดูจอมยุทธ์ระดับนี้ จึงเตรียมจะเริ่มใช้ดีปบลู
อยู่ๆ ก็มีเสียงแหลมเล็กแผ่วเบาดังมาจากด้านหลัง
เสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทุกคนที่อยู่รอบโดยรวมถึงประมุขพรรคต่างก็ได้ยิน ทว่าไม่มีใครตอบสนอง
ลู่เซิ่งไม่เข้าใจสาเหตุ จึงหันกลับไปมอง เห็นเงาร่างสะโอดสะองหนึ่งสีม่วงหนึ่งสีแดงนั่งชมดูการประลองกระบี่อยู่ข้างพุ่มดอกไม้ใกล้ๆ
พอพบว่าลู่เซิ่งเห็นพวกนางแล้ว หญิงสาวทั้งสองคนนี้ก็ไม่กลัวคนแปลกหน้า กลับเข้ามาใกล้กว่าเดิม
“นี่ๆๆ พี่ชาย ท่านว่าฝั่งไหนจะชนะหรือ” หญิงสาวสวมกระโปรงสีม่วงแตะแขนลู่เซิ่งพลางถามเสียงเบา
“ข้าเป็นแค่ศิษย์ธรรมดา มองไม่ออกหรอก” ลู่เซิ่งส่ายหน้าเล็กน้อย “นอกจากนี้ ที่นี่เป็นสนามประลองของพรรคกระบี่บรรณภูผาของพวกเรา พวกเจ้าแอบเข้ามาจากที่ใดกัน ข้าว่าพวกเจ้ารีบออกไปดีกว่า จะได้ไม่มีปัญหา”
เขาพูดด้วยเจตนาดี เพียงแต่พอหญิงสาวสองคนนี้ได้ยิน กลับพากันลืมตาโต หญิงสาวสวมกระโปรงสีม่วงเผยสีหน้างุนงงขณะมองลู่เซิ่ง ก่อนจะชี้ตนเองและกล่าวอย่างงงงวยว่า “ท่าน...ไม่รู้จักข้าหรือ”
ทุกๆ ปีนางมาดูการประลองของพรรคกระบี่บรรณภูผาเป็นครั้งคราว กับบุรุษหนุ่มก็ไม่ได้รู้จักมักจี่อันใดเป็นพิเศษ นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้อีกฝ่ายจะกล่าวคำเตือนเช่นนี้
ลู่เซิ่งได้สติกลับมา ในเมื่อประมุขพรรคไม่ได้ว่าอะไร เช่นนั้นก็แสดงว่ารู้จักหญิงสาวสองนางนี้
พอนึกขึ้นได้เขาก็คร้านจะสนใจอีก
“ไม่รู้จัก” เขาตอบเสร็จก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
มิคาดว่าหญิงสาวสวมกระโปรงสีม่วงกลับเกิดความสนใจขึ้นมา
“ท่านไม่รู้จักข้าจริงๆ หรือ” ใบหน้างดงามของนางเผยความตื่นเต้น
ลู่เซิ่งกลอกตาขาวและหันหน้ากลับไป ไม่คิดจะพูดอะไรอีก
ครั้งนี้หญิงสาวสวมกระโปรงสีแดงกลับอดหัวเราะคิกไม่ได้
ด้วยสถานะของพวกนางทั้งสองคน ถึงกับมีคนในพรรคกระบี่บรรณภูผาไม่รู้จัก นี่ช่างน่าเหลือเชื่อโดยแท้
ปกติเวลาศิษย์ในพรรคธรรมะเจอพวกนาง ต่างก็หลบเลี่ยงราวกับเจองูเจอแมงป่อง แต่ตอนนี้ถึงกับเจอคนหน้ามึนเช่นนี้
พวกนางกลับไม่รู้ว่า ลู่เซิ่งรับความทรงจำของเฉินจื่อลัวมาแค่ส่วนหนึ่ง เพียงทายออกว่าพวกนางอาจมีสถานะพิเศษ ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่รู้แล้ว
เฉินจื่อลัวคนก่อนอาจจะรู้จักพวกนาง แต่พอลู่เซิ่งจุติลงมา เมื่อไม่ได้หลอมรวมความทรงจำ เช่นนั้นก็เป็นกระดาษขาวเข้าจริงแล้ว
“น่าสนใจๆ! สวัสดี ข้าชื่อเหอชู่หร่วน[1] ท่านชื่ออะไรหรือ?” หญิงสาวกระโปรงสีม่วงมองลู่เซิ่งด้วยความสนอกสนใจ ราวกับเห็นของเล่นน่าสนุก
