บทที่ 746 เหนือความคาดหมาย
ในวังวนมิติเวลา
ป้อมปราการทรงลูกข่างสีดำขนาดยักษ์เคลื่อนไปตามมิติเวลาสีรุ้งอย่างช้าๆ
ป้อมปราการกะพริบแสงลวดลายค่ายกลหลายชั้น นั่นคือลวดลายค่ายกลประเภทมิติเวลาที่มาจากโลกมารสวรรค์
แสงรุ้งที่ซ้อนทับกันรอบๆ บีบอัดเข้าหาป้อมปราการเหมือนกระแสน้ำ
ลู่เซิ่งยืนอยู่ในห้องควบคุมหลักของป้อมปราการ ในห้องควบคุมหลักมีเขาแค่คนเดียว ส่วนคนอื่นๆ อยู่ในช่องของป้อมปราการ กำลังหลับใหลอยู่ในโรงผลึกมิติเวลาที่ทำขึ้นพิเศษ
พวกเขาไม่ใช่มารสวรรค์ จึงไม่มีกายเนื้อกับจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง เป็นเหตุให้ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ขนาดใหญ่ด้านนอกไม่ได้
ดังนั้นจึงได้แต่ใช้วิธีการนี้ป้องกันความเสียหายที่มิติเวลาจะสร้างแก่พวกเขาชั่วคราว
มีแต่หลังจากจุติถึงโลกใหม่จริงๆ เท่านั้นถึงจะค่อยๆ ปรับตัวได้ หนำซ้ำเวลาที่จำเป็นสำหรับกระบวนการนี้เกรงว่าจะเชื่องช้ายาวนานยิ่ง
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ในห้องควบคุมหลักของป้อมปราการ มองดูหน้าต่างขับเคลื่อนสำหรับสังเกตการณ์ด้านหลังม่านกำบังมนตราหลายร้อยชั้น หน้าต่างเต็มไปด้วยรอยแตกเหลือคณานับ
ยังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วโมง ม่านกำบังมนตราก็ต้านทานการกัดเซาะของวังวนมิติเวลาไม่ไหวแล้ว ทำให้พังทลายลงโดยสมบูรณ์ ดีที่ลู่เซิ่งปล่อยปราณปฐพีของร่างหลักออกมาทันเวลา เลยป้องกันการกระทบกระเทือนจากวังวนเอาไว้ได้
แต่นี่เป็นการทดสอบที่หนักที่สุดสำหรับพลังฝึกปรือร่างหลักของเขา
ก่อนหน้านี้เขาข้ามวังวนมิติเวลามาตามลำพัง ตอนนี้กลับต้องพาป้อมปราการที่มีขนาดใหญ่เสียจนเทียบเท่ากับประเทศเล็กๆ ได้ประเทศหนึ่งข้ามไปด้วย พลังจึงสิ้นเปลืองเพิ่มขึ้นหลายร้อยหลายพันเท่า
ต่อให้พลังฝึกปรือของเขาในปัจจุบันแข็งแกร่งขึ้นไม่รู้เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ก็ต้านไม่ไหวบ้างแล้ว
ป้อมปราการทรงลูกข่างหมุนอย่างช้าๆ ลวดลายค่ายกลที่กะพริบอยู่บนตัวมันมีผลป้องกันแค่ส่วนเดียวเท่านั้น
ส่วนที่เหลือต้องพึ่งพาพลังจากร่างหลักของลู่เซิ่ง
เปรี๊ยะ
อยู่ๆ ผิวของป้อมปราการก็แตกออกจุดหนึ่งอย่างฉับพลัน
ต่อให้รวบรวมวัตถุทนทานสูงจากสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายที่สุดอย่างห้วงอเวจีมา แต่ก็ไม่อาจต้านทานการกัดเซาะของวังวนมิติเวลาได้
‘แย่แล้ว!’ ลู่เซิ่งที่อยู่ในห้องควบคุมค้นพบจุดเสียหายของป้อมปราการทันที
‘ทนได้นานสุดครึ่งชั่วโมง เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่ป้อมปราการจะถล่ม! ประมาทเกินไป นึกไม่ถึงว่าด้วยพลังฝึกปรือของเราในตอนนี้ การนำป้อมปราการมาด้วยยังฝืนเกินไป!’
