บทที่ 716 วางแผน (2)
“ดูปฏิกิริยาของเจ้าข้าก็รู้คำตอบแล้ว” ลู่เซิ่งยิ้ม
ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ขุมกำลังธรรมดาที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อเอาสนุกเท่านั้น พลังและศักยภาพที่แท้จริงขององค์กรเงามารยังอ่อนแอเกินไป
ทว่าก็ไม่เป็นไร เพราะเขาไม่ได้คิดจะใช้เงามารในการพัฒนาอยู่แล้ว
ผ่านมาหลายปี เขาไม่ได้เอาแต่ฝึกฝนอย่างเดียว…
เขาค้นพบว่า การใช้กายเนื้อกับวิญญาณของสิ่งมีชีวิตเป็นตัวอำพราง สามารถปลูกถ่ายก้อนเนื้อของร่างหลักแค่ไม่กี่ชิ้นให้กระจายไปในตัวสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนได้อย่างสมบูรณ์
บวกกับวิชาพันเทวะของตัวเขามีความสามารถอย่างอารยธรรมก้าวกระโดดกับประกายวิญญาณหล่อเลี้ยงชีวิต จึงยกระดับสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการปลูกถ่ายชิ้นเนื้อจากเขาไปถึงขั้นที่ไม่อาจจินตนาการได้อย่างสมบูรณ์
กอปรกับเวทมนตร์สร้างวิญญาณที่เป็นเวทมนตร์ในตำนานของเขา
เมื่อเป็นแบบนี้ วิธีการที่ใช้ควบคุมได้จึงมีมากมายเหลือเกิน
พึงทราบว่า เป้าหมายในการมายังโลกใบนี้ของเขาคือการรวบรวมพลังอาวรณ์จำนวนมากเพื่อเลื่อนระดับ
“จริงสิ ยังมีอีกเรื่องค่ะ…ว่ากันว่าร่างจริงของซาดีนที่เป็นกึ่งเทพได้ออกจากทะเลลึกแล้ว ลือกันว่ามีเป้าหมายอยู่ที่เกาะมังกรสีรุ้ง…”
เฌอลีนอดเงยหน้ามองลู่เซิ่งไม่ได้ นางเป็นคนที่รู้ว่าลู่เซิ่งคือมังกรสีรุ้ง เรื่องนี้ไม่นับว่าเป็นความลับ มีระดับสูงจำนวนไม่น้อยของเงามารรู้เรื่องนี้ในตอนที่ลู่เซิ่งเลื่อนระดับ
ตัวลู่เซิ่งเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไรมากเช่นกัน
“เกาะมังกรสีรุ้งหรือ ติดตามสถานการณ์ไปก่อน ข้อมูลต่อจากนี้ให้รายงานข้าทุกเวลา” ลู่เซิ่งโบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก
“ค่ะ”
“เอาล่ะ เจ้าไปเถอะ” ลู่เซิ่งไม่ยี่หระ
…
กลางหุบเขาร้างแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองแสงอรุณหลายกิโลเมตร
เส้นสีทองเส้นเล็กๆ บินมาถึงถ้ำกลางโพรงต้นไม้ของต้นไม้ยักษ์ แล้วทิ้งตัวลงด้านหน้ามังกรทองที่กำลังขดตัวงีบหลับ
“ตรวจสอบได้แล้ว!” กิ้งก่าน้อยสีทองแนนนี่พึมพำเสียงทุ้ม
“เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าของร้านวัตถุโบราณคนนั้นไม่ใช่มนุษย์ธรรมดากระมัง” มังกรทองที่ขดตัวอยู่ถามเสียงแผ่วต่ำ
“ค่ะ ตามข้อมูล ลู่เซิ่งนั่นคือสมาชิกขององค์กรที่มีชื่อว่าเงามารซึ่งอยู่ใกล้ๆ เมืองแสงอรุณ” กิ้งก่าน้อยสีทองแนนนี่รีบตอบ
“เงามารหรือ องค์กรเล็กๆ ที่ผู้นำคือตำนานขั้นต้นนั่นน่ะหรือ” มังกรทองกล่าวอย่างสงสัย
ในเมื่อมารับเจ้าหญิงที่นี่ พวกเขาย่อมต้องตรวจสอบขุมกำลังที่มีความสำคัญทั้งหมดให้กระจ่าง
