ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 780 เจอกันครั้งแรก (2)

บทที่ 780 เจอกันครั้งแรก (2)

บทที่ 780 เจอกันครั้งแรก (2)

ลู่เซิ่งยิ้ม

“ตอนแรกข้าจะมายื่นเรื่องขอผลึกแหล่งพลังงาน อยู่ๆ ก็ถูกดึงตัวมา ขนาดลาแล้วก็ยังไม่ยอมให้พักผ่อนเช่นนี้ออกจะเกินไปหรือไม่”

“เรื่องผลึกคุยกันได้ ด้านในสำนักมีผลึกคุณสมบัติสายฟ้าสีเหลืองอยู่ ดีกว่าผลึกดำทั่วไปไม่น้อย เอามาใช้ติดตั้งค่ายกลง่ายดายยิ่ง” ฮัวอวิ๋นจื่อตอบด้วยรอยยิ้ม

“เช่นนั้นก็ดี” ลู่เซิ่งพยักหน้า

“ด้วยสถานะของผู้อาวุโสนอกลู่ สามารถยื่นเรื่องขอผลึกสายฟ้าสิบแท่งอันเป็นหน่วยมาตรฐานได้ทุกปี จำนวน เท่านี้พอใช้งานแน่นอน” ฮัวอวิ๋นจื่อเอ่ยปากอีก

ผลึกเหลืองแท่งหนึ่งมีมูลค่ามากกว่าสิบเท่าของผลึกดำ การตอบสนองด้านพลังงานก็แข็งแกร่งกว่า ผลึกดำมาก ในผลึกนี้ยังบรรจุพลังงานธาตุสายฟ้าบริสุทธิ์เอาไว้ คุณภาพดีกว่าพลังงานเลือดของผลึกดำมาก

ดังนั้นในสถานที่มากมายผลึกสายฟ้าแท่งหนึ่งจึงเทียบเท่ากับผลึกดำสิบกว่าแท่ง ด้วยสถานะและตำแหน่งของลู่เซิ่งในปัจจุบัน ย่อมหาผลึกสายฟ้าได้อย่างง่ายดาย

เพียงแต่แหล่งพลังงานผลึกอื่นๆ นอกจากผลึกดำต่างก็มีการจำกัดจำนวน ไม่ใช่ว่าใช้เงินแล้วจะซื้อได้ ต่อให้ได้มาก็มีการจำกัดปริมาณอยู่ดี

“ยอดเยี่ยมมาก” ลู่เซิ่งพยักหน้า ลองแปลงค่าดู หนึ่งปีเท่ากับใช้ผลึกดำมากกว่าร้อยแท่งโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ย่อมพอใจยิ่งยวด นี่เป็นเพียงหนึ่งในผลประโยชน์ที่เขาได้รับจากการดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสนอก

“สิ่งที่ต้องรบกวนผู้อาวุโนนอกในครั้งนี้ก็คือ แนวหน้าของสำนักปรากฏการบิดเบี้ยวของมิติเวลาที่ผิดปกติขึ้น ผู้อาวุโสหลายคนที่มุ่งหน้าไปตรวจสอบก็ขาดการติดต่อไป พวกเราสามคนเองก็ดูแลจุดสำคัญอยู่หลายแห่ง ทำให้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ดังนั้นมีเพียงผู้อาวุโสนอกลู่ที่กำลังพักผ่อนอยู่เท่านั้นที่มีเวลาว่าง…” เจ้าสำนักหยวนชิงลี่เอ่ยเสียงแผ่ว

“ของตอบแทนในปฏิบัติการครั้งนี้ วันหน้าผู้อาวุโสนอกอยากได้อะไร ข้าจะช่วยลงมือให้ผู้อาวุโสนอกครั้งหนึ่ง” สวีไป่ฮ่าวที่อยู่ด้านข้างสอดปาก ใบหน้าเขาแดงเรื่อเล็กน้อย “อย่างไรนี่ก็เป็นภารกิจประจำปีของข้า กลับต้องขอให้ผู้อาวุโสนอกลงมือแล้ว”

“ได้!” การลงมือของผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงคนหนึ่งคุ้มค่ากับการออกปฏิบัติการครั้งนี้

ลู่เซิ่งข่มความใจร้อนที่อยากจะออกไปเสาะหาดวงตาแห่งความเลวทรามให้เร็วที่สุดไว้ แล้วรับข้อมูลที่สวีฮ่าวไป่ส่งมาด้วยความสงบนิ่ง