“เหอชู่หร่วนหรือ” ลู่เซิ่งกวาดตามองหน้าอกของหญิงสาวสวมกระโปร่งสีม่วงด้วยสีหน้าพิลึก จะยังมีตรงไหนอ่อนนุ่มที่สุดได้อีก
ครั้นสังเกตเห็นสายตาของลู่เซิ่ง แทนที่จะโกรธหญิงสาวสวมกระโปรงสีม่วงผู้นี้กลับดีใจ ตอนนี้นางอายุใกล้จะครบยี่สิบห้าแล้ว กลับไม่มีใครยอมคุยกับตนสักคน
ไม่ใช่ว่านางไม่งดงาม และไม่ใช่ว่านางรูปร่างไม่ดี หากเป็นเพราะบิดามารดาของนางดุร้ายเกินไป
จนทำให้ตอนนี้นางหาคนที่จะแต่งงานด้วยไม่ได้แล้ว
ตอนแรกนางนึกว่าในยุทธจักรนี้ไม่มีใครไม่รู้จักนาง นึกไม่ถึงว่าจะมีคนหนุ่มที่ไม่รู้จักนางอยู่จริง
หนำซ้ำยังเป็นศิษย์พรรคกระบี่บรรณภูผาที่อยู่ใกล้เรือนพวกนางอีกต่างหาก
นับว่าพบได้ยากนัก
“นางคือเหอชู่หร่วนนะ!? ท่านไม่รู้จักหรือ” ครั้งนี้เป็นคราวหญิงสาวสวมกระโปรงสีแดงงงงวยบ้างแล้ว
“พวกเจ้าสองคนนี่เลิกโหวกเหวกเสีย ไม่มีอะไรก็อย่ามากวนข้าเลย ข้าตื่นแต่เช้า ยังอยากหลับอีกสักตื่นอยู่” ลู่เซิ่งกลอกตาขาว กล่าวอย่างหงุดหงิด
“นางชื่อเหอชู่หร่วน ข้าชื่อเหอชู่เซียง[2] ท่านยังไม่รู้จักอีกหรือ!?” หญิงสาวสวมกระโปรงสีแดงถามอย่างแปลกใจอีกรอบ
ลู่เซิ่งคร้านจะสนใจพวกนาง ยืนพิงเสาด้านหลังก่อนจะปรือตางีบหลับ
ดวงตางดงามของเหอชู่หร่วนเหลือบพิจารณาร่างกายของลู่เซิ่งอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เห็นเขามีบุคลิกใช้ได้ ใบหน้านับว่าหล่อเหลา แถมยังเป็นศิษย์ของพรรคกระบี่บรรณภูผา มีสถานะไม่เลวทีเดียว
ไม่แน่ว่าครั้งนี้ท่านพ่ออาจจะพอใจ แกล้งเป็นคนรักสักพัก เกรงว่าท่านพ่อจะไม่บังคับให้ตนหมั้นหมายแล้ว
เหอชู่หร่วนพลันใจเต้นขึ้นมา นางย่อมไม่อยากจะแต่งออกกับบุรุษสักคนมั่วซั่ว แต่ทว่าที่บิดามารดาหามาให้นั้นมีแต่พวกพุทรานิ่มล้วนไม่น่าสนใจเลยสักนิด
คนที่นางชมชอบนั้นย่อมต้องใจกล้า
คุณชายบัณฑิตหน้าขาวที่ถูกจับตัวมาพวกนั้น อ่อนแออย่างกับนกกระทา ตบใส่ฝ่ามือเดียวก็ตายแล้ว
“พี่ชาย อีกประเดี๋ยวถ้าการแข่งขันจบลง ข้าเชิญท่านไปดื่มสุราเป็นอย่างไร” พอนึกถึงตรงนี้ ดวงตางดงามของเหอชู่หร่วนก็จ้องมอง เอื้อมมือไปวางบนบ่าของลู่เซิ่งก่อนจะกล่าวเสียงแผ่ว
ลู่เซิ่งกวาดตามองนาง ไม่รู้ว่านางมีแผนการอะไรในใจกันแน่
ตอนนี้เขาเพิ่งจะเรียกดีปบลูออกมาเพื่อเตรียมยกระดับวิชากระบี่ อยู่ๆ ก็ถูกขัดจังหวะ จึงไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
“ไม่มีใครบอกเจ้าหรือว่าการรบกวนตอนคนอื่นกำลังจัดการธุระอยู่เป็นพฤติกรรมที่ไม่มีมารยาทมาก”
ธุระหรือ
แต่ท่านบอกว่าท่านง่วงนอนนี่?