เหงื่อผุดซึมออกจากหน้าผากของเขา ปราณปฐพีสีเหลืองทะลักออกจากร่างด้วยความเร็วสูงเหมือนกับแม่น้ำใหญ่ แล้วหายเข้าไปในพื้นใต้เท้า หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับป้อมปราการทั้งป้อม
‘ต้องคิดหาวิธี!’ ลู่เซิ่งมองค่ายกลเล็กๆ สำหรับคำนวณระยะทางที่ลอยอยู่บนกำแพง ตอนนี้ยังอยู่ห่างจากโลกเป้าหมายในแผนการของเขาอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
เขาใคร่ครวญสักครู่ อยู่ๆ ก็โบกมือไปด้านหน้า
แสงรุ้งสายหนึ่งเบียดเข้ามาผ่านรอยแตกสายหนึ่งตรงหน้าต่างห้องควบคุมหลัก
แสงสีรุ้งนี้ถูกลู่เซิ่งจับไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง
‘นี่คือวังวนมิติเวลาหรือ’ ลู่เซิ่งเพิ่งเคยสังเกตสิ่งนี้อย่างละเอียดเป็นครั้งแรก
แสงรุ้งรวมตัวเป็นก้อนเล็กๆ กลางฝ่ามือของเขาอย่างรวดเร็วเหมือนกับสายน้ำ มีสีสันที่เปลี่ยนแปลงไปมานับไม่ถ้วนกระเพื่อมอยู่
ขณะเดียวกันเขายังรู้สึกเหมือนกับกลางฝ่ามือของตนถูกเศษคมๆ จำนวนมากกรีดเฉือนตลอดเวลาด้วย
ทุกๆ ครั้งที่แสงรุ้งกลางฝ่ามือกระเพื่อม เขาจะรู้สึกเหมือนฝ่ามือถูกกรีด
ด้วยความแข็งแกร่งของร่างหลักในปัจจุบัน การกรีดเฉือนเช่นนี้ยังทำให้เขารู้สึกปวดแปลบได้
‘ไม่เหมือนกับน้ำ ด้านในบรรจุวัตถุในสภาพอนุภาคจำนวนมากเอาไว้…’ ลู่เซิ่งยกมือขึ้นเบาๆ แสงรุ้งหยดหนึ่งลอยอยู่ด้านหน้าเขา ม่านตาของเขาพลันขยายตัว
แสงรุ้งด้านหน้าขยายใหญ่ขึ้นหลายร้อยหลายพันเท่าในพริบตา
วัตถุในสภาพก้อนกรวดเล็กละเอียดจำนวนมากที่ไหลอยู่ในแสงรุ้งเหมือนกับผลึกที่มีหนามแหลมงอกอยู่เต็มไปหมด ทั้งยังกะพริบแสงสีรุ้งตลอดเวลา
‘ขยายขึ้นอีก’ ม่านตาของลู่เซิ่งขยับ ผลของการขยายเพิ่มถึงหนึ่งหมื่นสองพันเท่า อันเป็นขีดจำกัดที่เขาในปัจจุบันไปถึงได้
นี่เป็นผลการขยายที่ไม่ได้อาศัยวิชาและอุปกรณ์ หากแต่ใช้ความสามารถของร่างหลักขยายเพื่อที่จะสังเกตได้
กรวดผลึกสีรุ้งขนาดเล็กๆ ก้อนหนึ่งขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ช่องว่างระหว่างหนามแหลมบนผลึกขยายใหญ่ขึ้นตามการขยายของสายตา
ด้านในช่องว่างเป็นสีขาวบริสุทธิ์ วัตถุที่เหมือนกับทวีปใหญ่ลอยฟ้าหลายกลุ่มลอยอยู่ด้านในอนุภาคอย่างช้าๆ
ลู่เซิ่งเห็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดและหายากหลายชนิดอาศัยอยู่บนทวีปใหญ่เหล่านี้ได้อย่างเลือนราง