เงามารเป็นขุมกำลังท้องถิ่นที่กินพื้นที่ครึ่งมลรัฐ ย่อมอยู่ในจำนวนนี้ด้วย
“ค่ะ” แนนนี่พยักหน้า “ตัวลู่เซิ่งมีพลังระดับหนึ่ง แม้จะไม่ได้หยั่งเชิง ทว่าน่าจะอยู่ในระดับทองคำขั้นสูงสุด แถมข้ายังสัมผัสกลิ่นอายของมังกรสีรุ้งบนตัวเขาได้ด้วย”
“มังกรสีรุ้งหรือ” มังกรทองหยีตา เขามังกรของเขาที่แคบยาวส่ายไหวเล็กน้อย เหมือนกับกังขาอยู่บ้าง
สำหรับเผ่ามังกรทั่วไป ระดับทองคำขั้นสูงสุดถือว่าไม่เลวจริงๆ สามารถสร้างการคุกคามให้แก่เผ่ามังกรระดับอ่อนแอบางส่วนได้ไม่น้อย
แต่ว่าก็ยังเป็นคนละระดับกับสายเลือดราชวงศ์มังกรทองอยู่ดี ราชามังกรที่มีสายเลือดราชวงศ์จะขึ้นสู่ระดับตำนานขั้นสูงหลังจากโตเต็มวัย
ยิ่งอย่าว่าแต่ฌาร์ยังเป็นคนที่มีสายเลือดราชวงศ์มังกรทองเข้มข้นที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เคยมีมา อนาคตของนางจึงไร้ขีดจำกัด
ไม่หยุดที่ขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ ถึงขั้นไม่แน่ว่าจะไปถึงขอบเขตนั้นได้
“จะให้ผู้อาวุโสไปไหมคะ…” กิ้งก่าทองแนนนี่ถามเบาๆ
เผ่ามังกรทองแข็งแกร่งร้ายกาจโดยกำเนิด ต่อให้เป็นระดับตำนานของมังกรสีรุ้ง พวกเขาก็ท้าสู้ข้ามระดับได้อย่างง่ายดาย
ส่วนผู้อาวุโสมังกรทองอย่างน้อยก็เป็นตัวตนอันน่ากลัวในระดับตำนานขั้นกลาง หากแปลงเป็นพลังเฉลี่ย นั่นก็คือระดับตำนานขั้นสูงในหมู่มังกรสีรุ้ง
“ไม่ต้องหรอก คอยปกป้องในที่ลับก็พอ เทพมังกรชี้ทางแก่พวกเรา ไม่ได้บอกให้พวกเราแกว่งเท้าหาเสี้ยน ในเมื่อเขาไม่ได้ขวางเราไม่ให้เข้าใกล้เจ้าหญิงฌาร์ อย่างนั้นก็ไม่ต้องสนใจเขา”
“รับทราบค่ะ”
สำหรับพวกเขา องค์กรธรรมดาที่มีผู้นำระดับตำนานขั้นต้นไม่ถือว่ามีผลกระทบอะไร
ในฐานะเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่มังกร ต่อให้เผ่ามังกรทองจะตกต่ำลง แต่ก็มีมังกรยักษ์ระดับตำนานหลายสิบตัวและราชามังกรขอบเขตศักดิ์สิทธิ์อีกหลายตัว
ถึงแม้เทพเจ้าจะจุติลงมา ก็ไม่กล้าปะทะกับขุมกำลังยิ่งใหญ่แบบนี้ซึ่งหน้า ยิ่งอย่าว่าแต่มังกรสีรุ้งแค่ตัวเดียว
อย่างมากสุดพรสวรรค์ของมังกรสีรุ้งก็ได้แต่ไปถึงระดับตำนานขั้นสูงเท่านั้น และมังกรสีรุ้งระดับตำนานขั้นสูงก็เป็นแค่ผู้อาวุโสตัวหนึ่งในเผ่ามังกรสีทอง
ไม่มีผลกระทบอะไรแม้แต่น้อย
“ต่อให้ลู่เซิ่งนั่นจะเป็นมังกรโบราณที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่มังกรสีรุ้งก็ไม่เป็นไร ทำตามแผนการไปก็พอ” มังกรทองใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนจะกล่าวเสริม “สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือรีบทำให้เจ้าหญิงปลุกสายเลือดขึ้นมาให้ได้มากกว่าเดิม”
“เข้าใจแล้วค่ะ!”
