ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 768 อยู่กันพร้อมหน้า (2)

บทที่ 768 อยู่กันพร้อมหน้า (2)

บทที่ 768 อยู่กันพร้อมหน้า (2)

‘…จากนั้นจอมยุทธ์จะบุกเบิกดวงดาวได้หนึ่งฐาน มหาจอมยุทธ์บุกเบิกได้สองฐาน ยอดวรยุทธ์บุกเบิกได้สามฐาน ราชาวรยุทธ์กลับแตกต่างออกไป’

ลู่เซิ่งหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา บนกระดาษใช้ดินสอถ่านวาดจุดลมปราณอย่างหยาบๆ บนร่างกายคนเอาไว้ และทำสัญลักษณ์ตำแหน่งดวงดาวส่วนหนึ่งไว้อย่างคร่าวๆ

‘ราชาวรยุทธ์คือดวงดาวสามดวงที่บุกเบิกก่อนการบุกเบิกในลำดับต่อไป และจะทิ้งตราประทับจิตกลุ่มหนึ่งไว้ในดาวทุกดวง จากนั้นก็จะระเบิดพละกำลังแข็งแกร่งได้อย่างอิสระและว่องไวกว่าเดิม’

เขาวาดเส้นสายหลายเส้นบนมนุษย์ตัวจิ๋ว เพื่อใช้แทนเส้นชีพจรและเส้นเลือด

‘ต่อจากนั้นคือเจ้าวรยุทธ์ ดวงดาวที่เจ้าวรยุทธ์บุกเบิกได้คือสี่ฐาน ต่างทิ้งตราประทับจิตในดาวทุกดวง หากโคจรวิชา เลือดลมทั่วร่างจะเชื่อมต่อกับดวงดาวมากกว่าพันดวง การระเบิดพลังไม่มีสิ่งใดเทียบเคียง เปลี่ยนจากมนุษย์เป็นเซียน น่าสนใจ…เจ้าวรยุทธ์สามารถครอบครองพลังของช้างสารร้อยตัวได้ หากสัมผัสอย่างละเอียด จะใกล้เคียงกับระดับผู้ถืออาวุธ เพียงแต่พลังต่อสู้เรียบง่ายกว่าผู้ถืออาวุธเท่านั้น’

ลู่เซิ่งทดลองสัมผัสดูว่าดวงดาวคือสิ่งใด

ตอนแรกเขานึกว่าเป็นจุดลมปราณ แต่พอใช้จิตวิญญาณสังเกตอย่างละเอียดค่อยพบว่าไม่ใช่

ไม่ใช่เส้นลมปราณ ไม่ใช่จุดเชื่อมต่อลมปราณ และไม่ใช่จุดเชื่อมเส้นเลือด ถึงขั้นไม่ใช่สิ่งใดบนเลือดเนื้อ

ลู่เซิ่งทำความเข้าใจอยู่ในห้องคนเดียวจนกระทั่งถึงพลบค่ำ แต่ก็ไม่ได้อะไรเลยสักอย่างเดียว

นิยามดวงดาวนี้จะต้องเป็นความลับหลักของโลกใบนี้อย่างแน่นอน แม้จะยังไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนอันใด

ตอนนี้ข่าวที่ถังชิงชิงถูกพากลับบ้านจะต้องลอยไปถึงหูของผังหยวนจวินแล้วอย่างแน่นอน เขากำลังรอดูปฏิกิริยาของผังหยวนจวินอยู่

บิดาคงจะกลับมายังแท่นบูชาย่อยเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ด้วยความสนใจเอง ถึงตอนนั้นลู่เซิ่งวางแผนว่าจะลงมือจับอีกฝ่ายไว้

แต่ก่อนหน้านั้น พลังของเขาไม่แน่ว่าจะล้มผังหยวนจวินได้

นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาตั้งใจฝึกฝนเป็นเวลาหลายวัน

