ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 783 คาดไม่ถึง (1)

บทที่ 783 คาดไม่ถึง (1)

ลู่​เซิ่งค่อยๆ​ ฟื้น​ขึ้น​จาก​สติ​ที่​เลือนราง​

‘อือ​…ที่นี่​คือ​…ที่ไหน​กัน​’ ลู่​เซิ่งเหลียว​มอง​รอบข้าง​

ใน​กระแส​วังวน​มิติ​เวลา​ก่อนหน้านี้​ เขา​เหาะ​เหิน​ไป​ยัง​ทิศทาง​ที่​ค่าย​กล​กำหนด​ไว้​ ไม่นาน​นัก​ก็​ไป​ถึงร่อง​แยก​ของ​โลก​ใบ​แรก​ที่​ลอย​อยู่​ใน​ทิศทาง​นี้​

ใน​กระแส​วังวน​มิติ​เวลา​ โลก​ส่วนใหญ่​มีตำแหน่ง​ตายตัว​ จะไม่เกิด​การเปลี่ยนแปลง​ใหญ่​อะไร​

สิ่งที่​เปลี่ยนแปลง​คือ​กระแส​วังวน​ ด้านใน​กระแส​วังวน​มีเส้นทาง​ที่​เชื่อม​ไป​ยัง​โลก​ใบ​ต่างๆ​ เพียงแต่​เส้นทาง​นี้​ปรากฏ​ทางเข้าออก​ที่​แตก​ต่างกัน​ตลอดเวลา​เพื่อ​ใช้เชื่อมต่อ​กับ​โลก​ใบ​อื่น​

ทางเข้าออก​ครั้งก่อน​กับ​ครั้ง​ต่อไป​จะไม่มีทาง​เหมือนกัน​เด็ดขาด​

นี่​คือ​ความ​ซับซ้อน​ของ​กระแส​วังวน​มิติ​เวลา​

‘แต่​เรา​เข้ามา​ใน​ร่อง​แยก​นั้น​ชัด​ๆ ทำไม​จู่ๆ ถึงสลบ​ไป​ล่ะ​’ ลู่​เซิ่งไม่ได้​เกิด​ความรู้สึก​สะลึมสะลือ​มานาน​แล้ว​ นับตั้งแต่​มรรคา​ยุทธ์​ของ​เขา​แข็งแกร่ง​ถึงระดับ​หนึ่ง​ ก็​ไม่เจอ​วิกฤติการณ์​อย่าง​การ​สลบไสล​อีก​

พอ​ฟื้น​ขึ้น​มา เขา​ก็​ค่อยๆ​ ลุกขึ้น​ พบ​ว่า​ตน​นอน​อยู่​ใน​ห้องนอน​ใน​ยุค​โบราณ​ที่​ค่อนข้าง​มีอายุ​แห่ง​หนึ่ง​

เขา​ห่ม​ผ้า​สีขาว​อม​เทา​ผืน​หนา​ ผิว​กำแพง​รอบด้าน​หลุด​ร่วง​ เผย​ให้​เห็น​สีดำ​อม​เทา​ที่​เป็น​ด่างดวง​ข้างใต้​

ข้าง​เตียง​มีหน้าต่าง​ ด้านนอก​มีเสียง​โห่ร้อง​ดัง​มาเบา​ๆ

เครื่องแบบ​สีเทา​ผสม​เขียว​แขวน​อยู่​บน​ผนัง​ฝั่งขวามือ​ ดูเหมือน​เป็น​เครื่องแบบ​รัดรูป​ที่​ทุกคน​จาก​สำนัก​หนึ่ง​จะสวมใส่​เหมือนกัน​ใน​ยุค​โบราณ​ ด้าน​ข้าง​เครื่องแบบ​มีกระบี่​ยาว​สีเทา​อม​เงิน​เรียว​ยาว​แขวน​อยู่​

สายตา​ของ​ลู่​เซิ่งเห็น​บน​ฝัก​กระบี่​สลัก​ตัวอักษร​เล็ก​ๆ ไว้​แถว​หนึ่ง​ว่า​ พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ ร่าง​ร่าง​นี้​ของ​เขา​รู้จัก​ตัวอักษร​จาก​ความทรงจำ​