‘อนุภาคแต่ละก้อนคือโลกในมิตินั้นๆ หรือ…’
เขาพ่นลมหายใจเบาๆ ในใจตื่นเต้น อนุภาคที่ขยายใหญ่ตรงหน้าพลันเปลี่ยนเป็นอีกก้อนหนึ่ง
อนุภาคในครั้งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ มีแต่ของเหลวโปร่งแสงที่เหมือนกับเมือกข้นเหนียวเท่านั้น
ของเหลวเหล่านี้กระเพื่อมอยู่ด้านในอนุภาคเป็นระยะ ผนังอนุภาคที่มันสัมผัสเปลี่ยนแปลงเป็นสีสันต่างๆ
เริ่มจากสีเทาอ่อนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง สีน้ำตาล สีส้ม
เขาสัมผัสความรู้สึกหลอนบางอย่างที่เหมือนกับเวลากำลังไหลอย่างรวดเร็วได้อย่างเลือนรางจากในแสงรุ้งเหล่านี้
‘นี่คือ…เศษ…เศษเวลาหรือ’ ลู่เซิ่งพลันนึกถึงความเป็นไปได้ข้อหนึ่ง
‘ถ้าหากก่อนหน้านี้คือเศษมิติล่ะก็ อย่างนั้น สิ่งเหล่านี้ หรือว่าจะเป็นโครงสร้างประกอบพื้นฐานของโลก’
เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่า มิติเวลาทั้งหมดจะประกอบขึ้นจากอนุภาคนับไม่ถ้วนแบบนี้
ลู่เซิ่งมองดูแสงรุ้งตรงหน้า รู้สึกว่าตนเหมือนจะสัมผัสกับความลับบางอย่างที่ล้ำลึกที่สุดของมิติเวลาเข้าแล้ว
เขาพลันนึกถึงตัวเอง ในฐานะร่างมีชีวิต ความจริงชีวิตใดๆ ล้วนประกอบขึ้นจากเซลล์นับไม่ถ้วน เซลล์ทุกเซลล์คือปัจเจกที่เป็นเอกเทศ
จักรวาลก็ไม่แน่ว่าจะถือกำเนิดแบบนี้เช่นกัน
เปรี๊ยะ
มีเสียงแตกดังมาอีกครั้ง ป้อมปราการแตกร้าวอีกแล้ว
ลู่เซิ่งได้สติกลับมาหลังทบทวนทำความเข้าใจ ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้คือการรีบแก้ไขปัญหาการรักษาป้อมปราการ
เขาปล่อยจิตวิญญาณไปด้านนอกพร้อมขยายไปทั่วสี่ทิศแปดทาง ในขณะที่อดกลั้นต่อการกัดเซาะของวังวนมิติเวลารอบๆ
ไม่นานเขาก็เจอรอยร้าวมิติเวลาส่วนหนึ่งที่เปิดออกเล็กน้อย
วังวนมิติเวลาเหมือนกับท้องทะเลสีรุ้ง รอยร้าวเหล่านี้ล่องลอยอยู่กลางท้องทะเลสีรุ้งเหมือนกับกิ่งไม้ตายตั้งตรงขนาดเล็กๆ จำนวนมาก
รอยร้าวส่วนใหญ่เป็นสีขาวอ่อน ที่เหลือคือสีดำอ่อนกับสีเทา พวกมันดูสะดุดตาและอันตรายเป็นพิเศษเมื่อมาอยู่กลางท้องทะเลสีรุ้ง
‘หาโลกที่มีกฎเกณฑ์พื้นฐานไม่ต่างกันมากให้ป้อมปราการอยู่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!’ ลู่เซิ่งแบ่งจิตวิญญาณออกไปหลายหมื่นสาย ให้กระจายเข้าหารอยร้าวจำนวนมาก
เขาใช้ความสามารถนี้ตอนอยู่ที่ห้วงอเวจีมาหลายครั้งแล้ว จึงช่ำชองคล่องแคล่วดี
อั่ก!