แม้โลกใบนี้จะเป็นโลกที่เขาตั้งใจเดินทางมารวบรวมพลังอาวรณ์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสะสางผลกรรมความปรารถนาให้เรียบร้อย อุตส่าห์เจอผลกรรมความปรารถนาที่จัดการง่ายๆ ทั้งที ถ้าหากทำไม่สำเร็จ เช่นนั้นก็เสียเปล่าเกินไปแล้วจริงๆ

หลายวันมานี้ ลู่เซิ่งเริ่มวางแผนควบคุมแท่นบูชาย่อยอย่างสมบูรณ์ไปด้วย

หลังจากเข้าควบคุมแท่นบูชาย่อยแล้ว เขาก็คิดจะทดลองพัฒนาวิชาคางคกดาราเคลื่อนเพื่อดูว่าจะพัฒนาของเล่นแบบไหนออกมาได้ด้วยศักยภาพมรรคายุทธ์ของตนเอง

ไกลออกไปพันลี้ คฤหาสน์ตระกูลเฟิง

ควันหนาหลายกลุ่มเหมือนกับเส้นสีดำหลายสาย ลอยออกมาช้าๆ จากป้อมปราการสีดำที่ยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่ไกลออกไป พวกมันฟุ้งกระจายกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง ย้อมชั้นเมฆที่กระจ่างใสในตอนแรกให้กลายเป็นสีดำอมเทาจางๆ

ธงใหญ่สี่คันปักสูงอยู่บนกำแพงป้อมปราการ ผืนธงที่โบกสะบัดตามลมเขียนคำว่าเฟิงตัวใหญ่เอาไว้

ห่างจากป้อมปราการออกไปร้อยหมี่ บนพื้นโคลนสีเทาแบนราบในตอนแรกคือหลุมลึกสีดำเกรียมกับรอยเลือดสีแดงเข้ม

อาวุธกับโล่ที่หักชำรุดรวมถึงคันธนูที่กระจายไปทั่ว กลายเป็นทิวทัศน์ที่พบเห็นได้บ่อยนักในสนามรบแห่งนี้

“อีกสองชั่วยามถึงจะมืดค่ำแล้ว วันนี้เกรงว่าจะคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง”

ผังหยวนจวินมองคฤหาสน์ตระกูลเฟิงซึ่งเป็นป้อมปราการสีดำอยู่ไกลๆ หัวคิ้วขมวดมุ่น ค่อนข้างหงุดหงิดใจ

ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก เขาเป็นบุรุษวัยกลางคนที่กำยำล่ำสันคนหนึ่ง

เค้าโครงหน้าองอาจ บุคลิกเย็นชา สวมถุงมือสีดำทำจากหนัง เหน็บดาบใหญ่ฟันเลื่อยสองเล่มไว้ที่เอว เสื้อคลุมสีเขียวขอบดำคลุมอยู่บนเสื้อแขนสั้นสีเขียวขี้ม้า เสื้อคลุมผืนหนาที่ติดขนไว้รอบชายเสื้อพลิกตามลมน้อยๆ ทำให้คนที่เห็นดูออกทันทีว่าเขาคือคนที่มีสถานะสูงสุดบนสนามรบผืนนี้

บุรุษสตรีสูงใหญ่ที่มีลักษณะต่างกันสองคนยืนอยู่ด้านหลังผังหยวนจวิน

บุรุษมีผมสีทอง ใบหน้าเหี้ยมเกรียม รูปร่างน่ากลัว มีอายุอย่างน้อยหกสิบกว่าปีแล้ว แต่กลับสะพายธนูใหญ่คันหนึ่งไว้บนหลัง ซองธนูซองหนึ่งติดเอียงอยู่ข้างเอว สองแขนห้อยตก ราวกับว่าพร้อมจะรั้งลูกธนูเพื่อยิงออกไปได้ตลอดเวลา คนผู้นี้คือเจ้าวรยุทธ์หยวนซือเจี้ยน ผู้ช่วยที่เก่งกาจของผังหยวนจวิน

