ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 686 วิญญาณแห่งวัฏจักร (2)

บทที่ 686 วิญญาณแห่งวัฏจักร (2)

บทที่ 686 วิญญาณแห่งวัฏจักร (2)

ตูม!

แสงสีขาวสายหนึ่งระเบิดในถ้ำอย่างฉับพลัน

ฮ่วนซันเต้าหยินเก็บกระบี่ในพริบตา มือหนึ่งบีบคอของเจ้าสนขาวไว้เพื่อสยบมัน

“ท่านเซียนปรานีด้วย!” เวลานี้มีเงาคนสามสายพุ่งเข้ามาจากด้านนอกถ้ำ

ผู้นำคือหลงเหอจื้อ เจ้าสำนักกระเรียนพิสุทธิ์

พอเห็นฮ่วนซันเต้าหยินบีบคอเจ้าสนขาวด้วยมือข้างหนึ่ง พวกเขาก็ใจเต้นรัว

“ท่านเซียนคงไม่ทราบ ถ้ำราชากระเรียนเป็นสายสืบทอดของสำนักข้า เป็นสัตว์เทพคุ้มครองสำนักกระเรียนพิสุทธิ์…” หลงเหอจื้อฝืนใจเข้าไปอธิบาย ด้วยหวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นตนเป็นสายสำนักเต๋าเหมือนกันแล้วละเว้น

“สำนักกระเรียนพิสุทธิ์หรือ” ฮ่วนซันเต้าหยินงุนงง “แค่สำนักเล็กๆ ที่ไม่รู้จัก ข้าพลิกมือก็ทำลายทิ้งได้แล้ว ถึงกับกล้ามาก่อกรรมทำชั่วหรือ”

“หากละเว้นตรงไหนได้ขอให้ท่านเซียนละเว้นด้วย แม้สำนักกระเรียนพิสุทธิ์ของข้าจะไม่ใช่สำนักเต๋าพรรคใหญ่อะไร แต่ในอดีตบรรพจารย์ก็เคยออกพเนจรยังไม่กลับมา…ถ้าหากเล่าลือกันออกไปแล้วบรรพจารย์สำนักกระเรียนพิสุทธิ์ของข้าทราบเข้า…” หลงเหอจื้อเตือนด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ฮ่าๆๆ! เป็นแค่สำนักเล็กๆ แท้ๆ ถึงจะให้เวลาเจ้าหนึ่งหมื่นปี แล้วจะมียอดคนระดับไหนโผล่มาได้ ต่อให้เล่าลือออกไปแล้วอย่างไร เจ้าจงประกาศให้สาแก่ใจ ขอดูหน่อยเถอะว่าเบื้องหลังสำนักกระเรียนพิสุทธิ์จะมียอดคนคนไหนหาเรื่องข้าได้!” ฮ่วนซันเต้าหยินหัวเราะลั่น

หลงเหอจื้อหน้าแดงก่ำ คนบำเพ็ญเต๋ามีจิตใจสมบูรณ์ แต่ให้ความสำคัญกับศักดิ์สรีมากที่สุด อีกฝ่ายกลับดูถูกดูแคลนสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ของเขาอย่างโจ่งแจ้ง

แม้สำนักกระเรียนพิสุทธิ์จะเล็ก แต่อย่างไรก็เป็นสำนักเก่าแก่ที่สืบทอดมาหลายปี แม้เขาจะไม่รู้ว่านักพรตที่อยู่ตรงหน้ามีความเป็นมาแบบไหน แต่หากโอหังขนาดนี้ จะต้องมีทักษะไม่สามัญแน่!

“พอแล้ว” ฮ่วนซันเต้าหยินมองเจ้าสนขาวที่ตนใช้มือยกให้ลอย

“ว่ามา ตัวเลือกของเจ้า ยอมจำนน หรือตาย!”

