บทที่ 635 ทรัพยากร (1)
“เขาเป็นน้องชายของคุณ คุณจะไม่ช่วยเหรอ” ลู่เซิ่งหยีตา เตรียมพร้อมจะลงมือได้ทุกเวลา
ใบหน้าของผู้หญิงที่นั่งนิ่งบนบัลลังก์ฉายแววเยาะเย้ย
“หมีเซิงหลงเป็นน้องของข้าก็จริง แต่ที่ข้าตกต่ำถึงขั้นนี้ มันเองก็มีส่วนเหมือนกัน ชิงอำนาจแย่งตำแหน่งข้าไม่สำเร็จ ถูกพวกเดียวกันวางกับดัก เลยได้แต่ถูกผนึกเป็นเพื่อนข้าในสถานที่บัดซบแห่งนี้…เหอะๆ ถ้าข้าคิดจะช่วยมันจริงๆ อย่างนั้นก็เป็นคนโง่แล้ว”
ลู่เซิ่งกระจ่างขึ้นเล็กน้อย แต่คำพูดพวกนี้เป็นความข้างเดียวของอีกฝ่าย เขาจึงไม่ได้เชื่อทั้งหมด
“คุณเรียกฉันว่าตู้สยงก็ได้ คุณน่าจะรู้เป้าหมายของผมมั้ง มีวิธีแก้ไขไหม”
เป้าหมายของเขาคือการจัดการปัญหาเรื่องอายุขัยให้แก่เก๋อซา ตู้เซี่ยกับตู้ชิวเป็นเก๋อซา ถ้าหากไม่จำกัดปัญหาที่อายุขัยเหลือแค่ห้าปี ผลกรรมของการจุติในครั้งนี้จะไม่อาจสะสางให้สำเร็จได้
พอได้ยินเขาถาม เก๋อซาที่เหลือก็พากันตั้งใจฟัง อย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันกับความปลอดภัยของพวกเขา
“ตู้สยง…ข้าแซ่หมี ชื่อก่วงอิง เรื่องที่เจ้าพูด จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก” เธอไม่ขยับริมฝีปาก แต่เสียงกลับดังไปทั่วถ้ำ
“โอสถวิญญาณหงส์นภามาร เป็นโอสถวิเศษที่ผู้ซึ่งผนึกข้าติดตั้งไว้ที่นี่ ขอแค่พวกเจ้าทำลายแกนกลางของโอสถเม็ดนี้ได้ สารกายกับจิตวิญญาณที่อยู่ด้านในจะกระจัดกระจายไหลเข้าไปในตัวเก๋อซาทุกคนเอง บางทีอาจจะเติมอายุขัยได้ส่วนหนึ่ง”
“ได้ส่วนเดียวหรือ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
“แน่นอน ความจริงพลังของเก๋อซาเป็นการเติมอายุขัยของตัวเองเข้าไปในโอสถวิญญาณหงส์นภามาร แล้วแลกเปลี่ยนพลังอันแข็งแกร่งที่สมน้ำสมเนื้อโดยไม่รู้ตัว” หมีก่วงอิงอธิบายอย่างเรียบเฉย “ค่ายกลนี้เดิมมีชื่อว่าค่ายกลหงส์นภามารก่อกำเนิด ตอนแรกเป็นค่ายกลร้ายกาจที่จะดึงอายุขัยของสิ่งมีชีวิตมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ของขลัง เพียงแต่คู่แค้นของข้าเปลี่ยนให้มันกลายเป็นแบบนี้เพื่อผนึกข้าไว้”
“คุณพูดมาเยอะแยะ คิดจะทำอะไรกันแน่” ลู่เซิ่งถามตรงๆ
“จงปล่อยข้าออกไปและทำลายผนึก ข้าย้อนค่ายกลโอสถวิญญาณหงส์นภามารให้เจ้าได้” หมีก่วงอิงยิ้มอย่างจืดจาง
“คุณนึกว่าผมไม่รู้จักค่ายกลหรือไง” ลู่เซิ่งยิ้มเย็นชา “ค่ายกลนี้คุมขังคุณได้หรือ”
“ถ้าเจ้ารู้ เจ้าคงไม่ถามข้าหรอก ลวดลายรอบๆ นี้แค่มองดูแวบเดียวก็มองว่าจริงหรือปลอมออกได้แล้ว” หมีก่วงอิงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “ขอแค่พวกเจ้ากำจัดหมีเซิงหลง ข้าก็จะปลดผนึกได้เอง”
ลู่เซิ่งแค่นหัวเราะ ก่อนจะกวาดตามองรอบๆ และจ้องมองหมีเซิงหลงที่ถูกร่างหลักของเขาควบคุมอีกครั้ง
เขาขยับแขนทั้งสี่ข้างอย่างฉับพลัน
ควันสีดำจำนวนมากตลบอบอวลออกมาจากร่างหลัก เส้นสายสีดำหลายเส้นเหมือนกับหนวดแทงเข้าไปในตัวมนุษย์สีรุ้งของหมีเซิงหลงอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว
เส้นสายสีดำพวกนี้คือด้ายกระตุ้นวิญญาณ หลังจากใช้วิชารักษาที่มีแบบแผนได้อย่างสมบูรณ์ พอลู่เซิ่งใช้ด้วยจากสภาพร่างหลัก ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
ด้ายกระตุ้นวิญญาณที่ตอนแรกเติมสารกายใส่ ตอนนี้สิ่งที่เติมลงไปกลายเป็นปราณมารที่ใช้กระตุ้นชีวิตคนในร่างหลัก รวมถึงพิษและไฟหยิน
สสารอันเป็นของเหลวสีเขียวอมดำจำนวนมากถูกเติมเข้าไปในร่างมนุษย์สีรุ้งของหมีเซิงหลงอย่างรวดเร็ว
อ๊าก!
เขาร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างไม่อาจอดกลั้น แต่ปากกลับถูกเงามารที่อยู่ด้านหลังใช้มืออุดไว้ทันที
เศษเนื้อจากลำตัวก้อนใหญ่จำนวนมากร่วงหล่นลงมากระแทกกับพื้นและส่งเสียงทึบหนักอย่างต่อเนื่อง
เศษซากส่วนหนึ่งในนี้บ้างก็สูญสลายไป บ้างหายไปครึ่งหนึ่ง บ้างเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะกลายเป็นของเหลวประหลาดอีกแบบหนึ่ง
ไม่ถึงครึ่งนาที มนุษย์ยักษ์ก็ร่วงหล่นลงมาจนหมดสิ้น เหลือแค่วัตถุสีน้ำตาลทรงถั่ววอลนัตที่กะพริบแสงสีรุ้งก้อนหนึ่งอยู่ด้านในเท่านั้น
“นี่คือแกนหลักของโอสถวิญญาณหงส์นภามาร แกนหลักแห่งเก๋อซา มันมอบพลังให้แก่เก๋อซาได้ แต่เจ้าน่าจะรู้ราคาที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว” หมีก่วงอิงอธิบายอย่างราบเรียบ “สิ่งมีชีวิตที่ได้รับการประทานพลังจะสูญเสียอายุขัยในอนาคต สูญเสียความสามารถในการไปผุดไปเกิด เหลือแค่ปัจจุบันขณะเท่านั้น อายุขัยจะหดสั้นลงอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน”
“เพียงพอแล้ว” ลู่เซิ่งเดินไปจับแกนหลักแห่งเก๋อซา
ก่อนจะออกแรงดึง
ทว่าแกนหลักแห่งเก๋อซาไม่ขยับ
เงาของหมีเซิงหลงปรากฏขึ้นด้านหลังแกนหลักแห่งเก๋อซา
“นี่คือร่างหลักของข้า คิดว่าตัวเองชนะแล้วหรือไง เหอะๆๆๆ…ห้าปี! รออีกห้าปีให้หลัง! เก๋อซาทั้งหมดจะสูญเสียพลัง พลังของข้าจะไปถึงจุดสูงสุด ถึงตอนนั้น…ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรเรียกว่าความหวาดกลัว…”
ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจเขา ลองเพิ่มแรงมากขึ้น แต่ทว่าแกนหลักก็ยังไม่ขยับ
“จงยอมแพ้ซะเถอะ อาศัยแค่กำลังป่าเถื่อนอันน้อยนิดของเจ้า คิดจะขยับแกนหลักแห่งเก๋อซาซึ่งเป็นตัวแทนพลังของเก๋อซาทั้งหมด แม้แต่ข้าในยุคสมัยที่สมบูรณ์ที่สุดก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ” หมีเซิงหลงหัวเราะเย็นชา
ลู่เซิ่งใช้แรงทั้งหมด ทว่าแกนหลักนี้ก็ยังไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยเหมือนกับติดตรึงอยู่กลางอากาศ
“ขยับไม่ได้จริงๆ ด้วย” เขาคลายมือออกและพยักหน้าเล็กน้อย
หมีเซิงหลงหัวเราะเย็นชา “แกไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงที่ร่างหลักของข้าเป็นตัวแทน สิ่งที่แกนหลักแห่งเก๋อซาก้อนนี้เป็นตัวแทนคือการรวมกันของพลังแห่งเก๋อซาทั้งหมดในโลก หกสิบปีมานี้ มีกายเนื้อและจิตวิญญาณของเก๋อซาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ถูกเติมเข้ามาในนี้ อาศัยแค่เจ้าคนเดียว ไม่อาจ…”
ตูม!