ฝ่ายสตรีมีตาข้างหนึ่งเป็นสีขาว แสดงให้เห็นตานั้นบอดไปแล้ว ร่างกายบึกบึนทรงพลัง ทั้งยังอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่มีโครงกระดูกกว้าง กระนั้นรูปร่างที่ด้านหน้านูนด้านหลังโค้งงอนกลับชวนให้คนนึกถึงความงามที่สมส่วนแข็งแรง ราวกับเสือดาวย่างก้าวออกจากพุ่มไม้

คนผู้นี้คือคนที่ผังหยวนจวินเชื่อใจที่สุด เป็นมือซ้ายมือขวาของเขา หัตถ์ปราณกำเนิดตัดกระแสธารา หลิ่วหวนจวง

“เป็นตราประทับของแท่นบูชาย่อย แท่นบูชาย่อยในเมืองน้ำค้างครามที่ซือเฉิงอยู่” นางกล่าวเสริม

“ซือเฉิงหรือ อ่านดูว่าเป็นอย่างไร” หยวนซือเจี้ยน

ผังหยวนจวินผู้เป็นบิดาของผังซือเฉิงกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ไม่ได้มองมาทางนี้ด้วยซ้ำ สายตาอยู่บนป้อมปราการสีดำที่อยู่ไกลออกไปตลอดเวลา

หลิ่วหวนจวงอ่านเนื้อหาบนกระดาษจบอย่างรวดเร็ว สีหน้าพลันพิลึกขึ้นเล็กน้อย

“จดหมายบอกว่า เด็กน้อยซือเฉิงพาถังชิงชิงฮูหยินของประมุขแท่นบูชาหลักกลับมาได้อย่างคาดไม่ถึง ตอนนี้กำลังรออยู่ที่เมืองน้ำค้างคราม บอกว่าต้องการเรียกตัวหยวนจวินกลับไป”

“ถังชิงชิง สำนักน้ำพุวิถีเอกะคิดจะสอดขาเข้ามาหรือ” ผังหยวนจวินพลันขมวดคิ้ว

“ข้ารู้สึกว่าจะไม่ใช่ความคิดของสำนักน้ำพุ…” หลิ่วหวนจวงชูกระดาษขึ้นพร้อมกับกล่าวด้วยสีหน้าที่พิลึกพิลั่นกว่าเดิม “นี่เป็นจดหมายที่ซือเฉิงเขียนเอง เขาบอกว่าถังชิงชิงมาหาเขาและวิงวอนให้เขาพานางกลับมาเพราะรักเจ้า…ลูกเจ้ายังบอกอีกด้วยว่า ถังชิงชิงถึงกับยอมตาย เขาเลยได้แต่วางยาและมัดนางไว้เพื่อจำกัดอิสรภาพไว้ด้วยความจนปัญญา ป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรม…”

“เอ่อ…ถังชิงชิงมีความผูกพันถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” หยวนซือเจี้ยนพลันงงงวย

“ไม่ต้องสนใจ ตอนนี้คฤหาสน์ตระกูลเฟิงใกล้พ่ายแล้ว ข้าไม่เชื่อว่ากองทัพแท่นน้ำค้างครามมากกว่าหมื่นของข้าจะตีคฤหาสน์ตระกูลเฟิงเล็กๆ ไม่แตกได้!” บนใบหน้าเย็นชาของผังหยวนจวินผุดความดุร้าย

เขาโบกมือใหญ่

“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป พรุ่งนี้เช้าระดมโจมตีให้สุดกำลัง! แล้วเอาสิ่งนั้นมาใช้ด้วย!”