แรงของเจ้าสนขาวถูกตรึงไว้ อีกฝ่ายอยู่คนละระดับกับมัน เพียงแค่ใช้พลังวิญญาณสะกดด้วยมือเดียว ก็ทำให้มันไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืน กลายเป็นเนื้อเป็นปลาบนเขียงแล้ว

“เจ้า…ให้…พวกเขา…ทุกคน…ไปก่อน!” มันพูดพลางดิ้นรน

“ดูเหมือนเจ้าจะมีความผูกพันกับถ้ำราชากระเรียนและสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ล้ำลึกทีเดียวนี่” ฮ่วนซันเต้าหยินยิ้ม “แต่ว่าไม่ได้ เกิดว่าเจ้ายังไม่ยอมรับหลังจากพวกเขาไปแล้วจะทำอย่างไรเล่า ตอนนี้ข้าตัดสินใจแล้ว ถ้าหากเจ้าไม่ตอบรับ ข้าจะทำลายถ้ำราชากระเรียนกับสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ทิ้งซะ วางใจเถอะ ก่อนมาข้าได้อำพรางป่าเขาผืนนี้ไว้แล้ว ต่อให้เกิดเรื่องก็จะไม่มีใครรู้ว่าเป็นฝีมือของข้าอยู่ดี”

เป็นเพียงแค่สำนักเล็กๆ ที่สืบทอดมาสองสามร้อยปีเท่านั้น แค่พลิกมือก็ทำลายทิ้งได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องพร่ำวาจาไร้สาระโดยสิ้นเชิง

เจ้าสนขาวพลันเดือดดาล หางตามีเลือดหลายสายซึมออกมา

ฟ้าว!

ในตอนนี้เอง ป๋อหรูชิงที่อยู่ด้านหลังหลงเหอจื้อพลันปล่อยแสงในสภาพขนปีกสีขาวออกมา

แสงพุ่งออกจากถ้ำ แล้วระเบิดกลายเป็นจุดแสงที่เหมือนกับดอกไม้ไฟกลางอากาศ ก่อนจะโปรยปรายในพริบตา

“นี่เป็นการขอความช่วยเหลือของพวกเจ้าหรือ ข้าอยากจะเห็นนักว่าพวกเจ้าเรียกยอดคนเร้นกายระดับไหนมาได้ ข้าจะรออยู่นี่ หากมีปัญญาก็ให้ยอดคนของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์มาหาข้าสิ” ฮ่วนซันเต้าหยินหัวเราะลั่น

ตูม!

อยู่ๆ แผ่นดินก็สั่นสะเทือน

การสั่นไหวที่รุนแรงมาพร้อมกับคลื่นสั่นสะเทือน ทำให้ร่างของฮ่วนซันเต้าหยินโยกไปมาเล็กน้อย ส่วนคนที่เหลือพากันผุดสีหน้าตื่นตะลึง

ตูม!

เกิดเสียงดังกระหึ่มอีกรอบ

“นี่มัน…!?” สีหน้าของฮ่วนซันเต้าหยินเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

เขาขยับฝีเท้า เหินไปถึงปากถ้ำ แล้วมองไปด้านนอก

ยักษ์สีขาวอมเทาที่สูงถึงหลายร้อยหมี่กำลังก้าวมาทางถ้ำราชากระเรียนทีละก้าวๆ

บุรุษหล่อเหลาที่สวมอาภรณ์ปีกสีขาวคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่บนบ่าขวาของยักษ์ ผิวพรรณขาวผ่อง ร่างกายกำยำ เสื้อคลุมยาวมากจนเหมือนกับกระเรียนขาวตัวเป็นๆ เกาะอยู่บนบ่าขวา

สิ่งที่ทำให้ฮ่วนซันเต้าหยินตกตะลึงที่สุดก็คือ คำว่ากระเรียนตัวใหญ่ที่ประทับอย่างชัดเจนด้านหน้ายักษ์

“ดูเหมือนข้าจะกลับมาในเวลาเหมาะเจาะพอดี” อัญมณีทรงขนมเปียกปูนสีขาวบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นด้านหลังลู่เซิ่ง รอยแตกสีดำสนิทนับไม่ถ้วนคล้ายกิ่งไม้ยืดขยายออกมาจากอัญมณีที่เหมือนสัญลักษณ์

ตูม!