เพิ่งจะสัมผัส ลู่เซิ่งก็แค่นเสียง ทิ้งวังวนมิติเวลาในมือทิ้ง กุมศีรษะ เลือดสายหนึ่งไหลออกจากรูจมูกและดวงตา
พริบตาที่สัมผัสนั้น เศษจิตวิญญาณอย่างน้อยมากกว่าแปดส่วนของเขาก็ถูกรอยร้าวมิติเวลากลืนกินไป
พูดให้ถูกต้องก็คือ ชั่วพริบตาที่สัมผัสรอยร้าว ก็ถูกกฎเกณฑ์พื้นฐานที่แปลกประหลาดทำให้ดับสูญแหลกสลายโดยสิ้นเชิง
โลกในรอยร้าวเหล่านี้สุดโต่งและประหลาดล้ำ ไม่มีการดำรงอยู่ของสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณ ดังนั้นแค่เพียงสัมผัส จิตวิญญาณที่ลู่เซิ่งแบ่งออกมาจึงดับสูญในพริบตา
‘ยังมีส่วนที่เหลืออีก…’
เขาเช็ดเลือดที่หางตาพร้อมกับเพ่งสมาธิควบคุมจิตวิญญาณ
จิตวิญญาณที่แบ่งออกไปมีความแข็งแกร่งไม่พอ อยู่ได้นานสุดเพียงสองสามนาที ถ้าไม่เร่งมือ อีกไม่นานวังวนมิติเวลาจะตัดขาดการเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณทิ้งโดยสิ้นเชิง
ผ่านไปราวสองนาที ลู่เซิ่งพลันผุดสีหน้ายินดี
‘เจอแล้ว!’ ปราณปฐพีที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมล้นทะลักออกมาจากร่างของเขา ปราณปฐพีความเข้มข้นสูงย้อมป้อมปราการทั้งป้อมเป็นสีเหลืองกระจ่าง
ป้อมปราการค่อยๆ หมุนเสียงดังครืน พร้อมกับลอยไปยังรอยร้าวเล็กๆ สายหนึ่งทางขวา
ไม่นานนัก ป้อมปราการก็หดเล็กลงเรื่อยๆ จากเส้นผ่าศูนย์กลางหลายหมื่นเมตรหดเหลือแค่ขนาดเท่ากำปั้น ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในรอยร้าว
…
ณ มิติกว้างใหญ่ไพศาลอันมืดมิด
ป้อมปราการสีดำเหมือนหลอมเข้ามาด้านใน แทบมองไม่เห็นแสงสว่างใดๆ เพียงลอยนิ่งเหมือนกับซากปรักหักพัง
ลู่เซิ่งนั่งอยู่บนที่นั่งหลักในห้องควบคุมบนป้อมปราการ พร้อมกับกระจายจิตวิญญาณออกไปรอบๆ เพื่อประเมินดู
เขาอยู่ในสภาพแบบนี้มานานแล้ว
ที่นี่เหมือนจะไม่มีเวลาไหลเวียน เขาสัมผัสร่องรอยการเคลื่อนไหวของเวลาจากวัตถุรอบๆ ไม่เจอเลย
‘ในมิติเวลาปกติ เวลาคือองค์ประกอบสำคัญพื้นฐาน อยู่ร่วมกับมิติ ผสมกันด้านในด้านนอก แต่ที่นี่สัมผัสร่องรอยใดๆ ไม่ได้เลย…’
ลู่เซิ่งลูบแผ่นหนังบนเก้าอี้ แผ่นหนังแบบนี้ควรจะแห้ง เสื่อมสภาพ จนกระทั่งแข็งขึ้นอย่างช้าๆ ตามกาลเวลา แค่แตะเบาๆ ก็ควรแหลกเป็นผุยผง
แต่พลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของเขาสัมผัสได้ว่า สภาพของเก้าอี้หนังตัวนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
‘มิตินี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางแค่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น นอกจากฝุ่นและน้ำแข็งส่วนหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีกเลย’
ลู่เซิ่งดึงจิตวิญญาณกลับ พลังจิตวิญญาณของเขาแตะกับขอบมิติแล้ว ถึงค่อยถูกชักกลับอย่างรวดเร็ว
ในมิติทั้งมิติไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ สัมผัสถึงแบคทีเรียและเชื้อโรคไม่ได้ด้วยซ้ำ