‘จริง​สิ ความทรงจำ​อื่น​ล่ะ​?!’ เขา​ขมวดคิ้ว​มุ่น​ นี่​เป็นครั้งแรก​ เป็นครั้งแรก​ที่​ไม่ได้​ผสม​กับ​ความทรงจำ​ส่วนใหญ่​ของ​ร่างกาย​หลังจาก​จุติ​ลงมา​ทันที​

ลู่​เซิ่งเลิก​ผ้าห่ม​ออก​แล้ว​ลง​จาก​เตียง​ ก่อน​จะก้ม​มอง​ร่างกาย​ใน​ตอนนี้​ของ​ตน​

เปลือกนอก​ดูเหมือน​มีกล้ามเนื้อ​อยู่​บ้าง​ แต่​ค่อนข้าง​ผอม​ ไขมัน​ใต้​ผิว​หนังกลับ​ไม่มาก​ ดู​ล่ำสัน​นัก​

ลู่​เซิ่งนึก​ทบทวน​อย่าง​ละเอียด​ว่า​ก่อนหน้านี้​ตน​สลบ​ไป​ได้​อย่างไร​ เขา​ถึงกับ​จำไม่ได้​แม้แต่น้อย​

เหมือนกับ​ตอนที่​เพิ่งจะ​เข้ามา​ใน​ร่อง​แยก​ของ​โลก​ใบ​นี้​ เขา​ไป​ชน​ของ​แข็งๆ​ สัก​อย่าง​เข้า​ ทำให้​หมดสติ​ไป​

สำหรับ​ตัวตน​ระดับ​เขา​ การ​หมดสติ​ไป​โดย​อธิบาย​ไม่ได้​เป็นเรื่อง​ที่​น่า​เหลือเชื่อ​จริงๆ​

กอปร​กับ​หา​ความทรงจำ​อะไร​ไม่เจอ​เลย​หลัง​จุติ​ลงมา​ นี่​มีปัญหา​อยู่​บ้าง​แล้ว​

ลู่​เซิ่งใช้จิตวิญญาณ​ดำ​ดิ่งไป​ด้านใน​ร่างกาย​รอบ​หนึ่ง​ ไม่นาน​ก็​ตรวจสอบ​ความ​แข็งแกร่ง​ของ​กฎเกณฑ์​โลก​ใบ​นี้​ได้​

‘หนึ่ง​ใน​สามของ​โลก​มาร​สวรรค์​…สูงขนาด​นี้​เชียว​!?’ โลก​มรรคา​ยุทธ์​เมื่อ​ก่อนหน้านี้​มีความ​แข็งแกร่ง​ของ​กฎเกณฑ์​แค่​หนึ่ง​ใน​สิบ​ส่วน​ของ​โลก​มาร​สวรรค์​เท่านั้น​

แต่ว่า​โลก​ใบ​นี้​กลับ​มีถึงหนึ่ง​ใน​สาม! นี่​แข็งแกร่ง​มาก​แล้ว​

เมื่อ​ไม่ได้​หลอม​รวม​กับ​ความทรงจำ​ ลู่​เซิ่งก็​เริ่ม​พลิก​หา​โดยรอบ​ ไม่นาน​นัก​ก็​เจอ​ข้อมูล​คร่าวๆ​ ของ​ร่าง​ วัยเยาว์​นี้​จาก​ใน​ลิ้นชัก​

ป้าย​สถานะ​แผ่น​หนึ่ง​ คัมภีร์​วิชา​กระบี่​ที่​เขียน​บันทึก​ความเข้าใจ​ไว้​มากมาย​อีก​เล่ม​หนึ่ง​

พอ​เห็น​ของ​สอง​อย่างนี้​ ลู่​เซิ่งพลัน​รู้สึก​สั่น​ไหว​ใน​กาย​ มีภาพ​ที่​ขาด​ๆ หาย​ๆ ปรากฏ​แวบ​ใน​ห้วง​สมอง​ของ​ตน​ทันที​