มือขวาของยักษ์ตะปบใส่ฮ่วนซันเต้าหยินดุจสายฟ้าฟาด เร็วจนข้ามผ่านระยะทางพันหมี่ได้ในพริบตา

อากาศระเบิด ภูเขาแตกเป็นเสี่ยง พื้นดินในรัศมีมากกว่าพันหมี่สั่นไหวอย่างรุนแรง ภูเขาที่ถ้ำราชากระเรียนตั้งอยู่หักโค่นลงทันที

มองจากที่สูงลงไป เหมือนกับมังกรยักษ์ถูกสะบั้นสันหลัง ภูมิประเทศหลายพันปีของขุนเขาแยกออกในพริบตา

ต้าอิน อินตู วังรอยจันทรา

ด้านในวังสีขาวบริสุทธิ์ ชายชราผมหงอกที่ตอนแรกหลับตางีบหลับร่างสั่นไหวน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น

‘ในที่สุด…ก็โผล่มาแล้ว…ข้ามผ่านโลกมานับไม่ถ้วน สุดท้ายข้าก็เจอแล้ว…’ ร่างมหึมาที่สูงสิบกว่าหมี่ของชายชราค่อยๆ ลงจากบัลลังก์ที่สลักลายบุปผา ปักษา แมลง และมัจฉาไว้นับไม่ถ้วน

เขาเดินไปถึงดาดฟ้าของวังแล้วมองออกไปผ่านเมฆดำทั่วฟ้า สายตาที่ขมุกขัวเหมือนกับมองทะลุเมฆดำนับไม่ถ้วนไปเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ไกลแสนไกลได้

“จิ่งฮุ่ย” สาวงามสวมกระโปรงยาวสีดำสนิทคนหนึ่งโผล่ขึ้นด้านหลังเขา ทั้งสองมีความสูงไล่เลี่ยกัน

ปากของนางเป็นสีดำอมม่วงเข้มข้น มีดวงตาข้างเดียวที่ยึดครอบใบหน้ามากกว่าครึ่ง แสงสีแดงฉานกระจายออกมาจากในดวงตา แม้ใบหน้าจะไม่คล้ายมนุษย์ แต่นางกลับมีรูปร่างร้อนแรงยั่วยวนและมีเส้นโค้งเว้าที่แทบจะสมบูรณ์แบบ

“เจ้าเห็นอะไรหรือ” สาวงามถามเสียงทุ้มต่ำ

ชายชราเบือนหน้ามา

“นับตั้งแต่เจ้าเชิญข้ามาอยู่ที่นี่เมื่อแปดหมื่นปีก่อน นี่เป็นครั้งที่สามที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบนี้”

“การเปลี่ยนแปลงอะไร พูดให้ชัดๆ หน่อย” สตรีกระโปรงดำถามอย่างหงุดหงิด

“ไม่ใช่พิภพมาร และไม่ใช่เด็กน้อยที่เคลื่อนไหวในที่ลับเหล่านั้น หากเป็นคลื่นของรากแห่งความว่างเปล่าที่ส่งมาจากโลกมหึมาที่อยู่ไกลแสนไกล” ชายชราตอบด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้โมโหเพราะอีกฝ่ายฉุนเฉียวแม้แต่น้อย

“ตำนานราชันที่เจ้าเคยทำนายเมื่อนานมาแล้วหรือ” สาวงามหยีตาน้อยๆ

“ถูกต้อง ข้าเห็นจุดเริ่มต้นแล้ว รากแห่งความว่างเปล่ากำลังสั่นไหว นี่หมายความว่าอะไรเจ้าน่าจะรู้” ชายชราเอ่ยเสียงแผ่วต่ำ

สาวงามนิ่งไป

ครู่ต่อมา นางจึงค่อยๆ ส่งเสียงว่า

ตัวแปรเพิ่มมาอีกหนึ่ง…แต่ต่อให้จะเป็นแบบนี้ ตำแหน่งราชันก็ยังไม่ได้ถูกกำหนด เป็นแค่คนที่เข้ากับคุณลักษณะพิเศษของรากดาราจักรได้เท่านั้น ถ้าข้าฆ่าเขาทิ้ง จะแย่งชิงตำแหน่งราชันมาได้หรือไม่?

