ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 698 แก้แค้น (2)

บทที่ 698 แก้แค้น (2)

บทที่ 698 แก้แค้น (2)

“คำถามสุดท้าย” บุรุษในเรือเหาะเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “ราวครึ่งชั่วยามก่อนหน้า มีเรือเหาะลำหนึ่งที่บินออกจากดาวปรภพที่สามมาที่นี่ พวกเจ้าเห็นหรือไม่”

“ดาวปรภพที่สามหรือ” เหล่าเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนงุนงงพร้อมกัน รู้สึกตึงเครียด มีเพียงสตรีผู้นั้นที่แสดงสีหน้าสงสัย

“ไม่นี่ พวกเราลาดตระเวนอยู่แถวนี้มาโดยตลอด ไม่เคยเห็นเรือเหาะลำไหนผ่านมา แถวนี้เปลี่ยวร้างมาโดยตลอด ถ้ามีเรือเหาะ พวกเราจะพบเห็นได้ทันที”

นางพลิกมือไปไพล่ไว้ด้านหลังขณะที่พูดและทำสัญญาณมือให้สหายที่อยู่ด้านหลังดู

สหายเข้าใจทันที ก่อนจะลอบเปิดอักขระค่ายกลเตือนภัยเร่งด่วนที่เหน็บไว้หลังเอว

คนที่ขับเรือเหาะส่วนตัวได้ ทั้งยังกล้ามารับคนตามลำพังทั้งๆ ที่ทราบว่ามีกลุ่มลาดตระเวนอยู่ตรงนี้ จะต้องไม่ใช่คนที่พวกเขาสามคนรับมือได้แน่นอน

จะต้องเรียกกำลังคนมาป้องกันเหตุไม่คาดฝันไว้ก่อน

“เจ้าเห็นไหม” บุรุษในเรือเหาะมองบุรุษอีกคน

“ไม่ ไม่เห็น พวกเราอยู่ด้วยกัน อยู่แถวๆ นี้” บุรุษผู้นั้นรีบโบกมือ

“แล้วเจ้าเล่า” บุรุษในเรือเหาะมองคนสุดท้าย

“ข้า…”

“เจ้าเคยเห็นมาก่อน” บุรุษในเรือเหาะพลันตัดบท

“ไม่! ไม่! ข้าไม่เคยเห็น!” บุรุษลาดตระเวนไม่ทราบว่าจิตใจเย็นเยียบได้อย่างไร รีบโบกมือโต้แย้ง

“จงพาข้าไป” ประกายสีแดงอ่อนสว่างในสองตาดำขลับของบุรุษบนเรือเหาะซึ่งกำลังจ้องมองคนลาดตระเวน

“ข้า…” คนลาดระเวนรู้สึกว่ามีเหงื่อกาฬไหลออกมาบนแผ่นหลังของตัวเองอย่างมิอาจควบคุม เขาค่อยๆ ถอยหลัง แล้วก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาของอีกฝ่าย

“ไม่ต้องกลัว…” บุรุษในเรือเหาะพลันกล่าวประโยคหนึ่งอย่างอธิบายไม่ได้

ฟ้าว!

ทันใดนั้นผมบนร่างคนลาดตระเวนก็ยาวขึ้นอย่างฉับพลัน แค่ชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น ผมที่ยาวพลันกลายเป็นหนามแหลมสองแท่ง แล้วแทงใส่สหายอีกสองคนอย่างไม่ทันตั้งตัว

เลือดระเบิดออกช้าๆ เหมือนกับบุปผา ลอยเวียนว่อนกลางอากาศ

อีกสองคนผุดสีหน้างงงัน นึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าสหายที่อยู่ด้านหลังจะลงมือกับตนเองอย่างฉับพลัน ทั้งยังใช้วิธีลงมือแบบนี้อีก

คนลาดตระเวนงงงวย จากนั้นก็อ้าปากกว้าง พร้อมกับถอยหลังอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว

“ไม่…ไม่ใช่ข้า! ไม่ใช่ข้านะ! ไม่ใช่ข้า! ไม่ใช่…” เขาพึมพำเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ

พรวด!

