ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 707 ฝึกฝน (1)

บทที่ 707 ฝึกฝน (1)

บทที่ 707 ฝึกฝน (1)

หลังจากทดลองร่ายเวทหลายครั้ง ลู่เซิ่งก็แสดงพรสวรรค์ด้านการร่ายเวทของตัวเองออกมาให้เห็นตั้งแต่แรก

เมื่อไม่มีดีปบลู เขาก็ได้แต่สร้างพื้นฐานขึ้นเอง ทางหนึ่งแอบควานหาพลังอาวรณ์ในถ้ำเก็บสมบัติของเหล่ามังกรสีรุ้ง ทางหนึ่งเผยพรสวรรค์ด้านการร่ายเวทของตัวเองออกมาเพียงเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าผู้อาวุโสสนใจเกินไป

เป็นเพราะครอบครองพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งร้ายกาจ จึงทำให้เขาก้าวสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นหนึ่งสำเร็จตั้งแต่ปีแรกที่สัมผัสกับสื่อการสอนเวทมนตร์อย่างเป็นทางการ

จากนั้นก็ใช้คาถาสำหรับร่ายเวทสามชนิดกับแบบจำลองการปลดปล่อยเวทมนตร์สิบหกชนิดได้อย่างง่ายดาย

พึงทราบไว้ว่า เวทมนตร์สำหรับร่ายเวทจำเป็นจะต้องแปลงพลังจิตของตัวเองให้กลายเป็นแบบจำลองต่างๆ และประสานกับวัตถุดิบพิเศษหลากหลายชนิด ถึงจะจัดตั้งแบบจำลองเวทมนตร์ได้ เหมือนกับการสร้างเครื่องจักร

จากนั้นค่อยเติมพลังงานธาตุลงไปเพื่อใช้เวทมนตร์

เวทมนตร์ที่แตกต่างกันใช้สัดส่วนธาตุแต่ละชนิดต่างกันออกไป เหมือนกับการปรับปรุงตำรับยาในศาสตร์เคมี หากว่าเกิดปัญหาใดๆ ขึ้น ประสิทธิผลของเวทมนตร์ที่ปล่อยออกมาในตอนสุดท้ายก็เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่อาจจะเกิดการระเบิดได้

ดังนั้นเวทมนตร์ขั้นพื้นฐานที่บันทึกไว้ในสื่อการสอนคัมภีร์เวท จึงเป็นแบบจำลองที่สมบูรณ์แบบที่สุดซึ่งได้มาจากการปรับปรุง สะสม และกลั่นกรองของเหล่าผู้ร่ายเวทเป็นเวลานานหลายปี

ลู่เซิ่งจึงไม่กล้าปรับเปลี่ยนและบัญญัติขึ้นเอง

โดยปกติแล้ว อัตราความสำเร็จของการบัญญัติเวทมนตร์ขึ้นเองอยู่ระหว่างห้าต่อพันส่วนและหนึ่งต่อพันส่วน ความไม่เสถียรของธาตุทำให้เกิดการระเบิดได้อย่างง่ายถึงขีดสุด

ดังนั้นลู่เซิ่งจึงได้แต่ยกระดับความรู้ตามเนื้อหาในคัมภีร์เวทตามลำดับขั้นตอน

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ก้าวสู่ระดับจอมเวทขั้นสองสำเร็จในปีที่ห้า แต่เพียงแสดงผลงานต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสในระดับศิษย์จอมเวททั่วไปเท่านั้น

และในเวลาเดียวกัน เขาก็เริ่มให้ความสนใจกลไกของข่ายเวทมนตร์ กลไกชนิดนี้ทำให้เขาปลดปล่อยเวทมนตร์ออกมาได้ง่ายกว่าเดิม แต่กลับลดการสัมผัสและการควบคุมต่อธรรมชาติของเวทมนตร์ลง

สิ่งที่ทำให้เขาสนใจยิ่งกว่าก็คือ ข่ายเวทมนตร์เป็นผลิตผลที่ถูกควบคุมโดยเหล่าเทพ

ความจริงนี้ได้เตือนเขาว่า โลกใบนี้มีเทพอยู่

ในถ้ำมังกร

ลู่เซิ่งใช้มือขีดพื้นเป็นเส้นเล็กๆ หลายสาย

รอยขีดจำนวนมากกลายเป็นวงแหวนเวทขนาดใหญ่ซึ่งมีลักษณะค่ายกลอักขระใต้เท้าของเขา

นี่คือวงแหวนเวทวาจามังกร เป็นวงแหวนเวทพิเศษที่มีแต่เผ่ามังกรเท่านั้นถึงจะใช้ได้ตามใจนึก เป็นระบบอักขระที่มีเฉพาะในเผ่ามังกร