“อย่างมากสุดค่อยทิ้งของชดเชยไว้ให้ลู่เซิ่งนั่นหลังจากพาตัวเจ้าหญิงไปก็พอแล้ว”
มังกรสีรุ้งระดับทองคำขั้นสูงสุด…ถ้ายอมร่วมมือก็ดี แต่ถ้าไม่รู้จักชั่วดี เห็นแก่ที่เขาดูแลเจ้าหญิงมาหลายปี แค่ขับไล่เขาไปก็พอ…
…
“คาร์นาน อันซีโด เจมัวร์ ซัคลิง…”
ท่ามกลางเสียงท่องคาถาคลุมเครือ
อักขระสีแดงอมม่วงที่เหมือนกับเถาวัลย์หลายสายสว่างขึ้นรอบๆ ถ้ำใต้ดินที่ลู่เซิ่งยืนอยู่อย่างต่อเนื่อง
ปราณวิญญาณสีขาวบริสุทธิ์โปร่งแสงหลายสายปรากฏออกมารอบๆ ตัวลู่เซิ่งตลอดเวลา จากนั้นก็มุดหายเข้าไปในอักขระบนผนังรอบๆ
นี่คือเวทสร้างวิญญาณ
เวทมนตร์ที่ลู่เซิ่งเลือกตอนเลื่อนสู่ระดับตำนาน เวทสร้างวิญญาณมีผลเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือการมอบวิญญาณเสมือนให้กับสิ่งของ
วิญญาณเสมือนทำให้ของชิ้นหนึ่งได้รับนิสัยและจิตวิญญาณที่ลู่เซิ่งติดตั้งไว้ชั่วคราว
เมื่อเป็นแบบนี้ ขอแค่ใส่พลังงานเข้าไปมากพอ ก็จะทำให้สิ่งต่างๆ มีชีวิตขึ้นมาได้
แน่นอนว่ามันไม่ได้มีประโยชน์แค่นี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ลู่เซิ่งใช้เวทมนตร์ชนิดนี้มอบชีวิตให้แก่วัตถุโบราณทั้งหลาย แล้วหาข้อมูลมากมายที่ควรจะสูญหายไปในกระแสธารประวัติศาสตร์นานแล้วกลับมาได้
อย่างเช่นภาพน้ำมันที่อยู่ด้านหน้า
ลู่เซิ่งพบกลิ่นอายที่มาจากมิติอื่นด้านในตัวมัน จึงจ่ายเงินซื้อมันมา ต่อมาหลังจากทำให้มันมีชีวิต ภาพวาดก็กลายเป็นผู้อาวุโสจากยุคโบราณที่เปี่ยมไปด้วยความรู้
ลู่เซิ่งได้ทราบถึงเบาะแสของพลังอาวรณ์จำนวนไม่น้อยจากปากของภาพน้ำมันภาพนี้
แน่นอนว่าราคาที่ต้องจ่ายคือการใช้เวทสร้างวิญญาณเติมจิตวิญญาณเสมือนให้แก่ภาพน้ำมันทุกๆ ห้าปี
คาถาจบลง เวทสร้างวิญญาณค่อยๆ หายไป ถ้ำใต้ดินกลับสู่สภาพปกติ
ภาพน้ำมันฝังอยู่บนผนังถ้ำ รอบๆ มีกรอบโลหะที่แข็งแกร่งคอยคุ้มกัน สองฟากข้างยังมีปนาลี[1]ขนาดยักษ์สองตัวที่ไม่ขยับเขยื้อนคอยคุ้มครองอีกที
ลู่เซิ่งหยุดท่องคาถาแล้วมองภาพน้ำมันสีขาวอมเทา
“จิตวิญญาณของปีนี้เติมเรียบร้อยแล้ว บอกทีว่าทางเข้าของสถานที่แห่งนั้นอยู่ตรงไหน”
ริมฝีปากชราโผล่ขึ้นมาบนผืนผ้าสีขาวอมเทาของภาพน้ำมัน
“ข้าบอกเบาะแสท่านไปแล้ว นายท่าน ทางเข้าอยู่ในลูกแอปเปิลที่ชิงช้ากระทบกับจันทร์เพ็ญเป็นเสียงสามครั้ง”
“…ยังเป็นประโยคเดิมหรือ” ลู่เซิ่งหยีตา
เขาจะถามคำถามนี้ทุกช่วงเวลาหนึ่ง ไม่ใช่เพราะเหตุใดอื่น เป็นเพราะผู้วาดภาพนี้คือผู้นำบัลร็อค[2]ที่มาจากห้วงอเวจี