นี่​เป็น​ตราประทับ​ความทรงจำ​ของ​กาย​เนื้อ​ร่าง​นี้​ ความทรงจำ​ไม่ได้​มีแค่​จิตวิญญาณ​เท่านั้น​ถึงจะบันทึก​ได้​ กาย​เนื้อ​ก็​มีความสามารถ​คล้ายๆ​ กัน​เช่นกัน​ แต่​ไม่ได้​แข็งแกร่ง​เท่า​สมอง​

หลัง​ผ่าน​ไป​ราว​สิบ​กว่า​นาที​ ลู่​เซิ่งก็​จัดระเบียบ​และ​ดูดซับ​เศษความทรงจำ​ที่​ทิ้ง​ไว้​จน​หมด​ จึงค่อย​ทำความเข้าใจ​สถานการณ์​ของ​ตน​ใน​ตอนนี้​ออก​ได้​คร่าวๆ​

ร่าง​นี้​ของ​เขา​มีชื่อว่า​เฉินจื่อลัว​ เป็น​ศิษย์​ธรรมดา​คน​หนึ่ง​ใน​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​

พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​นี้​มีศิษย์​ไม่มาก​ วิชา​กระบี่​คล่องแคล่ว​เปลี่ยนแปลง​ได้​หลากหลาย​

ใน​ยุทธ​จักร​ พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​เป็น​พรรค​ธรรมะ​ที่​ถูก​จัด​อยู่​ใน​อันดับ​ชั้น​รอง​ๆ นอกจาก​เส้าหลิน​ บู๊​ตึ้ง​ และ​ง้อไบ๊​แล้ว​ พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​มีชื่อเสียง​โด่งดัง​ที่สุด​ใน​พันธมิตร​เจ็ด​ขุนเขา​

‘เส้าหลิน​? บู๊​ตึ้ง?​ ง้อไบ๊​? โลก​นี้​ให้​ความรู้สึก​คุ้นๆ​ อยู่​นะ​…’ ลู่​เซิ่งปลด​กระบี่​เล่ม​นั้น​ลง​มาจาก​ผนัง​ แล้ว​ชัก​ออกมา​ดูเบา​ๆ เป็น​กระบี่​ธรรมดา​

เฉินจื่อลัว​หรือ​ร่าง​นี้​เป็น​ศิษย์​ระดับ​รอง​ใน​พรรค​กระบี่​ ปกติ​แล้​วจะ​ฝึกฝน​วรยุทธ์​กับ​ตู้​เฟิงจื่อ​ ศิษย์​น้อง​ของ​ประมุข​พรรค​

เฉินจื่อลัว​เข้า​ร่วมกับ​พรรค​กระบี่​นี้​เมื่อ​ห้า​ปีก่อน​ ตั้งแต่​ตอนนั้น​ถึงตอนนี้​ได้​ฝึกฝน​วิชา​กระบี่​ไป​สามวิชา​แล้ว​

ได้แก่​ วิชา​กระบี่​แผ่ว​พลิ้ว​ วิชา​กระบี่​ฝัน​ดั่ง​เส้นด้าย​ รวมถึง​วิชา​กระบี่​นกกระจาบ​เมฆาหางนกยูง​

กระบี่​นกกระจาบ​เมฆาหางนกยูง​อันเป็น​วิชา​สุดท้าย​ใน​สามวิชา​นี้​เป็น​วิชา​กระบี่​แกน​หลัก​ที่​แท้จริง​ของ​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ เป็น​วิชา​กระบี่​ชั้นสูง​ที่​มีแต่​ศิษย์​ทางการ​เท่านั้น​ถึงจะมีสิทธิ์​รับ​สืบทอด​

เพียงแต่​ไม่ทราบ​ว่า​เพราะอะไร​ วิชา​กระบี่​ชั้นสูง​ที่​เฉินจื่อลัว​ผู้​นี้​เพิ่ง​ได้มา​กลับ​หาย​ไป​อย่าง​กะทันหัน​ใน​ตอนที่​ถูก​ ลู่​เซิ่งจุติ​สิงร่าง​

หลังจาก​จัดระเบียบ​สถานการณ์​เรียบร้อย​ ลู่​เซิ่งก็​สวม​เครื่องแบบ​ศิษย์​สำนัก​ สะพาย​กระบี่​ไว้​บน​หลัง​ แล้ว​เดิน​ออกจาก​ห้องนอน​