ลู่เซิ่งใช้เวลาหนึ่งเดือนภายใต้การช่วยเหลือของดีปบลูถึงจะใช้ได้อย่างสมบูรณ์

“ลู่เซิ่ง” อยู่ๆ ก็มีเสียงมังกรน้อยตะโกนมาจากด้านนอกเสียงดัง ชื่อนี้เป็นชื่อที่ลู่เซิ่งให้มังกรตัวอื่นๆ เรียกเขาตอนอายุสามขวบ เป็นฉายาที่ใช้ซ่อนชื่อจริง

แต่มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ว่านี่เป็นชื่อจริงของเขา

“อะไรหรือ แซลลี”

“พี่ลู่เซิ่ง อาจารย์ทีอาอยากให้พวกเราไปเข้าคาบเรียนสร้างพลังงานเจ้าค่ะ…” มังกรน้อยแซลลีกล่าวอย่างระมัดระวัง

มือของลู่เซิ่งที่กำลังวาดอักขระเวทชะงักเล็กน้อย

เขาทราบว่าคาบเรียนของอาจารย์ทีอาเป็นคาบเรียนที่ได้รับความนิยมที่สุดในหมู่พวกครู แต่นั่นมันสำหรับมังกรน้อยตัวอื่นๆ เท่านั้น

ตอนนี้เขาเลื่อนสู่ระดับจอมเวทขั้นสามแล้ว แต่ทีอายังสอนวิธีเลื่อนระดับจากระดับศิษย์จอมเวทสู่ระดับจอมเวทขั้นหนึ่งโดยการสร้างแบบจำลองอยู่เลย…

ตามหลักตรรกะทั่วไป หากจอมเวทคุณสมบัติธรรมดาคนหนึ่งต้องการเลื่อนจากศิษย์จอมเวทเป็นจอมเวทขั้นหนึ่ง จะต้องใช้เวลาสิบห้าปีเป็นอย่างต่ำ

นับจากจอมเวทขั้นหนึ่งถึงขั้นสามจะต้องดูที่พรสวรรค์ มีอัจฉริยะน้อยคนที่จะไปถึงได้ และจำเป็นต้องใช้เวลาสิบห้าปีโดยประมาณ

แต่จากระดับศิษย์จอมเวทถึงจอมเวทขั้นสาม เขาใช้เวลาแค่หกปีเท่านั้น

ความเร็วแบบนี้ ต่อให้อยู่ในสังคมมนุษย์ที่ความเร็วในการเติบโตของผู้แข็งแกร่งรวดเร็วที่สุด ก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะที่น่าหวั่นสะพรึงเช่นกัน

‘เนื้อหาคาบเรียนที่ถึงแค่ระดับจอมเวทขั้นหนึ่ง…ไม่มีส่วนช่วยต่อตัวเราแม้แต่น้อย แต่ไปผูกมิตรกับหาวัตถุโบราณสักหน่อยก็ถือว่าไม่เลวเหมือนกัน’ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้เขาไม่อยากจะแสดงพรสวรรค์อันน่ากลัวของตัวเอง

เผ่ามังกรเป็นเป้าหมายที่เหล่าเทพให้ความสนใจถึงขีดสุดเสมอมา ต่อให้จะเป็นมังกรสีรุ้งที่ตอนนี้ตกต่ำก็ไม่ต่างกัน

ดังนั้นเขาจะต้องรับประกันว่าทุกการกระทำและคำพูดของตัวเองจะไม่มีช่องโหว่ใดๆ ทั้งสิ้น

“เจ้าไปก่อนเถอะ ข้าจะตามไปทีหลัง” ลู่เซิ่งตอบอย่างราบเรียบ

“ค่ะ…ค่ะ!” แซลลีรีบตอบ

ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร นางถึงได้กลัวเดรียนก้าที่ฟักออกจากไข่มาเป็นตัวแรกสุดตัวนี้เหลือเกิน นางไม่รู้ทำไมเดรียนก้าถึงอยากให้คนอื่นเรียกเขาว่าลู่เซิ่ง