เขาต้องการตามหาพิกัดและทางเข้าที่เสถียรในการไปยังห้วงอเวจี ทว่าในยุคสมัยนี้ ห้วงอเวจีกับยมโลกได้ถูกเหล่าเทพสะกดจนแทบหาไม่เจอแล้ว
ในเวทมนตร์ทั้งหมดไม่มีร่องรอยใดๆ เหลืออยู่อีก ได้แต่ลงมือจากการบูชานอกรีตเท่านั้น
ลู่เซิ่งสนใจห้วงอเวจีกับยมโลกเป็นอย่างยิ่ง สถานที่ที่วุ่นวายไม่มีกฎเกณฑ์คอยกำกับแบบนั้นเป็นสภาพแวดล้อมที่เขาชอบที่สุด ไม่เหมือนกับมิติหลักที่จำเป็นต้องระวังและให้ความสนใจกับท่าทีของพวกเทพ
สิบกว่าปีมานี้ ลู่เซิ่งสั่งสมพลังอาวรณ์มาได้ห้าแสนกว่าหน่วยแล้ว แม้จะไม่มาก แต่ก็ไม่ถือว่าน้อย
ถ้าเป็นลู่เซิ่งเมื่อก่อนอาจจะพอใจไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาต้องการเลื่อนสู่ขั้นต่อไป หากมีไม่ถึงสิบล้านกว่าหน่วยก็อย่าหวังเลย
“ท่านน่าจะใช้วงแหวนเวททำพิธีเพื่อลองอัญเชิญแบบย้อนกลับได้นะขอรับ” ภาพวาดเสนอ
“อัญเชิญย้อนกลับ…” ลู่เซิ่งหรี่ตา ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็โบกมือ
ภาพวาดพลันหายไปในผนังถ้ำ
ภายในถ้ำเหลือแค่ลู่เซิ่งคนเดียว
การใช้วงแหวนเวทอัญเชิญย้อนกลับครั้งล่าสุดคือเมื่อหนึ่งปีก่อน ลู่เซิ่งใช้ดัชนีมรณะที่เรียนรู้ถึงขั้นเก้าร้อยเก้าสิบเก้าสร้างตวนเซอทุส จอมอสูรแห่งห้วงอเวจีลำดับที่สิบเก้าขึ้นมาใหม่ แต่ขณะที่กำลังจะปลูกถ่ายชิ้นเนื้อของตัวเองเพื่อควบคุมอีกฝ่าย เขากลับถูกจิตอันน่ากลัวที่ยิ่งใหญ่มหึมาขับไล่กลับมา
วงแหวนเวทพังทลายลงทันที อีกทั้งลู่เซิ่งยังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพราะปะทะกับร่างจิตอันน่ากลัวร่างนั้นด้วย ต่อมาจึงมีการเตรียมการที่เอาไว้ใช้กับวงแหวนอัญเชิญย้อนกลับที่จะใช้กับห้วงอเวจีโดยเฉพาะ
ลู่เซิ่งติดตั้งวงแหวนอัญเชิญย้อนกลับอีกรอบ จากนั้นก็บูชาด้วยของเซ่นไหว้ ของเซ่นไหว้เป็นของดีระดับสูงสุดคือแกนผลึกมังกรสีแดงที่สมบูรณ์ก้อนหนึ่ง และไข่มุกเวทอนธการที่มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตในห้วงอเวจีถึงขีดสุด
รวมถึงลูกแก้วความโกลาหลบางส่วนที่ลู่เซิ่งรวบรวมเอาไว้ นี่เป็นสมบัติฟุ่มเฟือยสำหรับเติมพลังงานที่ผู้นำแห่งห้วงอเวจีชอบที่สุด
ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งใช้ของเซ่นเหล่านี้ล่อผู้นำแห่งห้วงอเวจี จากนั้นก็อัญเชิญจอมอสูรแห่งห้วงอเวจีตนหนึ่งออกมาได้สำเร็จ
ครั้งนี้คงไม่มีปัญหาเหมือนกัน
‘ครั้งก่อนได้ลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์มาจากตวนเซอทุสสามจุด ในเมื่อบุกเข้าห้วงอเวจีไม่ได้ อย่างนั้นการหาลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์มาให้เยอะๆ ก็ถือว่าไม่เลวเหมือนกัน…’ ลู่เซิ่งวาดวงแหวนผนึกที่อยู่รอบๆ อย่างตั้งใจ