“จะให้ใช้สิ่งนั้นเลยหรือ” หลิ่วหวนจวงผุดสีหน้าเคร่งขรึม

“ถ้าเป็นสิ่งนั้น ครั้งนี้จะต้องไม่มีปัญหาแน่ เพียงแต่ใช้เร็วเช่นนี้…” หยวนซือเจี้ยนกล่าวอย่างลังเล

“ไม่เป็นไร ข้าอยากจะเห็นนักว่าคฤหาสน์ตระกูลเฟิงจะต้านทานการโจมตีสุดกำลังได้นานแค่ไหน” ดวงตาของผังหยวนจวินสาดความเกรี้ยวกราด

ผังหยวนจวินมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ทั้งยังเก่งกาจเจ้าแผนการ กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน คิดจะฝืนคำทำนายของมู่โฝ่ว กอปรกับพลังฝึกปรือของเขาใกล้จะเลื่อนระดับ มีโอกาสไปถึงขอบเขตเจ้าวรยุทธ์ระดับสูงสุดได้ตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงยาตราทัพไปทั้งตะวันตกตะวันออก หาข้ออ้างฆ่าคนล้างตระกูลตามใจ แม้จะเหิมเกริมเช่นนี้ แต่สามพรรคใหญ่กลับทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

ในสามพรรคใหญ่ไม่มีจักรพรรดิวรยุทธ์ มีแต่เจ้าวรยุทธ์ระดับสูงสุดเท่านั้น แต่มีจำนวนเยอะกว่าสิบหกสำนัก โดยเปลือกนอกพลังของสามพรรคใหญ่อยู่เหนือสิบหกสำนัก แต่สำนักแถวหน้าสองสามสำนักในสิบหกสำนักก็มีพลังส่วนตัวไม่ด้อยกว่าพวกเขาเช่นกัน

จักรพรรดิวรยุทธ์เลือนรางล่องลอย ผู้ที่ทิ้งตำนานไว้ในยุทธจักร มีทั้งหมดสองคน ทว่าสองคนนี้ไม่เข้าร่วมกับ ขุมกำลังใด หลุดพ้นละจากทางโลก เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวสูญหาย

ผังหยวนจวินก่อสงครามไปทั่ว ประการหนึ่งเพื่อทำลายคำทำนาย อีกประการเพื่อรวบรวมวิชาอื่นๆ แล้วเอามาเพิ่มจำนวนดวงดาวให้แก่วิชาสิบทัพสังหารของตนเอง

เช้าตรู่วันต่อมา

กองทัพสีดำหลายกลุ่มที่ล้อมคฤหาสน์ตระกูลเฟิงพากันผลักสิ่งของทรงกระบอกสีดำทะมึนที่ทั้งหยาบและใหญ่ออกมาหลายชิ้น

สิ่งเหล่านี้ติดตั้งโครงสร้างที่เหมือนกับล้อรถไว้ด้านล่าง ดูหนักอึ้งยิ่ง

จากนั้นก็บรรจุกระสุนปืนใหญ่ จุดดินระเบิด และมีเสียงดังตูม!

แสงเพลิงหลายสายพุ่งแวบขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วหล่นลงตรงขอบกำแพงเมืองอย่างหนักหน่วง ป้อมปราการของคฤหาสน์ตระกูลเฟิงพลันสั่นสะเทือน

ไฟจากการยิงปืนคงอยู่ไปจนถึงตอนบ่าย ในที่สุดกำแพงเมืองก็ถูกทำลาย ปืนใหญ่ที่ถูกผลักมาทั้งหมดเพราะใช้ความร้อนสูงติดต่อกันจึงชำรุด ไม่ระเบิดแหลกลาญก็ถือว่าเห็นแก่หน้ามากแล้ว

ภายใต้ข้อได้เปรียบของปืนใหญ่ ในที่สุดกำแพงรอบนอกของหมู่บ้านตระกูลเฟิงก็ถล่มลง พวกผังหยวนจวินระดมกองทัพไปต่อสู้ด้านในกำแพงเมือง

ฆ่า!