ชื่อนี้แปลกพิลึก แถมยังออกเสียงยากอีกต่างหาก

แต่นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ลู่เซิ่งแตกต่างจากมังกรน้อยอีกสองตัว

เขาโดดเดี่ยว ทำอะไรตัวเดียว ชอบหมกตัวอยู่ในถ้ำเก็บคัมภีร์ทั้งวัน ไม่สิ ถึงขั้นเป็นหนึ่งสัปดาห์หรือหนึ่งเดือนเลยก็มี

ถ้าไม่ใช่กลุ่มพรานมังกรจัดหาอาหารให้มังกรน้อยตามเวลาที่กำหนดเพื่อให้พอยาไส้ แซลลียังนึกสงสัยว่าลู่เซิ่งจะหิวตายในถ้ำเก็บคัมภีร์หรือไม่

ต่อมาหลังจากแยกถ้ำกันแล้ว ลู่เซิ่งก็ย้ายไปอยู่ในเหมืองแห่งหนึ่งที่อยู่ค่อนข้างไกลจากมังกรน้อยตัวอื่นเพียงลำพัง

ถ้ำมังกรของมังกรน้อยตัวอื่นอยู่ติดกัน มีแต่เขาเท่านั้นที่จงจงใจตีตัวออกห่าง

นี่ทำให้แซลลีที่เดิมทีนึกฉงนอยู่แล้วรู้สึกลึกลับยิ่งกว่าเดิม

นางคิดว่าลู่เซิ่งร้ายกาจมาก ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นอันไซเฟอร์ที่กำยำที่สุดก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา

แม้พวกเขาจะไม่เคยสู้กัน แต่ไม่ทราบว่าทำไมแซลลีถึงได้มีความเชื่อมั่นอย่างมืดบอดต่อลู่เซิ่ง

ความจริงแล้วปกติลู่เซิ่งจะไม่พูด แต่ถ้าได้พูด อันไซเฟอร์ และบอร์กจะต้องฟังความต้องการของเขาโดยไม่รู้ตัว

นี่ทำให้แซลลีนับถือมาก

นางวิ่งไปเข้าคาบเรียนอย่างตื่นเต้น ส่วนลู่เซิ่งไปถึงตามเวลา แม้จะทันแบบฉิวเฉียด แต่ก็ไม่สาย

“วันนี้จะเป็นคาบปฏิบัติ” ทีอาผู้เป็นอาจารย์คือมังกรเพศเมียที่สวยที่สุดในเผ่ามังกรสีรุ้ง

นางมีปีกที่สว่างไสวงดงามที่สุด ช่วงคอที่ระหงที่สุด และแขนขากับลำตัวที่เรียวยาวสมส่วนที่สุด

เสียงเองก็ไพเราะเพราะพริ้งเหมือนเด็กสาวเช่นกัน

“คาบปฏิบัติหรือขอรับ” อันไซเฟอร์ลุกขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ “อาจารย์ทีอาเตรียมจะพาเราไปยังเทือกเขาสกัดเวทแล้วหรือขอรับ”

“เทือกเขาสกัดเวทหรือ ไม่อยู่แล้ว เพียงแค่ให้พวกเจ้าเตรียมตัวสำหรับอันตรายที่อาจจะได้พบต่างหาก” ทีอาตอบอย่างเรียบเฉย

นางค่อนข้างมีความรู้สึกที่ดีต่อเด็กๆ สี่ตัวนี้ เพียงแต่เป็นเพราะมีนิสัยเงียบๆ เลยแสดงออกไม่ชัดเจนเท่านั้น

“พวกเราจะไปที่ไหนหรือขอรับ” บอร์กรีบถามเสียงดัง เขาสนใจการผจญภัยมาโดยตลอด แตกต่างจากอันไซเฟอร์ที่ชอบต่อสู้ เขาชอบสำรวจปริศนามากกว่า

“ไปสถานที่ที่พวกเจ้านึกไม่ถึง” ทีอายิ้มอย่างหาได้ยาก “ตามข้ามา”

ว่าแล้วนางก็พามังกรน้อยทั้งสี่ตัวหมุนตัวบินไปยังส่วนที่ลึกกว่าเดิมของถ้ำมังกร

มังกรน้อยทั้งสี่ตัวตามไปติดๆ บินไปยังส่วนลึกของใต้ดินในถ้ำมังกร ไม่นานนักถ้ำก็ค่อยๆ ขยายกว้าง คล้ายกับเข้าสู่ระดับโพรงถ้ำใต้ดิน