เกิดเสียงที่กายเนื้อถูกฉีกระเบิดออกขึ้นสองครั้ง กลางอากาศเหลือแค่เรือเหาะลำหนึ่งและคนลาดตระเวนอีกคนหนึ่งทันที

“จงนำทางให้ข้าเสีย” บุรุษในเรือเหาะเอ่ยอย่างราบเรียบ

คนลาดตระเวนสีหน้าซีดขาว ผมของตัวเองยาวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเกาะเกี่ยวกัน แล้วพันตรงส่วนมือจับหลายแห่งตรงปลายเรือเหาะเอาไว้

เขากรีดร้องอย่างหวาดสะพรึง คิดจะยื่นมือไปตัดผมของตนเอง แต่เพิ่งจะยกมือขึ้น เส้นผมอีกเส้นก็แผ่ขยายมาจากบนร่างของเขาแล้วรัดพันเขาไว้หลายชั้นจนตาย

ลู่เซิ่งมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาสงบนิ่งอยู่ด้านในห้องควบคุมของเรือเหาะ

“หนิงเอ๋อร์ อวิ๋นซี ถ้าพวกเจ้าตาย ข้าจะให้มารดาแห่งปรภพตามพวกเจ้าไปด้วย” เขาพึมพำเบาๆ

เรือเหาะเร็วขึ้นเรื่อยๆ

อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็กดปุ่มหนึ่งด้านหน้า

ฟ้าว!

เรือเหาะทั้งลำกะพริบทีหนึ่ง ก่อนจะหายไปจากที่เดิมในพริบตา

ตอนที่โผล่มาอีกครั้ง ก็มาอยู่กลางนภาดาราที่ใกล้กับดาวซีจิงมากๆ แล้ว

เรือเหาะทิ้งตัวลงไปบนดาวซีจิงในแนวดิ่ง เหมือนกับดาวตกจากฟากฟ้า ผิวของเรือเหาะเกิดเพลิงลุกไหม้สีแดงเนื่องจากเสียดสีกับชั้นบรรยากาศด้วยความเร็วสูง

เปลวไฟเผาไหม้ทั่วร่างลู่เซิ่งอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดเล็กๆ แผ่กระจายมาจากชั้นผิวหนังของเขา

“มาเถอะ เริ่มกันเลย” แสงสีแดงในดวงตาเขาสว่างขึ้นเรื่อยๆ

ตูม!

ประกายเพลิงจุดหนึ่งระเบิดบนผิวดาวเคราะห์ในทันใด

เรือเหาะปักเข้าไปกลางทะเลทรายสีเหลืองพร้อมกับระเบิดขึ้น

เกิดเสียงดังสนั่น ประกายเพลิงพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า หลุมอุกกาบาตขนาดมหึมาที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายร้อยหมี่โผล่ขึ้นกลางทะเลทราย

ลู่เซิ่งคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่กลางหลุม เปลวเพลิงน่าหวั่นสะพรึงที่ร้อนถึงหลายพันองศาเผาไหม้ไปทั่วร่าง

แต่ว่าเปลวไฟเหล่านี้ไม่มีอันตรายใดๆ ต่อเขา กลับห่อหุ้มเขาไว้เป็นชั้นๆ เหมือนกับเกราะ

เสียงแหวกอากาศดังฟ้าวๆ ลอยมาจากทั่วท้องฟ้า กลิ่นอายอันแข็งแกร่งหลายสายจากโลกแห่งความเจ็บปวดเข้าใกล้ด้วยความเร็วสูง

“จงตายไปพร้อมลูกข้าเถอะ” ลู่เซิ่งเอื้อมมือหนึ่งออกมาแล้วกำเป็นหมัด

พริบตานั้นแสงสีดำล่องหนกลุ่มหนึ่งระเบิดออกมาอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง

เพียงพริบตาเดียว แสงสีดำก็แผ่ขยายออกไปรอบๆ อากาศบิดเบี้ยว ผืนดินบิดเบี้ยว สิ่งมีชีวิตทั้งหมดหยุดชะงักเหมือนถูกสายฟ้าผ่าใส่

แสงสีดำเหมือนกับลูกคลื่นกลายเป็นก้อนขนาดมหึมาที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่าหมื่นกงหลี่โดยมีลู่เซิ่งเป็นศูนย์กลาง

หากมองจากอวกาศลงไป จะเหมือนกับมีก้อนแสงสีดำกึ่งโปร่งแสงก้อนหนึ่งโผล่ขึ้นมาเหนือดาวซีจิง