การบิดเบี้ยวของมิติเวลาที่ผิดปกติแห่งนั้นแปลกประหลาดยิ่ง วัตถุทั้งหมดต่างเข้าได้ออกไม่ได้ แม้แต่อนุภาคพลังงานหรือลำแสงก็ไม่อาจทะลวงพันธนาการของมันได้

ตอนแรกที่แห่งนั้นมีป้อมรบลอยฟ้าอยู่สิบกว่าลำ ป้อมรบทุกป้อมที่ถูกจัดเป็นขบวนเรือเหาะรบขนาดกลาง มีขอบเขตลวงตาคอยคุ้มครองอยู่ทุกลำ กล่าวได้ว่าเพียบพร้อมด้วยยอดฝีมือ นึกไม่ถึงว่าผู้เข้มแข็งขอบเขตลวงตาที่สะกดดาวดวงหนึ่งได้จะขาดการติดต่อไปเสียเฉยๆ

ลู่เซิ่งอ่านข้อมูลและเอ่ยถามสถานการณ์อีกเล็กน้อย ก่อนจะออกเดินทาง

หลังข้ามมิติผ่านค่ายกลสิบกว่าครั้ง เขาก็มาถึงแถบบริเวณการบิดเบี้ยวของมิติเวลาที่ถูกพูดถึงในข้อมูลอย่างรวดเร็ว

ลู่เซิ่งยืนอยู่กลางนภาดาวที่ยังห่างจากการบิดเบี้ยวอีกหลายหมื่นลี้มองออกไปไกล เกิดความเคลือบแคลงขึ้นมาเล็กน้อย

ด้านหน้าคือมิติจักรวาลที่รกร้างผืนหนึ่ง ไม่แตกต่างจากมิติที่เปล่าเปลี่ยวแห่งอื่น ถ้าไม่ใช่เพราะข้อมูลระบุว่าเป็นตรงนี้ และมีคนนำทางที่ติดตามมาด้วยยืนยันว่าเป็นที่นี่ เขาก็ไม่แน่ใจจริงๆ ว่าที่นี่มีการบิดเบี้ยวของมิติเวลาเกิดขึ้น

“พวกเจ้าจัดตั้งจุดเฝ้าระวังขึ้นรอบๆ ข้าเข้าไปคนเดียวก็พอ” ลู่เซิ่งยกมือขึ้นเพื่อบอกให้คนกลุ่มหนึ่งด้านหลังหยุดนิ่ง

“ขอให้ผู้อาวุโสนอกระวังตัวด้วย” ชายชราเคราเขียวที่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของอาณาเขตนี้กล่าวอย่างจริงจัง

“ไม่ต้องห่วง” ลู่เซิ่งเหินร่างกลายเป็นแสงสีเหลืองพุ่งไปยังความว่างเปล่าผืนนั้น

แสงสีเหลืองเพิ่งจะเข้าไปในมิติแห่งนั้นก็พลันหายเข้าไปด้านในทันที เหมือนถูกอะไรบางอย่างดูดเข้าไป

ทุกอย่างกลับมาเงียบสงบเฉกเช่นก่อนหน้า

ลู่เซิ่งเดินทางอยู่ท่ามกลางอวกาศอย่างเชื่องช้า

มิติผืนนี้แปลกประหลาดถึงขีดสุด

ทุกที่มีแต่ใยแมงมุมสีขาว ใยแมงมุมทุกเส้นใหญ่เท่าแขนเป็นอย่างน้อย พวกมันเหยียดยื่นไปยังที่ไกลแสนไกล

เขาเหลียวมองรอบๆ เห็นแต่ตาข่ายสีขาวชนิดนี้เท่านั้น

ลู่เซิ่งลอดผ่านช่องตาข่ายอย่างระมัดระวัง ช่องตาข่ายมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงหนึ่งหมี่กว่าๆ ต้องระมัดระวังตัวอย่างมากถึงจะหลีกเลี่ยงไม่ให้สัมผัสกับตาข่ายในขณะเหาะเหินได้