ทีอาไม่ได้หยุดลง หักเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปตามโพรงถ้ำ ผ่านไปราวครึ่งชั่วยามกว่าๆ นางจึงค่อยหยุดลงอย่างช้าๆ

เหล่ามังกรน้อยมองไปในความมืดมิด อาศัยความสามารถรับรู้ในความมืด พวกเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าด้านหน้ามีเงาคนร่างสูงใหญ่สีดำสนิทสี่สายตั้งตระหง่านอยู่

“นี่คือหุ่นเวทสงครามสี่ตัวที่เราพบ เป็นระดับเงินทั้งหมด พวกมันเป็นคู่ซ้อมให้พวกเจ้าได้เป็นเวลานาน” ทีอาเอ่ยอย่างสงบนิ่ง

“หุ่นเวทได้รับการซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำในตอนนี้คือการปล่อยเวทมนตร์ที่ตนเองถนัดที่สุดใส่พวกมัน”

“แค่นี้ก็ได้แล้วหรือคะ” แซลลีถาม

“ย่อมไม่ หุ่นเวทสี่ตัวนี้ต่างก็มีชั้นเคลือบพิเศษที่อาศัยธาตุไฟเติมพลังงาน เป้าหมายของพวกเจ้าก็คือ ทำให้การเติมพลังงานของหุ่นเวทสำเร็จลงแบบหนึ่งต่อหนึ่ง จงจำไว้ด้วยว่า ใช้ได้แค่ธาตุไฟเท่านั้น และต้องใช้เวทภาษามังกรด้วย” ทีอาเตือน

“มีกำหนดเวลาไหมขอรับ” ลู่เซิ่งส่งเสียงถาม

“ไม่มี” ทีอาตอบอย่างใจเย็น “จะเติมพลังงานได้สำเร็จก็ต่อเมื่อมีเวทมนตร์สายธาตุไฟที่สอดรับกับเงื่อนไขอย่างสมบูรณ์เท่านั้น ถ้าหากไม่ผ่าน ก็จะถูกชั้นต้านเวทแยกตัวไป เท่ากับทำไปเสียเปล่า”

“อย่างนี้นี่เอง” ลู่เซิ่งพยักหน้า “แสดงว่าเลือกตัวไหนก็ได้สินะขอรับ” เขาเข้าใจความต้องการของอาจารย์คร่าวๆ แล้ว

“ใช่” ทีอากวาดตามองลู่เซิ่ง

นางให้ความสำคัญกับมังกรน้อยตัวนี้เสมอมา

เยือกเย็นไม่วู่วาม ละเอียดอ่อนไม่หยาบกระด้าง ทำทุกอย่างด้วยความใจเย็นตลอดเวลา ความก้าวหน้าในอนาคตจะต้องไม่เลวแน่

นางค่อนข้างชอบลู่เซิ่งที่มีนิสัยแบบนี้

“ถ้างั้นข้าขอเลือกก่อนก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งเดินไปหาหุ่นเวทตัวที่สอง เพิ่งเดินเข้าใกล้ไม่ถึงห้าเมตร สองตาของหุ่นเวทก็เรืองแสงขึ้นพร้อมกับจับจ้องมองเขา

ลู่เซิ่งสำรวจลวดลายวงแหวนเวทที่ปรากฏออกมาบนหน้าอกของหุ่นเวท

‘เป็นแค่วงแหวนอักขระดูดซับพลังงานเวทมนตร์ขั้นหนึ่งเท่านั้น’ เขาที่เข้าใกล้ระดับจอมเวทขั้นสามแล้วย่อมมองความลับของหุ่นเวทตัวนี้ออกได้ทันที

“อัคคีมังกร” เขาท่องภาษามังกรเบาๆ เพื่อท่องชื่อเวทมนตร์

เปลวเพลิงร้อนแรงกลุ่มหนึ่งพลันลุกไหม้บนอุ้งมือขวาของเขาเหมือนกับคบเพลิง

“ร่ายในพริบตา! ถึงกับเป็นการร่ายในพริบตา!”

บอร์กอดส่งเสียงร้องด้วยสีหน้าแตกตื่นไม่ได้ นี่คือเวทมนตร์ขั้นหนึ่ง! เวทมนตร์อย่างเป็นทางการเชียวนะ!