เขาทราบแล้วว่า สิ่งที่ขัดขวางเขาในครั้งก่อนคือองค์รวมแห่งห้วงอเวจี เป็นตัวตนอันน่ากลัวที่เรียกว่าจิตแห่งห้วงอเวจี
นั่นคือสัตว์ประหลาดแห่งความโกลาหลที่เป็นปรปักษ์กับเหล่าเทพเจ้า เป็นร่างจิตแห่งความละโมบกลุ่มหนึ่ง
ขอแค่ระวังตัว ไม่พาตัวเองเข้าไปในห้วงอเวจี ก็น่าจะไม่ถูกห้วงอเวจีดีดกลับมา
ส่วนจอมอสูรแห่งห้วงอเวจี ขอแค่ไม่ใช่เทพที่แท้จริงที่จุดอัคคีเทพได้ ก็ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของดัชนีมรณะขั้นเก้าร้อยเก้าสิบเก้าของเขา
‘น่าเสียดาย…ลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่กี่จุดในมือเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพิษและการกัดกร่อน ไม่มีพวกความแก่ชราที่เกี่ยวข้องกับเวลาเลย’ กล่าวได้ว่าลู่เซิ่งอยากได้ลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์จนน้ำลายสอ
ลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์บรรจุการวิเคราะห์และความเข้าใจต่อกฎเกณฑ์ต่างๆ นับไม่ถ้วนเอาไว้
ลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกันคือความรู้ความเข้าใจในมุมมองต่างๆ ที่บรรลุถึงระดับสูงสุด ครั้งก่อนพอเขาได้ดูดซับลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์พิษจุดหนึ่ง พลังของตัวเองก็ได้รับการปลดปล่อยครึ่งหนึ่งทันที
ครั้งนี้ถ้าได้กินจอมอสูรแห่งห้วงอเวจีได้อีกสักตัวล่ะก็ อาจจะ…
ความจริงเดิมทีเขาอยากจะสังหารพวกกึ่งเทพ ผู้เข้มแข็งประเภทนี้ครอบครองลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ แต่จุดอัคคีเทพไม่ได้ และไม่มีคุณสมบัติเทพ ต่อให้แอบกินสักสองสามคน ก็ไม่มีทางไปกระตุ้นความระวังตัวของระบบเทพทั้งหมดเข้า
แต่ต่อมาหลังจากค้นพบการเชื่อมต่อที่ซับซ้อนระหว่างกึ่งเทพกับระบบเทพใหญ่ๆ ลู่เซิ่งก็หันเหความสนใจไปที่ห้วงอเวจี
ถ้าหากปลดพลังของร่างหลักได้อย่างสมบูรณ์ เขาก็จะสามารถใช้โลกรูปจิตกลืนกินห้วงอเวจีและได้รับผลประโยชน์ที่เหนือจินตนาการโดยสิ้นเชิงมา
……………………………………….
[1] ปนาลี คือรูปปั้นการ์กอยล์ ที่แกะสลักจากหินติดไว้ตามสถาปัตยกรรมแบบกอธิคโบราณ เชื่อว่าเดิมเป็นมังกร ตอนกลางวันจะเป็นรูปสลัก ตอนกลางคืนจะกลายร่างเป็นมังกรบินไปทั่วเพื่อปกป้องไม่ให้สิ่งชั่วร้ายเข้ามารังควาน
[2] บัลร็อค สัตว์ประหลาดจากปกรณัมลอร์ด ออฟ เดอะ ริงค์ มีร่างเป็นเปลวไฟ