“แน่นอน…ราชันคือผู้ที่แข็งแกร่ง ผู้อ่อนแอไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้หรอก” ชายชรายิ้มพลางพยักหน้า “ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ไม่มีการพิสูจน์นี้ เจ้าที่เป็นมารดาแห่งความเจ็บปวด มารดาแห่งสีเหลืองผู้ปกครองระบบดาวแห่งความเจ็บปวด ก็มีศักยภาพของผู้เป็นราชันเหมือนกัน”

“มีตำแหน่งทั้งหมดสี่ตำแหน่ง ตอนนี้เพิ่งมีคนแรกโผล่มา ไม่ต้องรีบหรอก…” ดวงตาของมารดาแห่งความเจ็บปวดสาดประกายสังหาร จากนั้นนางก็หมุนตัวกลายเป็นควันดำหายไปจากวัง

ตูม!

ภูเขาแตกหัก พื้นดินสั่นสะเทือน

เศษหินดินโคลนนับไม่ถ้วนถูกพละกำลังอันมหาศาลบีบอัดจนระเบิดไปทั่ว ถ้ำราชากระเรียนโปรยฝนโคลนหินไปรอบๆ

สถานที่ส่วนหนึ่งด้านหน้าถ้ำราชากระเรียนหายไป เหลือหลุมอุกกาบาตทรงรีที่ลึกมากกว่าร้อยหมี่ไว้บนพื้น

ลู่เซิ่งกระโดดลงมาถึงขอบหลุมลึกเบาๆ แล้วก้มลงมองควันขาวหนาแน่นที่ก้นหลุม

“น่าเบื่อเกินไปแล้ว คงไม่ตายง่ายๆ แบบนี้กระมัง” กลางหว่างคิ้วของเขาแตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

ถ้าหากบอกว่าก่อนหน้านี้มีความระมัดระวังและความบ้าคลั่ง อย่างนั้นต่อนี้ไปก็คือความเชื่อมั่นในตัวเอง ถึงขั้นที่มีความอหังการ

สิ่งที่ประสบการณ์เกือบร้อยปีทำให้เขามองเห็น ไม่ได้มีแค่วัฏจักรเท่านั้น แต่ยังมีตัวเองด้วย

“ข้าไม่ได้ออกแรงอะไรเลยนะ” อยู่ๆ ผ้าปีกกระเรียนขาวที่เหมือนกับผ้าคลุมไหล่บนบ่าลู่เซิ่งก็มีแสงสีแดงสว่างขึ้นจากดวงตา

เงาสายหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังลู่เซิ่งอย่างฉับพลัน ก่อนจะกลายเป็นรูปเป็นร่าง แล้วรวมตัวเป็นฮ่วนซันเต้าหยิน

เขาถือหยกหรูอี้อยู่ ผมกระจัดกระจาย ควันสีขาวที่เหมือนกับเส้นด้ายฟุ้งอยู่รอบๆ ตัว

“เอกภพกลับด้าน อาทิตย์จันทราต้องโทษ! สำแดง!”

ปลายหยกหรูอี้ยิงแสงสีกลุ่มหนึ่งออกมาไวปานลมกรด โดยเล็งที่กลางหลังของลู่เซิ่ง

มิคาดแสงสีเพิ่งจะยิงออกมา แขนขวาของยักษ์ก็ฟาดลงมาจากด้านข้างอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น

ฮ่วนซันเต้าหยินถูกแขนขวาฟาดโดนโดยไม่ทันป้องกัน ควันที่เหมือนกับด้ายสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนรอบๆ ตัวจับตัวกลายเป็นจานกลมหลายแผ่น หมายจะต้านทานแรงกระแทกอันมหาศาล

แต่ก็ไร้ประโยชน์ จานขาวหลายแผ่นระเบิดแหลก ฮ่วนซันเต้าหยินยังไม่ทันได้แค่นเสียงก็กระเด็นลอยออกไป แล้วฝังตัวไปในพื้นที่อยู่ใกล้ๆ

แสงสีที่ยิ่งใส่หลังลู่เซิ่งคิดจะชอนไชเข้าไปในผิวและเสื้อผ้าของชายหนุ่มเหมือนกับแมลงตัวน้อยนับไม่ถ้วน แต่กลับถูกเยื่อบางโปร่งแสงชั้นหนึ่งป้องกันไว้อย่างมั่นคง ไม่นานก็สลายไปเอง

ลู่เซิ่งหมุนตัวไปมองจุดที่ฮ่วนซันเต้าหยินตกพื้น

“ถึงกับโต้ตอบได้หรือนี่ น่าสนใจดีนะ”

“หมื่นวิญญาณหวนความจริง! สำแดง!”