สองพี่น้องเหอชู่หร่วนมองลู่เซิ่งด้วยสายตาประหลาด เจ้าหมอนี่กล้าแอบงีบหลับอย่างโจ้งแจ้งลับหลังประมุขพรรคและอาจารย์ ช่างกล้าหาญชาญชัยจริงๆ
“ข้าชวนท่านไปกินข้าวดื่มสุรา ไปหรือไม่ไปเล่า”
“ไม่ไป ข้าไม่รู้จักเจ้าเสียหน่อย ไปกับผีน่ะสิ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างหงุดหงิด
“ไปเถิด คนเราเป็นสหายกันเพราะดื่มสุรา ข้าถูกชะตากับพี่ชาย ไปสังสรรค์ด้วยกันเป็นเรื่องดีออกไม่ใช่หรือ” เหอชู่หรวนกล่าวอย่างเป็นนัย
ลู่เซิ่งกวาดตามองนาง อดยื่นมือไปลูบผมเหอชู่หร่วนไม่ได้
“เป็นสาวเป็นแส้เอาแต่พูดเรื่องพวกนี้ไม่กลัวข้าจะเข้าใจผิดหรือ หน้าตาออกจะสะสวย ไม่ใช่ว่าสมองเพี้ยนหรอกนะ”
“…” สองพี่น้องเหอชู่หร่วนรับมือไม่ทัน พี่สาวถึงถูกลูบผมเชียว
สองพี่น้องต่างตกตะลึง
ยามนี้ยังมีคนกล้าแตะต้องพวกนางโดยไม่สนใจชีวิตอีกหรือ
เห็นว่าชื่อราชาพิษโอสถเป็นของปลอมหรืออย่างไร
เหอชู่หรวนได้สติทันที ก่อนจะตั้งใจสัมผัสกับความรู้สึกที่ถูกคนลูบผมอย่างถี่ถ้วน ความรู้สึกนี้ช่างพิกลนัก
ตั้งแต่เล็กจนโต หากคนอื่นไม่หวาดกลัวนางก็หลบเลี่ยงนาง แม้แต่เหอชู่เซียงก็ไม่กล้าสัมผัสร่างกายของนาง
นี่เป็นครั้งแรก เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่เจอคนกล้าสัมผัสนาง
‘เขาไม่รู้จริงๆ…’ สองพี่น้องสบตากันและคิดในใจ
“นี่ ท่านชื่ออะไร มองไม่ออกหรือว่าแม้แต่ประมุขพรรคกับอาจารย์ของเจ้ายังไม่ยอมสนใจพวกเรา” สุดท้าย เหอชู่หร่วนก็อดเตือนไม่ได้
นางอยากจะเห็นว่าหลังจากคนตรงหน้ารู้เรื่องแล้ว จะทำท่าทางอย่างไร จะหลีกเลี่ยงนางเหมือนหลบงูหลบ แมงป่องเหมือนสหายในอดีตของพวกนางหรือไม่
“มองออกสิ” ลู่เซิ่งตอบอย่างราบเรียบ
“แล้วท่านไม่คิดอะไรเลยหรือ” เหอชู่เซียงตกตะลึง
“จะให้คิดอะไรเล่า เรื่องของคนอื่นไม่เกี่ยวกับข้านี่” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างหงุดหงิด “ข้าไม่ใช่บิดาพวกเขา หรือว่าอุจจาระคนอื่นข้าก็ต้องไปดูหน้าตาของมันด้วยหรือ”
“…” สองพี่น้องมึนงงเพราะหลักตรรกะอันแข็งแกร่งของลู่เซิ่ง เจ้าหมอนี่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินจริงๆ!
ลู่เซิ่งฉวยโอกาสที่สองพี่น้องนิ่งไปมองอินเตอร์เฟซบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนของดีปบลูตรงหน้า แล้วกดปุ่มปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก นอกจากวิชาหลักของร่างหลักบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนแล้ว ก็มีกรอบสามกรอบปรากฏออกมา แบ่งเป็นวิชากระบี่สามชุด
……………………………………….
[1] เหอชู่หร่วน ในภาษาจีนใช้ตัวอักษร 何处软 โดยทั้งสามตัวสามารถแปลได้ว่า ที่ใดอ่อนนุ่ม
[2] เหอชู่เซียง ในภาษาจีนใช้ตัวอักษร 何处香 โดยทั้งสามตัวสามารถแปลได้ว่า ที่ใดหอมหวน