ผังหยวนจวินมองการต่อสู้ระยะประชิดที่ดุเดือดเลือดพล่านอยู่บนกำแพงเมือง ศพของทั้งสองฝั่งร่วงหล่นลงมาจากกำแพงเมืองตลอดเวลาเหมือนกับแผ่นเกี๊ยว

เขม่าควันฟุ้งตลบ แม้ปืนใหญ่สิบกว่ากระบอกจะพังไปแล้ว แต่ภายใต้การโจมตีจากกำแพงเมืองด้านนอก ขอแค่ยึดอาณาเขตเมืองด้านในได้ ก็จะเป็นเวลาที่กำชัยชนะได้อย่างสมบูรณ์

ทว่าแทนที่จะแตกตื่นพวกผังหยวนจวินกลับยินดี

“ในที่สุดองครักษ์ของราชาดาบก็ออกโรงแล้ว! นี่คือพลังต่อสู้สุดท้ายของคฤหาสน์ตระกูลเฟิง เอาชนะพวกมันได้เมื่อไรก็เป็นเวลากำชัยชนะของพวกเรา!”

ผังหยวนจวินพลันหัวเราะลั่น

“แข่งกันหรือไม่” หลิ่วหวนจวงมองหยวนซือเจี้ยน

“ยังไม่ยอมอีกหรือ” หยวนซือเจี้ยนอารมณ์ดีมากเช่นกัน ลูบเคราพร้อมกับหัวเราะ

ทั้งสองยิ้มให้แก่กันก่อนจะลงมือพร้อมๆ กัน

ผังหยวนจวินถอยหลังก้าวหนึ่ง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นฟันลงไป

ฟ้าวๆๆๆ!

คนสวมหน้ากากที่ใส่ชุดสีดำกลุ่มใหญ่พุ่งออกมาจากด้านหลังเขา แล้วกระโจนไปยังกำแพงเมืองด้านใน

สถานการณ์รบเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลังจากทางแท่นน้ำค้างครามมีทัพใหม่เข้าร่วม คนสวมอาภรณ์ขาวของคฤหาสน์ตระกูลเฟิงก็บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากในเวลาสั้นๆ ราวกับหิมะถล่ม

“ผังหยวนจวิน!”

ตูม!

ชั่วขณะนั้นก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งลอยขึ้นจากกลางกำแพงเมืองด้านใน แล้วพุ่งใส่หลิ่วหวนจวงที่เพิ่งฆ่าคนไปสองคนจนนางหน้าแดงก่ำ ร่างปลิวลอยออกไปฝังตัวเข้ากับกำแพงเมืองอย่างรุนแรง

“ฮ่าๆๆๆ! เฟิงซันเหอราชาดาบอุดร! ในที่สุดเจ้าก็ยอมโผล่หัวมาแล้ว!” ผังหยวนจวินมองเห็นแต่ไกล กลับเงยหน้าหัวเราะร่า พร้อมกับพลิกมือชักดาบยาวออกจากเอว

พรึ่บ!

แต่ในตอนนี้เงาคนสูงใหญ่สายหนึ่งกลับโผล่มาขวางด้านหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ

“เฉิงเอ๋อร์!” ผังหยวนจวินงุนงง จดจำได้ทันทีว่านี่คือผังซือเฉิงลูกชายของตัวเอง

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่! รีบกลับไปเสีย! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรมา!”

ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าสงบนิ่ง

“ท่านพ่อ ข้ามารับท่านกลับบ้าน ท่านแม่เปลี่ยนใจแล้ว ตอนนี้เหลือแต่ท่านคนเดียว”

“กลับบ้านหรือ” ผังหยวนจวินหรี่ตา ไม่ทราบว่าเหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าคำพูดของลูกชายมีความผิดปกติตรงที่ใดสักจุดหนึ่ง

“พอแล้ว อย่ามาขวาง รอข้าจัดการสงครามนี้จบค่อยพูดเรื่องมารดาเจ้า” เขายกดาบขึ้นแล้วเหินร่างไปยังกำแพงเมืองด้านในเหมือนสายฟ้าแลบ