ด้านนอก​คือ​เรือน​เล็ก​ๆ ที่​เหมือนกับ​เรือน​สี่ประสาน​ ใน​เรือน​มีบ่อน้ำ​ ข้าง​บ่อน้ำ​มีคนหนุ่ม​สอง​คน​กำลัง​ฝึก​กระบี่​ตาม​แบบแผน​อยู่​

ดวงอาทิตย์​ส่องสว่าง​ครึ่งหนึ่ง​ของ​ตัวเรือน​เป็น​สีทอง​ผ่อง​

“คารวะ​ศิษย์​พี่​เฉิน!”​ ครั้น​คนหนุ่ม​สอง​คน​นั้น​เห็น​ลู่​เซิ่งออกมา​ ก็​วาง​กระบี่​ลง​และ​โค้ง​ตัว​คำนับ​ทันที​

“อื้อ​” ลู่​เซิ่งไม่รู้​ว่า​สอง​คน​นี้​เป็น​ใคร​ แต่​ก็​ไม่เป็น​อุปสรรค​ให้​เขา​ใช้วิชา​จิต​โน้ม​นำ​หา​ข้อมูล​ที่​ตนเอง​ต้องการ​จาก​ปาก​ของ​พวกเขา​

หลัง​ยืน​สนทนา​กับ​คน​ทั้งสอง​สักพัก​ ลู่​เซิ่งก็​เข้าใจ​สถานการณ์​ของ​โลก​ใบ​นี้​คร่าวๆ​

ที่​แห่ง​นี้​แปลกประหลาด​สุดขีด​!

ไม่เพียง​มีเส้าหลิน​ บู๊​ตึ้ง​ และ​ง้อไบ๊​เท่านั้น​ ยังมี​ค่าย​พรรค​ไม่น้อย​ที่​เขา​คุ้น​ชื่อ​ เช่น​ ดาบ​ห้า​เสือ​ล้าง​ตระกูล​ ฝ่ามือ​ทราย​เหล็ก​และ​พรรค​กระยาจก​

สภาพแวดล้อม​เหมือนกับ​สถานการณ์​ใน​เรื่อง​กระบี่​เย้ย​ยุทธ​จักร​ ราชสำนัก​ฟอนเฟะ​ทำให้​การควบคุม​ยุทธ​จักร​ตกต่ำ​ลง​สุดขีด​

ใน​ยุทธ​จักร​อาศัย​สี่พรรค​ธรรมะ​รักษา​กฎระเบียบ​ สี่พรรค​นี้​ได้แก่​เส้าหลิน​ บู๊​ตึ้ง​ ง้อไบ๊​ รวมถึง​พันธมิตร​เจ็ด​ขุนเขา​

‘พันธมิตร​เจ็ด​ขุนเขา​คือ​ห้า​ขุนเขา​กระบี่​ไม่ใช่เหรอ​’ลู่​เซิ่งคิดในใจ​

อีก​จุด​หนึ่ง​ก็​คือ​ ที่นี่​ไม่มีปราณ​กำเนิด​ฟ้าดิน​หรือ​พลังงาน​ฟ้าดิน​ใดๆ​

เหมือนกับ​สมัย​อยู่​บน​ดาว​ปร​ภพ​

ใน​บรรยากาศ​นอกจาก​อากาศ​แล้วก็​ไม่มีพลัง​งานพิเศษ​ใดๆ​ อีก​ ดังนั้น​ลมปราณ​ประเภท​ดูดซับ​แก่นสาร​จาก​ธรรมชาติ​ฟ้าดิน​อะไร​ เมื่อ​มาอยู่​ที่นี่​ ก็​ไม่มีประโยชน์​อย่าง​อื่น​นอกจาก​ใช้เพ่ง​จิต​สงบ​ปราณ​

วรยุทธ์​ของ​ที่นี่​ ความจริง​ส่วนใหญ่​เป็น​ทักษะ​วรยุทธ์​ภายนอก​ที่​อาศัย​ปัจจัย​ทางกายภาพ​อย่าง​ความเร็ว​และ​พละกำลัง​มาสนับสนุน​