‘ของแบบนี้…ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ตามหาป้อมรบที่ตอนแรกเฝ้าอยู่ตรงนี้ก่อนดีกว่า’ ลู่เซิ่งนึกในใจ ไม่มีเวลาวิเคราะห์ว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้น ขอแค่ตามหาป้อมรบหลายลำที่พบอุปสรรคให้ได้ก่อน หากเจอผู้รอดชีวิตที่อยู่ด้านใน อาจจะได้รู้ความจริงของที่นี่ทันที

เขาไม่มีเวลาให้มาผลาญทิ้งที่นี่ ในเมื่อมีข่าวจากครอบครัวแล้ว จะต้องรีบลงมือค้นหาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุกสิ่งที่เหลือให้เป็นเรื่องรองลงไป

แสงสีเหลืองพุ่งอย่างรวดเร็ว หลบลอดตาข่ายซับซ้อนทรงสามมิติไปเส้นแล้วเส้นเล่าอย่างปราดเปรียว

จากมุมมองของลู่เซิ่ง รอบข้างนี้มีแต่ใยแมงมุมไร้ขอบเขต ใยแมงมุมพวกนี้มีกลิ่นหอมจางๆ ฟุ้งตลบอยู่ คล้ายกับมีพิษที่ร้ายแรงถึงขีดสุด

แม้ลู่เซิ่งจะไม่กลัวพิษ แต่ก็ไม่อยากบุ่มบ่ามสัมผัสเข้า เขากลัวจะไปสร้างความตื่นตัวให้มือมืดที่อยู่ที่นี่จนกระทบต่อการช่วยเหลือเข้า

เหาะไปยังศูนย์กลางของมิติ หรือก็คือใจกลางการเหยียดยื่นของใยแมงมุมนับไม่ถ้วน ไม่นาน ลู่เซิ่งก็เริ่มเห็นป้อมรบหลายลำที่ถูกห่อหุ้มกลายเป็นรังไหมสีขาวขนาดใหญ่

ป้อมรบพวกนี้เหมือนกับดักแด้ที่ถูกเส้นใยนับไม่ถ้วนรัดพันไว้ มองผ่านใยแมงมุมกึ่งโปร่งแสง ก็จะเห็นห้องบังคับการที่พังเละทะ สะพานเรือแตกหัก และรอยชนบุบยุบเข้าไปบนป้อมรบที่อยู่ด้านในได้

ป้อมรบเหล่านี้มีทั้งหมดเจ็ดลำ ทุกลำหยุดนิ่ง เหมือนกับสูญเสียแรงขับเคลื่อนทั้งหมดไป

ลู่เซิ่งไม่อาจสัมผัสคลื่นชีวิตใดๆ จากด้านในได้เลย

‘เข้าไปดูก่อนค่อยว่ากัน’ เขาเร่งความเร็วเข้าใกล้ป้อมรบลำหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด

ป้อมรบชนิดนี้คือรุ่นสือเยวี่ยที่สำนักนทีครามสร้างขึ้นเมื่อสองพันสามร้อยปีก่อน ยาวหกพันกว่าหมี่ กว้างสามพันกว่าหมี่ รูปลักษณ์ภายนอกเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามมาตรฐานอย่างแท้จริง เพียงแต่ติดอุปกรณ์ต่อสู้ที่เหมือนปีกเข้าไปสองด้านของตัวป้อมรบเท่านั้น

บนห้องบังคับการตรงหัวเรือมีอักขระเป้ยซ่าลี่ อันหมายถึงโชคลาภและการเดินทางอย่างปลอดภัย ติดอยู่ ทว่าอักขระเป้ยซ่าลี่ที่ต้องการแหล่งพลังงานต่ำสุดเท่ากับหลอดไฟกลับไม่มีแสงสว่างเลยแม้แต่น้อย ดับสนิทโดยสมบูรณ์

ในใจลู่เซิ่งพลันเย็นเยียบขึ้นมา ยิ่งเข้าใกล้สือเยวี่ยเท่าไร เขายิ่งสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นเหม็นเน่าเปื่อยลอยมาปะทะหน้าเท่านั้น

กลิ่นเหม็นชนิดนี้ยากจะบรรยายยิ่ง มันไม่ใช่ว่าได้กลิ่นด้วยรูจมูก หากแต่ขอแค่เห็น ก็จะนึกเชื่อมโยงถึงสิ่งที่มีกลิ่นเหม็นเลวร้ายทุกสิ่งอย่างได้โดยสัญชาตญาณ