ทว่าลู่เซิ่งลอยตัวขึ้นและขวางเส้นทางของเขาไว้อีกครั้งได้อย่างน่าอัศจรรย์

“หลีกไปซะ!” ผังหยวนจวินพลันโมโห

“หยุดดื้อด้านเสียทีท่านพ่อ ยอมตามข้ากลับบ้านไปอยู่กันพร้อมหน้าเสียดีๆ เถิด” ลู่เซิ่งผุดสีหน้าจนปัญญาเล็กน้อย

“ไสหัวกลับไป!” ผังหยวนจวินผลักฝ่ามือขวาดุจสายฟ้าแลบ พลังของช้างสารห้าร้อยตัวพุ่งใส่ไหล่ของลู่เซิ่งพร้อมกับแรงกระแทกยิ่งใหญ่

ต่อให้จะเป็นลูกชาย เขาก็จะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า สนามรบไม่ใช่ของเด็กเล่น

“อย่าบังคับให้ข้าทำร้ายท่านนะ!” ลู่เซิ่งเบี่ยงร่างหลบพ้นฝ่ามือนี้

ฝ่ามือของผังหยวนจวินตบใส่ความว่างเปล่า พลันรู้สึกผิดปกติ เขารู้ดีที่สุดว่าผังซือเฉิงมีพลังฝึกปรืออยู่ในระดับไหน หรือว่าบุรุษที่หน้าตาเหมือนกับลูกชายของตนผู้นี้จะไม่ใช่ผังซือเฉิง

“ทัพสังหารที่หนึ่ง!”

ตูม! เงาดาบลวงตาสายหนึ่งวาดผ่านด้านข้างลำตัวลู่เซิ่งไป เกือบฟันใส่ศีรษะของเขา

“ยังจะสู้อีกหรือ!” ลู่เซิ่งยังพูดไม่จบก็ต้องหลบไปทางซ้ายอีกรอบ

“ทัพสังหารที่สอง!”

ประกายดาบหลายสิบสายพลันฟันใส่ลู่เซิ่งจากทุกทิศทุกทาง

“อย่าบังคับข้านะ!” ลู่เซิ่งมุดร่างออกจากช่องว่าง

“ทัพสังหารที่สี่! ทัพสังหารที่ห้า!” ประกายดาบที่เหมือนกับมังกรสีเงินตัวหนึ่งพุ่งใส่เขาอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น

“ทัพสังหารที่หก ทัพสังหารที่แปด!” ผังหยวนจวินผุดสีหน้าเย็นชา ไม่รอผลลัพธ์ปรากฏก็ควงดาบอีกรอบ ประกายดาบที่เหมือนกับผิวกระจกลอยเข้าหาลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย

“ทัพสังหารที่เก้า! ทัพสังหารที่…”

“พอได้แล้ว! บีบบังคับกันขนาดนี้ข้าก็ทุบตีได้เหมือนกัน!”

ในที่สุดลู่เซิ่งก็ของขึ้น ใช้ฝ่ามือคว้าขาข้างหนึ่งของผังหยวนจวินเหมือนเคลื่อนย้ายในพริบตา ก่อนจะฟาดลงด้านล่าง

ตูม!

ศีรษะของผังหยวนจวินกระแทกกับกำแพงเมืองเบื้องล่างที่หนาสามหมี่กว่าๆ อย่างแรง

กำแพงเมืองระเบิดเป็นช่องขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าหมี่

ผังหยวนจวินสลบไปทันที

“อย่านึกว่าท่านเป็นพ่อข้าแล้วข้าจะไม่กล้าทำอะไรท่านนะ!”

ลู่เซิ่งถุยน้ำลาย ก่อนจะลากผังหยวนจวินกระโดดออกไป

……………………………………….

Options

not work with dark mode
Reset