กลิ่นอายบิดเบี้ยวมหึมาสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าในทันที ก่อนจะหมุนวนกลางอากาศรอบหนึ่ง แล้วกลายเป็นคนแคระที่สูงครึ่งหมี่ นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ

คนแคระเหมือนกับฮ่วนซันเต้าหยินที่หดขนาดตัวลง สวมเกราะศึกสีทองม่วงเต็มอัตรา ด้านหลังมีแขนสองข้างงอกออกมา แขนสี่ข้างถือกระบี่ทองไว้ข้างละเล่ม

ยักษ์ศิลาต่อยหมัดเข้าใส่ กลับเหมือนต่อยใส่อากาศ ไม่อาจกระทบถูกคนแคระคนนี้ได้เลย

“เคลื่อนเขาคว่ำทะเล ดาวหมุนดาราคล้อย!” คนแคระชูสี่แขน แล้วควงไปทางลู่เซิ่งอย่างฉับพลัน อักขระสีสี่ชนิดที่ประกอบด้วยสีแดง ขาว ส้ม ฟ้าสว่างขึ้นบนกระบี่ทองสี่เล่ม

อักขระเหล่านั้นพุ่งออกจากกระบี่ทอง พวกมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับที่ตกลงไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว

พริบตาเดียวเหนือศีรษะลู่เซิ่งก็มืดมิด

ขุนเขาสีดำสนิทลูกหนึ่งที่ไม่ทราบว่ามีรัศมีกี่ลี้ ถูกเคลื่อนย้ายมาอยู่กลางอักขระสี่สาย

ขุนเขาใหญ่เกินไป แค่เงามืดที่ทอดลงมาก็ปกคลุมผืนดินมากกว่าพันลี้เอาไว้หมดแล้ว

“ฮ่าๆๆๆ! น่าสนใจ! น่าสนใจจริงๆ!” ลู่เซิ่งเบิกตาโต รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

เพิ่งจะออกจากการกักตนก็เจอคู่ต่อสู้แบบนี้ เลือดของเขาเดือดพล่านขึ้นแล้ว!

นานเหลือเกิน! นานเหลือเกินที่เขาไม่ได้เข่นฆ่ากับศัตรูอย่างบ้าคลั่ง

“ข้าจะให้เจ้าได้เห็นพลังที่แท้จริงหลังจากบรรลุวัฏจักร” เขากางสองแขนออกทันที

ควันดำนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากอัญมณีด้านหลังเขา แล้วปกคลุมอาณาเขตหลายพันหมี่ทันที ใหญ่กว่าเงาดำเสียอีก

ควันดำจำนวนมากคลุมพื้นไว้จนมืดมิด คล้ายกับกลายเป็นทะเลสาบสีดำขนาดมโหฬาร

“ออกมาซะ! พันเทวะ!” แสงสีแดงที่สองตาของอาภรณ์ปีกกระเรียนขาวบนตัวลู่เซิ่งปล่อยออกมาเหมือนกับดวงอาทิตย์ดวงเล็กๆ สองดวง

กลางทะเลสาบดำเกิดเสียงครืนครัน กระเรียนยักษ์น่ากลัวที่ยาวหลายพันหมี่ตัวหนึ่งค่อยๆ ลอยขึ้นมา

ปีกสีดำ หงอนสีแดง จะงอยสีทอง ขนปีกสีดำสนิท

กระเรียนยักษ์กางสองปีก ดวงตาสีทองจำนวนเหลือคณานับกระจายอยู่บนปีกสีดำสนิททั้งสองข้าง

สิ่งที่น่าประหลาดยิ่งกว่าก็คือ มันมีแค่ร่างท่อนบนเท่านั้นที่เป็นกระเรียนเซียน ร่างท่อนล่างยังคงเป็นมนุษย์ขนาดมหึมา นี่เป็นสัตว์ประหลาดน่ากลัวที่มีหัวเป็นกระเรียนตัวเป็นมนุษย์

แกว๊ก!

กระเรียนยักษ์เงยหน้าและกระพือปีกอย่างฉับพลัน ก่อนจะพุ่งเข้าหาภูเขาสีดำที่กำลังกดทับลงมาจากฟากฟ้า!

………………………………………

Options

not work with dark mode
Reset