หลังจาก​เข้าใจ​เรื่อง​นี้​แล้ว​ ลู่​เซิ่งก็​บอกลา​ศิษย์​น้อง​ทั้งสอง​ไป​อาบน้ำ​ จากนั้น​ก็​เดิน​ออกจาก​ตัวเรือน​ไป​

เขา​ทราบ​จาก​ปาก​คน​ทั้งสอง​ว่า​วันนี้​เฉินจื่อลัว​ต้อง​ไป​เข้า​ร่วมงาน​ชุมนุม​ของ​สำนัก​

เฉินจื่อลัว​ร่ำเรียน​กับ​ตู้​เฟิงจื่อ​ที่​เป็นยอด​ฝีมือ​ใน​สำนัก​ สาย​ตู้​เฟิงจื่อ​ พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​มีทั้งหมด​สี่สาย​ อาจารย์​ของ​พวกเขา​ตู้​เฟิงจื่อ​เป็น​สาย​หนึ่ง​ใน​นั้น​

ทั้ง​สี่สาย​จะจัดการ​ชุมนุม​แข่งขัน​ทุกๆ​ ปี​เพื่อ​ประเมิน​พลัง​ของ​ศิษย์​ทุกคน​ ขณะเดียวกัน​ก็​มีจุดมุ่งหมาย​ใน​การ​เพิ่ม​การแข่งขัน​และ​แรงผลักดัน​ใน​การ​ฝึก​วรยุทธ์​ให้​แก่​ศิษย์​ทุกคน​ด้วย​

สาย​ของ​ตู้​เฟิงจื่อ​มีทั้งหมด​สี่คน​ สอง​คนใน​นี้​ยัง​ไล่ล่า​ยอด​ฝีมือ​พรรค​อธรรม​คน​หนึ่ง​อยู่​ทางใต้​ เลย​กลับมา​ไม่ทัน​ ดังนั้น​การแข่งขัน​ครั้งนี้​จึงให้​หนิง​เหมย​ศิษย์เอก​ของ​ตู้​เฟิงจื่อ​เป็น​ผู้นำ​

ส่วน​เฉินจื่อลัว​หรือ​ลู่​เซิ่งใน​ตอนนี้​ ถูก​จัด​เป็น​อันดับ​สามใน​ศิษย์​สี่คน​ จึงไม่โดดเด่น​เท่าไร​นัก​

แม้เขา​จะนับว่า​มีความสำคัญ​ใน​หมู่​ศิษย์​ทั่วไป​เช่นกัน​ แต่​ใน​สายตา​ของ​สาย​แต่ละ​สาย​แล้ว​ ถือเป็น​ศิษย์​ที่​รู้จัก​ชื่อ​แต่​ไม่สะดุดตา​คน​หนึ่ง​

หาก​ไป​อยู่​ใน​ยุทธ​จักร​ ระดับ​ของ​เฉินจื่อลัว​คือ​พวก​หน้าใหม่​โดดเด่น​ที่​มีอัจฉริยะ​ภาพ​ด้าน​กระบี่​อยู่​เบื้องหลัง​ มีศิษย์​น้อง​คอย​ติดตาม​รับใช้​

นอกจาก​จะใช้เชิดชู​ความ​ร้ายกาจ​ของ​พวก​อัจฉริยะ​หน้าใหม่​ใน​การต่อสู้​แบบ​รวมกลุ่ม​แล้ว​ ก็​ไม่มีประโยชน์​ใดๆ​ อีก​

หลัง​ออกจาก​ตัวเรือน​ ลู่​เซิ่งก็​ไป​ถึงร้าน​ซาลาเปา​แห่ง​หนึ่ง​ที่อยู่​ทางขวามือ​ด้านนอก​ที่อยู่อาศัย​อย่าง​รวดเร็ว​ ก่อน​จะเจอ​ศิษย์​พี่​หนิง​เหมย​ที่​กิน​ซาลาเปา​ไส้เนื้อ​และ​ดื่ม​น้ำเต้าหู้​อยู่​