ลู่เซิ่งออกแรงผลักเปิดประตูห้องควบคุมแล้วลอยตัวออกไปเบาๆ
รอบๆ มืดสนิท ไม่มีอากาศ ไม่มีชีวิต เหมือนกับดินแดนมรณะ
‘ดูท่าทางจะหาที่อยู่ให้ป้อมปราการได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว’
เขายื่นมือออกมาโบก ปราณปฐพีสายหนึ่งลอยวนเวียนรอบตัวเขา แสงพุทธะสว่างขึ้นด้านหลัง เริ่มทดสอบกฎฟิสิกส์พื้นฐานของที่นี่ทีละนิดๆ
ทว่าเนื่องจากขาดคุณสมบัติของเวลา จึงไม่อาจวัดกฎเกณฑ์ทั้งหมดของที่นี่ได้ ทุกอย่างล้วนหยุดนิ่ง
‘ช่างเถอะ เอาแบบนี้ก่อนก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งเก็บก้อนน้ำแข็งส่วนหนึ่งมาประเมินอายุ แล้วพบว่าเหมือนกับของใหม่โดยสมบูรณ์
ไม่อาจวัดอายุได้
เพราะมิติแห่งนี้ไม่มีคุณสมบัติของเวลา
‘แปลก…ถ้าไม่มีเวลาไหลเวียน อย่างนั้นเราก็ไม่น่าจะสัมผัสถึงที่นี่ แล้วเข้ามาได้สิ พริบตาที่เข้ามาที่นี่ ความคิดของเราก็ชะงักไปพริบตาหนึ่งเหมือนกัน จนกระทั่งลอยมาถึงที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจ’
ลู่เซิ่งสะกดความสงสัยในใจไว้ แล้วตรวจสอบมิติแห่งนี้ซ้ำไปซ้ำมาอีกหลายรอบ พอพบว่าไม่มีการคุกคามหรือปัญหาใดจริงๆ จึงค่อยสลักลวดลายข้ามโลกง่ายๆ บนป้อมปราการ ก่อนจะเริ่มเรียกโลกมารสวรรค์
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือ มิติของที่นี่ข้ามได้ง่ายเป็นอย่างยิ่ง ใช้ปราณปฐพีไม่ถึงครึ่งของเวลาปกติ ลู่เซิ่งก็ฉีกมิติและเชื่อมต่อกับโลกมารสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย
ซู่…
ขณะเกิดเสียงฉีกขาดเบาๆ แสงสีแดงจำนวนมากของค่ายกลก็รวมตัวเป็นก้อนแสงสีแดงขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งลอยอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่ง
ก้อนแสงบิดเบี้ยวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็รวมตัวเป็นซุ้มประตูกลมขนาดใหญ่ สีแดงที่เข้มข้นราวกับเลือดไหลเวียนอยู่ในประตู
สิ่งที่ชวนประหลาดใจมากที่สุดก็คือ มีปากสีดำที่มีฟันแหลมคมจำนวนมากงอกอยู่บนกรอบสีเงินสองข้างของประตู
ปากใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนอ้าหุบอย่างต่อเนื่อง เหมือนคิดจะขย้ำอะไรบางอย่าง
ลู่เซิ่งตกใจเล็กน้อย ก่อนจะมองแสงสีแดงกลางประตูอีกครั้ง ในแสงสีแดงนั่นเหมือนมีเสียงพึมพำดังขึ้นมาเบาๆ
เหมือนกับคนจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังร้องไห้คร่ำครวญ และเหมือนพายุส่งเสียงหวีดหวิว ยังมีเสียงสตรีขับร้องบทเพลงที่แปลกประหลาดและเศร้าสลดแทรกอยู่ด้วย
‘ผิดปกติแล้ว! ไม่เห็นเหมือนเส้นทางของโลกมารสวรรค์เลย!’ ใจลู่เซิ่งพลันเย็นเยียบขึ้นมา เขาตรวจสอบค่ายกลอีกรอบ ก่อนจะพบว่ามันเชื่อมต่อไปยังโลกมารสวรรค์จริงๆ หนำซ้ำกลิ่นอายที่ปรากฏออกมาด้านหลังประตูยังมีความรู้สึกคุ้นเคยเล็กๆ อยู่ด้วย
‘เกิดอะไรขึ้นกันแน่!’
……………………………………….