ก้อนแสงสีดำเพียงเล็กกว่าดาวซีจิงเท่าหนึ่ง สีฟ้าที่สว่างไสวในตอนแรกบนผิวของดาวเคราะห์ที่ถูกก้อนแสงปกคลุมกลายเป็นสีเทาอ่อนอันเงียบสงัดในพริบตา

จิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนถูกกลืนกิน ชีวิตนับไม่ถ้วนกำลังสูญหาย

วิญญาณจำนวนมหาศาลกำลังร่ำไห้โหยหวน

ยามเมื่อราชันระดับมายาพิศวงใช้โลกรูปจิตสุดกำลัง จะมีอานุภาพขนาดไหน

อาจจะมีคนไม่กี่คนที่เคยเห็น

แต่ตอนนี้เหล่าเจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวนที่อยู่กลางความว่างเปล่ารอบๆ ดาวซีจริงกลับได้เป็นประจักษ์พยาน

เจ้าหน้าที่ที่กำลังลาดตระเวนอยู่ในตอนแรกมองดาวเคราะห์อย่างอึ้งงัน

เรือเหาะที่กำลังเดินทางค่อยๆ หยุดลง มองผ่านกระจกผลึกไปยังดาวซีจิง

เรือเหาะทางการค้าที่ผ่านทางมา เรือโดยสารขนาดใหญ่ที่เดินทางข้ามมิติเป็นระยะไกล

คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็เห็นก้อนแสงสีดำก้อนใหญ่อันน่ากลัวที่ห่อหุ้มดาวซีจิงไว้เกือบครึ่งหนึ่ง

บนดาวซีจิงมีกองทัพใต้อาณัติของมารดาแห่งความเจ็บปวดสามกอง ประกอบด้วยคนเกินหมื่นล้าน

ทว่ากลับมีคนตายไปหลายพันล้านคนด้วยการโจมตีจากก้อนแสงที่ลู่เซิ่งปล่อยออกมา

“อ๊าก! หาที่ตาย!”

เสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งดังมาจากดาวเทียมขนาดเล็กดวงหนึ่งที่อยู่ด้านข้างดาวซีจิง

เงาสีเขียวเข้มขนาดมหึมาที่มีหัวเป็นกระทิงตัวเป็นคนบินมาจากดาวเทียมพร้อมกับขยายร่างขึ้น

เงายาวขึ้นมากกว่าพันหมี่ในทันที ขณะที่พุ่งตรงดิ่งเข้าหาแสงสีดำ

กล้ามเนื้อบนสองแขนของมนุษย์หัวกระทิงบึกบึน เส้นเลือดและเส้นประสาทนับไม่ถ้วนสั่นไหวเต้นระริก ขวานยักษ์สองหน้าในมือเรืองแสงสีทองเจิดจ้า

“ขวานผ่าตะวันดับ!”

ขวานสองหน้าขยายใหญ่ขึ้น พริบตาเดียวก็ใหญ่ขึ้นเกือบเท่าก้อนแสงสีดำ เกิดเสียงดังตูมตอนที่มันฟันใส่ผิวก้อนแสง

แต่ขวานยักษ์เพิ่งแตะโดนผิวก้อนแสง มนุษย์หัวกระทิงก็รู้สึกผิดปกติทันที

“พลังนี้มัน!?” ไม่ทันได้ตกใจ พละกำลังอันมหาศาลที่แกร่งกว่าเขาสิบกว่าเท่าก็ดีดกลับมาอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น

พลังระเบิดอันยิ่งใหญ่และแรงกระแทกอันน่าสะพรึงดีดขวานยักษ์ให้กระแทกหน้าผากของเขาเอง

โพละ!

เพียงแค่พริบตาเดียว ร่างของมนุษย์หัวกระทิงที่เพิ่งโผล่มาก็ระเบิดเป็นเศษเนื้อทันที

เศษเนื้อกระเด็นออกไปหลายพันลี้ ขณะกำลังจะรวมตัวกันเพื่อฟื้นฟูเป็นร่างอีกรอบ แสงสีดำสายหนึ่งก็สาดขึ้นกลางอากาศ มนุษย์หัวกระทิงที่เพิ่งเป็นรูปเป็นร่างโดนกระชากเข้าหาก้อนแสงสีดำด้วยความเร็วสูง

“ไม่!” แสงสีเขียวระเบิดจากทั่วร่างมนุษย์หัวกระทิง โซ่อักขระนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากร่างของเขา ก้อนแสงสีเขียวขมุกขมัวกลุ่มหนึ่งขยายออกไปรอบๆ โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง

นี่คือโลกรูปจิตของเขา

แต่เพิ่งจะแสดงรูปจิตออกมา ก็ถูกแสงดำเจาะทะลวงอย่างรุนแรงทันที แสงสีเขียวฟีบลงเหมือนกับลูกโป่งรั่ว ไม่นานก็หายไปโดยสิ้นเชิง

ผู้เข้มแข็งขอบเขตลวงตาที่ปกครองดาวเคราะห์คนหนึ่งตกตายลงเช่นนี้โดยใช้เวลาแค่ไม่กี่สิบอึดใจสั้นๆ

การพังทลายของโลกรูปจิตหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างของจิตวิญญาณและกายเนื้อพังทลายพร้อมๆ กัน ไม่มีโอกาสไปเกิดใหม่ สูญสลายไปเช่นนี้

แสงสีดำหุบตัวลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายไปในผิวก้อนแสงสีดำเหมือนกับหนวด

บนพื้นผิวดาวซีจิง

ลู่เซิ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศแล้วบินไปยังทิศทางหนึ่ง

สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่เขาบินผ่านหยุดชะงัก ไม่ว่าจะเป็นนกกลางท้องฟ้า สัตว์สี่เท้าบนผืนดิน หรือแม่ทัพทหารในกองทัพแห่งความเจ็บปวดที่มีพลังฝึกปรือสูงล้ำ

ทุกสิ่งทุกอย่างมีแค่จุดจบเดียวเมื่อเผชิญกับแสงสีดำ นั่นคือความตาย

ก้อนแสงสีดำหมุนวนไปตามดาวซีจิงรอบหนึ่ง หลังจากเคลื่อนผ่านผิวดาวเคราะห์พร้อมกับกลืนกินชีวิตทั้งหมด จึงค่อยหุบตัวลงในทันใด

ซู่!

แสงสีดำนับไม่ถ้วนหายเข้าไปในร่างของลู่เซิ่งดุจสายฟ้าฟาด

เขากวาดตามองรอบๆ ทะเลทรายสีทองในตอนแรก ตอนนี้แห้งเหี่ยวกลายเป็นเนินทรายสีขาวอมเทานับไม่ถ้วน

ดาวเคราะห์ไม่เหลือความร้อนใต้ดินและสนามแม่เหล็กอีกต่อไป แสงของดาวฤกษ์ที่เพิ่งจะทะลุผ่านชั้นบรรยากาศมาก็เหมือนกลายเป็นห่าธนูชุบพิษนับไม่ถ้วน สาดรังสีอันรุนแรงเพื่อฆ่าปลาที่หลุดรอดร่างแหทั้งหมดที่ยังหนีรอดภัยพิบัติต่อไปอีก

“วิญญาณแห่งดาวเคราะห์ได้ตายไปแล้ว”

เงาสีแดงพร่ามัวสายหนึ่งมองไปไกลขณะลอยตัวอยู่กลางความว่างเปล่า

“จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของมารสวรรค์มายาพิศวงก็คือการกางโลกรูปจิตเพื่อกลืนกินและทำลายทุกอย่าง ไม่เห็นเหตุการณ์นี้มานานแล้วจริงๆ…”

“ดูเหมือนสหายเจิ้งเจวี๋ยจะค่อนข้างสะท้อนใจทีเดียว ปกติไม่เคยเจอท่าน ครั้งนี้เหตุใดจึงเผยโฉมเสียแล้ว” จันทร์เสี้ยวสีม่วงดวงหนึ่งค่อยๆ ปรากฏในอีกสถานที่ เสียงกระจ่างที่เหมือนหญิงสาวดังมาจากด้านใน

“เร้นกายอยู่แถวนี้มาได้หลายพันปี รู้สึกได้ถึงความผิดปกติก็เลยลองมาดูเท่านั้น” เงาแดงตอบอย่างราบเรียบ “ตัวท่านนั่นแหละ ไม่อยู่ที่นครตราชั่ง กลับมาทำอะไรในสถานที่รกร้างแห่งนี้”

จันทร์เสี้ยวสีม่วงนิ่งไป

“เป็นเพราะหนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ มายาพิศวงผู้นั้นอยู่ในนครตราชั่งของข้า…”

เงาแดงหัวเราะเบาๆ สองสามครั้ง “ตัวท่านเคราะห์ร้ายจริงๆ”