สมองจะกระตุ้นความระวังตัวและความขยะแขยงขึ้นโดยอัตโนมัติ

ลู่เซิ่งที่เคยทำภารกิจรักษามามากมายตอนอยู่ที่สมาคมธวัชเหล็ก แทบจะแยกแยะได้ในทันทีว่าเป็นไปได้มากว่ามันอาจจะเป็นกลิ่นอายของพิษอารยธรรมที่เขาเคยเจอมาเพียงไม่กี่ครั้ง

‘หวังว่าจะไม่ใช่สิ่งนั้น…ไม่อย่างนั้นได้ลำบากเข้าจริงๆ แน่’ ลู่เซิ่งเพิ่มความระมัดระวัง

ตุบ

เขาเหยียบลงบนผิวของอุปกรณ์รบที่อยู่ทางซ้ายของป้อมรบอย่างแผ่วเบา สัมผัสใต้เท้าแข็งเป็นอย่างยิ่ง ยากจะจินตนาการว่าป้อมรบที่ทนทานขนาดนี้เสียหายจนถึงระดับนี้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร

ลู่เซิ่งมองไปยังรอยยุบส่วนหนึ่ง แล้วเร่งฝีเท้าเข้าไปหา ก้มมองส่วนยุบลงไป แลเห็นช่องที่ผุผังส่วนหนึ่ง

แม้ช่องจะไม่ใหญ่ แต่ก็มากพอให้เขาเข้าไปได้

ลู่เซิ่งหยุดพักชั่วครู่ก่อนจะยื่นมือไปจับแผ่นโลหะแตกหักตรงปากช่องแล้วออกแรงกระชากอย่างแรง

เสียงโครมดังขึ้นเมื่อแผ่นโลหะหักออก ปรากฏช่องขนาดใหญ่ที่ลู่เซิ่งมุดเข้าไปได้อย่างง่ายดาย

เขากระโดดเข้าไปโดยไม่ลังเล

ตึง

เพิ่งจะเข้าไป ระบบแรงโน้มถ่วงในป้อมรบก็ทำงานทันที เขาหยุดยืนอยู่ในเส้นทางแคบยาวที่มืดสลัวแห่งหนึ่ง

บนเส้นทางยังมีไข่มุกนิรันดร์ที่ใช้ส่องสว่างอยู่ด้วย

อุปกรณ์ชิ้นนี้ทำจากไข่มุกเรืองแสงราตรีที่มีคุณสมบัติพิเศษซึ่งเก็บรวบรวมมา โดยธรรมชาติแล้วส่องสว่างได้ครั้งเดียวถึงหมื่นปี มีอายุการใช้งานยาวนานเป็นพิเศษ

แสงเรืองรองสีฟ้าของไข่มุกนิรันดร์สาดส่องทางเดินเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด แลดูสลัวลี้ลับยิ่ง

ลู่เซิ่งกระชับเสื้อคลุมและสัมผัสป้อมรบอย่างละเอียด ยังคงไม่อาจสัมผัสการเคลื่อนไหวและกลิ่นอายชีวิตใดๆ ได้เลย

เขาเดินไปตามเส้นทางโดยไม่แสดงสีหน้าท่าทาง จากนั้นก็ไปถึงโถงควบคุมใหญ่โดยไม่รู้ตัว

ศพจำนวนมากนอนระเกะระกะอยู่ทั่วโถงใหญ่ สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกประหลาดก็คือ ศพทุกศพเน่าเปื่อยถึงขีดสุดและส่งกลิ่นเหม็นเข้มข้น

ลู่เซิ่งเพียงมองแค่แวบเดียว ในรูจมูกและห้วงสมองก็ปรากฏกลิ่นเหม็นที่เข้มข้นถึงขีดสุดทันที

ศพสตรีวัยเยาว์ที่สวมกระโปรงสั้นและเสื้อแขนสั้นคนหนึ่งในนี้ลอยขึ้นมาพอดี ใบหน้าที่เดิมทีค่อนข้างดีของนางถูกอะไรบางอย่างชอนไชจนเป็นรูพรุน ผิวหน้าบวมอืดเล็กน้อยเหมือนแช่น้ำมานาน แต่ว่าส่วนใหญ่ซีดขาวไม่เหลือความเต่งตึงอีกต่อไป