“เอา​สัก​ถ้วย​หรือไม่​” หนิง​เหมย​ดู​อายุ​ยี่สิบ​สามยี่สิบ​สี่ปี​ รูปร่างหน้าตา​ไม่นับว่า​งดงาม​ แต่​ให้​ความรู้สึก​เยือกเย็น​มีสติปัญญา​

นาง​นั่ง​อยู่​บน​ที่นั่ง​ใช้มือขวา​กด​ด้าม​กระบี่​บน​โต๊ะ​ไว้​ตลอดเวลา​ ใช้เพียง​มือซ้าย​กิน​ซาลาเปา​อย่าง​ช้าๆ

“ไม่ขอรับ​ ขอบคุณ​ศิษย์​พี่​หนิง​” ลู่​เซิ่งส่ายหน้า​พลาง​นั่ง​ตรง​ที่นั่ง​ด้าน​ข้าง​ แล้ว​รอ​นาง​กิน​จน​หมด​

หนิง​เหมย​มาจาก​ตระกูล​วาณิช​ นาง​ถูก​เลี้ยง​ดูเหมือน​ลูกชาย​ตั้งแต่​เด็ก​ๆ เพราะ​เป็น​ลูกสาว​คนเดียว​ ดังนั้น​จึงชอบ​ระบำ​ดาบ​ควง​หอก​ ต่อมา​ได้​ถูก​ส่งมาเรียน​วิชา​ที่​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​

“ดูเหมือน​เจ้าจะมีการเปลี่ยนแปลง​เล็กน้อย​ วิชา​กระบี่​เลื่อน​ระดับ​แล้ว​หรือ​” สายตา​ของ​หนิง​เหมย​ค่อนข้าง​ คม​เฉียบ​ มอง​แวบเดียว​ก็​เห็น​ความแตกต่าง​จาก​ก่อนหน้านี้​ของ​ลู่​เซิ่ง

อย่าง​อื่น​ไม่ต้อง​พูดถึง​ แค่​บุคลิก​ ลู่​เซิ่งก็​แตกต่าง​จาก​เฉินจื่อลัว​อย่าง​ใหญ่หลวง​แล้ว​

เดิมที​เฉินจื่อลัว​เป็น​พวก​เก็บเนื้อเก็บตัว​ไม่พูดไม่จา​ พอ​เจอ​นาง​ก็​ขลาดกลัว​เล็กน้อย​

ทว่า​ลู่​เซิ่งใน​ตอนนี้​นั่ง​อยู่​ข้าง​นาง​อย่าง​เป็นธรรมชาติ​ ไม่มีความเกรงกลัว​แม้แต่น้อย​นิด​

“ยัง​ดี​ขอรับ​ เข้าใจ​ขึ้น​มาบ้าง​” ลู่​เซิ่งตอบ​

หนิง​เหมย​พยักหน้า​ ไม่เอ่ย​อัน​ใด​อีก​ เพียงแต่​กิน​ซาลาเปา​เนื้อ​ต่อ​ ส่วน​ลู่​เซิ่งกลับ​กำลัง​พิจารณา​ผลกรรม​ความปรารถนา​ที่​แท้จริง​ของ​เฉินจื่อลัว​อยู่​

พอ​มาถึงที่นี่​ เขา​ก็​เผชิญ​สถานการณ์​ที่​หา​วิญญาณ​หลงเหลือ​ของ​เฉินจื่อลัว​ไม่เจอ​ทันที​ เมื่อ​ไม่เจอ​วิญญาณ​หลงเหลือ​ ก็​ไม่ทราบ​ว่า​จะต้อง​สะสางผลกรรม​อะไร​ถึงจะหลอม​รวม​จิตวิญญาณ​ได้​

พอ​ทั้งสอง​กินข้าว​เช้าเสร็จ​ หนิง​เหมย​ที่​เป็น​ผู้​นำพา​ลู่​เซิ่งมุ่งหน้า​ไป​ยัง​ถนน​นอก​เรือน​ ไม่นาน​ก็​มีศิษย์​สวม​อาภรณ์​สีขาว​มานำทาง​ให้​

ลู่​เซิ่งใคร่​ครวญถึง​ผลกรรม​ของ​เฉินจื่อลัว​ตลอดทาง​ และ​ขบคิด​ว่า​รอบ​นี้​เกิด​อะไร​ขึ้น​กัน​แน่​ เขา​ถึงได้​หมดสติ​ไป​หลังจาก​จุติ​ลงมา​