“ก็ปัญหาเดียวกับถ้ำนภาสวรรค์ในครั้งกระโน้นของท่านนั่นแหละ หลังมาถึงระดับมายาพิศวง โดยเฉพาะพวกมารสวรรค์มายาพิศวง จะไม่มีใครสะกดสัตว์ประหลาดเหล่านี้ไว้ได้อีก นอกจากพวกเขาเอง ต่อให้ชนะก็ฆ่าไม่ตาย นอกเสียจากทำลายโลกรูปจิตถึงฐานได้ แต่โลกรูปจิตไหนเลยทำลายง่ายอย่างนั้น” จันทร์สีม่วงกล่าวอย่างจนปัญญา

“ถูกต้องแล้ว มีแต่มายาพิศวงที่เป็นมารสวรรค์เท่านั้นที่รับมือมายาพิศวงมารสวรรค์ได้ โลกรูปจิตของพวกเขารับมือยากเกินไป” เงาแดงพยักหน้าเห็นด้วย

“มาแล้ว ยอดฝีมือทางมารดาแห่งความเจ็บปวดมาแล้ว!” อยู่ๆ เสียงของจันทร์สีม่วงก็เร่งร้อนขึ้น “ท่านทายว่าฝั่งไหนจะชนะ”

“มารดาแห่งความเจ็บปวดก็แล้วกัน ความแตกต่างชัดเจนมาก เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นเพิ่งก้าวสู่ระดับสูงสุดได้ไม่นาน

“อย่างนั้นข้าก็ได้แต่ทายว่าคนใหม่จะชนะแล้ว” จันทร์สีแดงยิ้ม ไม่เห็นถึงความไม่พอใจ

ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันต่ออีก เพียงมองส่วนลึกของนภาดาราอยู่ไกลๆ ก้อนแสงสีเหลืองมัวซัวจุดหนึ่งกำลังเด้งโดดด้วยความเร็วสูงอยู่ตรงนั้น

กลางก้อนแสงคือสตรีร่างสูงใหญ่ที่มีปีกสี่ข้างบนหลังและผิวพรรณเหมือนกับรูปสลักสำริดสีเหลือง

นางสวมหน้ากากไว้บนใบหน้าส่วนล่าง นัยน์ตาสีทองสองข้างที่เผยออกมามองดาวซีจิงอย่างเย็นเยียบ

“บังอาจมาทำลายเขตดวงดาวของข้า ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าอะไรคือความสิ้นหวัง!” ปีกทองเหลืองขนาดยักษ์สองคู่ด้านหลังนางกระพือเบาๆ ขนปีกนับไม่ถ้วนขยายใหญ่ด้วยความเร็วสูง

ร่างกายของนางขยายขนาดและเปลี่ยนแปลงจากความสูงสิบยี่สิบหมี่ในตอนแรกเป็น หนึ่งร้อยหมี่ สองร้อยหมี่ สามร้อยหมี่ หนึ่งพันหมี่ สองพันหมี่! สามพันหมี่!

ร่างของนางขยายใหญ่ถึงสามพันหมี่ เกราะทั่วร่างของนางกะพริบแสงสีทองเจิดจ้าเหมือนกับสร้างขึ้นมาจากทองคำ จากนั้นนางก็เอื้อมมือเข้าหาดาวซีจิงอย่างฉับพลัน

ฝ่ามือสร้างเงาฝ่ามือสีทองขนาดมโหฬารข้างหนึ่งขึ้นไกลๆ ขนาดเกือบจะเท่าครึ่งหนึ่งของดาวซีจิง

“ตาย!”

ฝ่ามือสีทองตะปบใส่ก้อนแสงสีดำ

บนดาวซีจิง

ลู่เซิ่งเงยหน้ามองฝ่ามือสีทองที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ขณะค่อยๆ กางแขนออก

คลื่นสีดำนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากใต้เท้าของเขา แล้วกลายเป็นทะเลสาบสีดำผืนหนึ่งในอาณาเขตรัศมีหลายพันลี้โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง

“ฆ่านางซะ พันเทวะ!”

แกว๊ก!

เงากระเรียนยักษ์โบยบินสู่ฟากฟ้าจากด้านหลังเขา เงยหน้าพุ่งใส่ฝ่ามือยักษ์

……………………………………….

Options

not work with dark mode
Reset