ถึงตอนนี้เขาพยายามปล่อยเวทนี้มานานแล้ว ได้แต่ปล่อยลูกไฟหย่อมเล็กๆ เท่านั้น คิดจะปล่อยเวทมนตร์ขั้นหนึ่งอย่างเป็นทางการแบบนี้ออกมาโดยสมบูรณ์ เขารู้สึกว่าตัวเองต้องฝึกอย่างน้อยอีกสองปี

แต่ลู่เซิ่งถึงกับ

ไม่เพียงแค่บอร์กเท่านั้น อันไซเฟอร์กับแซลลีก็อ้าปากตาค้างขณะจ้องมองลู่เซิ่งที่แสดงผลงานอย่างสบายเช่นกัน

แม้แต่ทีอาก็ประหลาดใจเล็กน้อย

แต่สำหรับนางแล้ว เวทมนตร์ขั้นหนึ่งไม่นับว่าเป็นอะไร นางเพียงตกใจเล็กน้อย ก่อนจะกลับเป็นปกติทันที

ฟ้าว…!

เวทอัคคีมังกรถูกดูดเข้าไปในอกของหุ่นเวทอย่างง่ายดาย

สองตาของหุ่นเวทสว่างกว่าเดิมเล็กน้อย

“ไม่พอ ยังต้องการเวทมนตร์ระดับเวทอัคคีมังกรอีกอย่างน้อยสิบสี่ครั้ง” ทีอาเตือน

“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า แล้วปล่อยเวทอัคคีมังกรออกมาอีกสองครั้งอย่างผ่อนคลาย ซึ่งต่างก็ถูกหุ่นเวทดูดซับเข้าไปในร่างกายสำเร็จ

ความเร็วการร่ายเวทที่มั่นคงและน่ากลัวแบบนี้ทำให้ทีอาค่อนข้างตกใจ

พึงทราบว่าเมื่อปล่อยเวทมนตร์เสร็จแล้ว จะสูญเสียความทรงจำทั้งหมดของเวทมนตร์นี้ไป แม้จะมีข่ายเวทคอยช่วยสร้างแบบจำลอง แต่ยังคงเป็นขั้นตอนที่ลำบากถึงขีดสุด

“จริงสิ อาจารย์ทีอา ข้าชอบวัตถุโบราณกับเพชรพลอย ไม่ทราบว่าให้ข้าชมถ้ำสะสมของท่านได้ไหมขอรับ” ลู่เซิ่งพลันเงยหน้าแสดงความปรารถนาอย่างจริงจัง

ทีอางุนงง จากนั้นก็มองจุดดำเกรียมสามจุดบนตัวหุ่นเวท นั่นคือร่องรอยที่เหลืออยู่หลังจากใช้เวทอัคคีมังกรสำเร็จสามครั้ง

“ถ้าเจ้ากระตุ้นหุ่นเวทได้อย่างราบรื่น ข้าก็รับปากเจ้า” ทีอาเอ่ยอย่างราบเรียบ

“ง่ายดายยิ่ง” ลู่เซิ่งยิ้ม

“อ้อ?” ทีอางงงัน ภารกิจนี้ไม่ง่ายเลยสำหรับมังกรน้อยที่เพิ่งอายุหกขวบ

“ในเมื่อเจ้าบอกว่าง่าย แล้วในอีกห้าวันสามารถกระตุ้นได้ไหม”

“ได้ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า

มังกรน้อยอีกสามตัวก้าวขึ้นหน้าโดยไม่ยอมแสดงความอ่อนแอเช่นกัน

“ข้าก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน!” อันไซเฟอร์ก้าวขึ้นหน้าอย่างมาดมั่น ก่อนจะโบกอุ้งมือปล่อยแสงไฟสายหนึ่งออกมาในพริบตาเช่นกัน

แต่แสงไฟนี้ไม่ใช่เวทอัคคีมังกร หากเป็นเวทส่องแสงอันเป็นเวทมนตร์ระดับศูนย์…

มังกรน้อยอีกสองตัวเข้าไปปล่อยเวทส่องแสงของตนออกมาเช่นกัน…เป็นคนละระดับกับเวทอัคคีมังกรของลู่เซิ่งโดยสิ้นเชิง แม้ว่าเวทส่องแสงจะดูคล้ายกับเวทอัคคีมังกรมากก็ตาม

ทีอาส่ายหน้าอย่างจนใจขณะมองดูมังกรน้อยทั้งสาม แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก

……………………………………….

Options

not work with dark mode
Reset