สิ่งที่ทำให้เขาถอยหลังเป็นเพราะแสงอ่อนๆ ที่ศพของสตรีร่างนี้ปล่อยออกมาอย่างเชื่องช้า

แสงชนิดนี้เป็นสีเหลืองอ่อน ส่องสว่างในรัศมีแค่หนึ่งหมี่เท่านั้น

ทว่าในอาณาเขตหนึ่งหมี่นี้ ขอแค่ถูกปกคลุมในแสงสีเหลืองจากศพสตรี ไม่ว่าจะเป็นพื้น เก้าอี้ หรือว่าศพร่างอื่น ต่างก็เน่าเปื่อยและส่งกลิ่นเหม็นเน่ากว่าเดิม

‘เป็นอย่างที่คิด…พิษอารยธรรมจริงๆ ด้วย…พิษน่ากลัวชนิดนี้ที่ขอแค่เป็นสิ่งมีชีวิตมีสติปัญญาย่อมต้องติดเชื้ออย่างแน่นอน…’ ลู่เซิ่งผุดสีหน้ารังเกียจ

“พิษอารยธรรมไม่มีทางแพร่กระจายจนถึงระดับนี้ได้ เบื้องหลังต้องมีคนคอยควบคุมอยู่แน่!”

แปะๆๆ…

อยู่ๆ ในป้อมรบที่เดิมทีเงียบสงัดเปล่าเปลี่ยวก็มีเสียงปรบมือดังขึ้น

คนสวมหน้ากากสองคนที่ใส่เกราะหนาหนักสีดำและมีวงล้อแสงสีเงินอ่อนจางลอยอยู่ด้านหลัง ยืนขวางเส้นทางที่ลู่เซิ่งอาจจะใช้หลบหนีได้ไว้ทั้งทางซ้ายและทางขวา

ทั้งสองคนนี้คนหนึ่งตาบอดข้างหนึ่ง ผมสั้นสีแดงตั้งชี้ขึ้นยุ่งเหยิง บุคลิกหยิ่งทะนงสุดขีด

อีกคนถือดาบเรเปียร์สายตาราบเรียบ เหมือนกับไม่มีเรื่องใดกระตุ้นความสนใจของเขาได้

“สหายร่วมเส้นทางจากสำนักนทีครามหรือ พวกเราคือหลินเยวี่ยจื้อกับนักพรตเฟิงหลินแห่งสำนักแปลงวายุ มาตรวจสอบความผิดปกติของที่แห่งนี้เช่นกัน” บุรุษตาบอดที่อยู่ทางซ้ายอธิบายเสียงดังฟังชัด

“ข้าลู่เซิ่งผู้อาวุโสนอกแห่งสำนักนทีคราม ไม่ทราบสองท่านมาอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่แล้ว” ลู่เซิ่งผุดสีหน้าแตกตื่นยินดี คล้ายนึกไม่ถึงว่าจะเจอคนเป็นๆ ที่นี่

คนตาบอดกล่าวอย่างประหลาดใจและยินดีเช่นกัน “นึกไม่ถึงว่าจะเป็นผู้อาวุโสนอกแห่งสำนักนทีครามในข่าวลือ ข้าน้อยหลินเยวี่ยจื้อ มาที่นี่ได้ราวสิบวันแล้ว พวกเราเดิมทีคิดจะตัดผ่านที่นี่จากอีกทิศทางหนึ่ง ตอนนี้หลังจากตรวจสอบที่นี่แล้ว บวกกับข้อมูลจากสำนักนทีคราม กลับนึกไม่ถึงว่าที่นี่จะเกิดความผิดปกติบางอย่างขึ้น!”

“ความผิดปกติหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว “ความผิดปกติเช่นใดกัน”

“ก็เช่น…นี้อย่างไรเล่า!”

ทันใดนั้นคนตาบอดก็พุ่งตัวเข้าใส่ลู่เซิ่งทันที

ตูม!

ร่างของเขาระเบิดออกในพริบตาเดียว เลือดเนื้อนับไม่ถ้วนพร้อมกับแรงระเบิดอันรุนแรง บวกกับการเสริมพลังจากพลังงานพิเศษบางอย่าง ทำให้เกิดแรงกระแทกที่ไม่ธรรมดา

ลู่เซิ่งเพิ่งเตรียมจะหลบหลีก กลับโดนระเบิดใส่เต็มหน้า

……………………………………….

Options

not work with dark mode
Reset