จนกระทั่ง​ทั้ง​สามเดิน​ไป​ถึงหน้า​คฤหาสน์​สูงใหญ่​ที่​ก่อ​กำแพงขาว​และ​ปู​กระเบื้อง​หลังคา​สีดำ​ ในที่สุด​ลู่​เซิ่งก็​เจอ​คาม​ทรง​จำสุดท้าย​ของ​เฉินจื่อลัว​ที่ซ่อน​ไว้​ลึก​สุดขีด​ ความทรงจำ​ที่​กระจัดกระจาย​อยู่​น​ร่างกาย​และ​อวัยวะภายใน​เหล่านั้น​ถูก​เขา​รวบรวม​ไว้​ด้วยกัน​ จน​กลายเป็น​เศษเสี้ยว​ความทรงจำ​ส่วนหนึ่ง​ที่​อ่าน​ได้​

‘โรคหัวใจ​แต่กำเนิด​หรือ​’ หลังจาก​ลู่​เซิ่งได้รับ​ความทรงจำ​แล้ว​ เขา​ก็​เกิด​ความสนใจ​เล็กน้อย​ ไม่ได้​มีแค่​โรคหัวใจ​เท่านั้น​ เฉินจื่อลัว​ยังมี​สภาพ​จิตใจ​ประหลาด​ชนิด​ที่​ไร้​ความต้องการ​ใดๆ​ และ​ไม่มีความรู้สึก​ใดๆ​ ตั้งแต่​เกิด​ด้วย​

‘ไม่มีผลกรรม​? ไม่มีความปรารถนา​?’ เขา​อ่าน​ผลกรรม​ของ​เฉินจื่อลัว​จาก​ใน​ส่วนลึก​ของ​เซลล์​

นั่น​ก็​คือ​ไม่มีความปรารถนา​ใดๆ​ เฉินจื่อลัวคน​เดิม​เพียง​ฝึก​กระบี่​ กินข้าว​ และ​นอนหลับ​ไป​เรื่อยๆ​ บน​โลก​ใบ​นี้​เท่านั้น​

เขา​ตอบแทน​ความคาดหวัง​ของ​ครอบครัว​ ตอบแทน​ความคาดหวัง​ของ​อาจารย์​ แต่กลับ​ไม่ได้​ตอบแทน​ความต้องการ​ของ​ตัวเอง​ ใช้ชีวิต​อย่าง​จืดชืด​ไร้รสชาติ​ ไม่มีความหมาย​ใดๆ​

พริบตา​ที่​ลู่​เซิ่งติดตาม​หนิง​เหมย​เข้าไป​ใน​คฤหาสน์​ เขา​ก็​เงยหน้า​มอง​แสงอาทิตย์​ที่​เจิดจ้า​เหนือศีรษะ​

‘ใช้ชีวิต​ให้​พิเศษ​ขึ้น​…อย่างนั้น​หรือ​’

นี่​คือ​ความปรารถนา​ของ​เฉินจื่อลัว​ เป็นความ​ยึดติด​ที่​เบาบาง​มาก​ และ​เป็น​ผลกรรม​ที่​จืดจาง​ยิ่งนัก​

ลู่​เซิ่งถึงขั้น​รู้สึก​ได้​ว่า​ ต่อให้​ตัวเอง​ไม่สะสาง ก็​ดูดซับ​พลัง​แห่ง​วิญญาณ​ได้​ราว​ห้า​ส่วน​แล้ว​

“คำนับ​ท่าน​อาจารย์​!” เวลานี้​หนิง​เหมย​ที่อยู่​ด้านหน้า​ได้​ประสานมือ​คำนับ​ชาย​ชรา​เครา​ขาว​ผู้​มีใบหน้า​อ่อนโยน​คน​หนึ่ง​

ลู่​เซิ่งได้สติ​กลับมา​ รีบ​คำนับ​ชาย​ชรา​ตาม​

“คำนับ​ท่าน​อาจารย์​”

……………………………………….

Options

not work with dark mode
Reset