ลู่เซิ่งถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะต่อยหมัดใส่แกนหลักแห่งเก๋อซา
คลื่นเสียงอันยิ่งใหญ่ซัดไปรอบๆ ถ้ำเหมือนกับคลื่นยักษ์ ผนังด้านในถ้ำปรากฏรอยยับย่นของเนื้อจำนวนมากที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ถึงขั้นปรากฏริ้วเลือดนับไม่ถ้วนบนกำแพง
แกร๊ก
เกิดเสียงแตก รอยแตกเล็กๆ โผล่ขึ้นบนผิวแกนหลักแห่งเก๋อซา เหมือนกับพร้อมจะแตกได้ทุกเวลา
ครั้งนี้ลู่เซิ่งเอื้อมมือออกไปจับของสิ่งนี้ลงมาได้อย่างง่ายดาย
ไม่ใช่แค่พวกตู้เซี่ยเท่านั้น แม้แต่ม่านตาของหมีก่วงอิงที่อยู่ด้านข้างก็หดตัวนิดหน่อยเช่นกัน
พละกำลังจากกายเนื้อเพียงอย่างเดียวชนิดนี้น่าตกใจเกินไปจริงๆ ก่อนหน้านี้ทั้งหมดเป็นการโจมตีระยะไกล จึงแสดงอานุภาพอะไรออกมาไม่ได้มากนัก แต่ครั้งนี้เป็นระยะประชิดแล้ว
ทุกคนจึงค่อยเข้าใจว่าไม่ใช่ลู่เซิ่งอ่อนแอ แต่เพราะเขาโจมตีระยะไกลไม่ได้ต่างหาก
‘แต่ไอ้หมีเซิงหลงนี่มันหลบอยู่ในแกนหลักนี้ ต้องหาวิธีจัดการปัญหาที่จะตามมาด้วย’ หลังจากได้แกนหลักมา ลู่เซิ่งก็กวาดตามองพวกตู้เซี่ยและเซียนร้อยบุปผาที่อยู่ด้านหลัง พลังของเก๋อซาบนตัวพวกเขามาจากแกนหลักชิ้นนี้ คงจะทำอะไรไม่ได้
“แก…แก! เป็นไปได้อย่างไรกัน!? การหยิบแกนหลักแห่งเก๋อซาต้องมีพละกำลังอย่างน้อยหลายพันตัน แกทำได้ยังไง…!” เงาของหมีเซิงหลงไม่กล้าเชื่อ
พอได้ยินคำพูดนี้ พวกตู้เซี่ยก็ตกตะลึงพรึงเพริด หลายพันตันเรอะ!
มนุษย์แค่คนเดียวกลับอาศัยกายเนื้อแสดงพละกำลังที่น่ากลัวแบบนี้ออกมาได้ ถ้าหากเป็นเก๋อซาก็ยังพออธิบายได้ แต่ลู่เซิ่งอายุเท่าไหร่แล้ว เขาไม่มีทางเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเก๋อซาโดยเด็ดขาด
“ร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างดี!” หมีก่วงอิงบนบัลลังก์พ่นลมหายใจ เหมือนกับนึกอะไรได้ สายตาที่มองลู่เซิ่งจึงเกิดความคาดหวังเล็กน้อยแล้ว
“ในเมื่อเจ้าหยิบแกนหลักแห่งเก๋อซาได้ อย่างนั้นข้าจะมอบพรอย่างหนึ่งให้เจ้า”
“หมายความว่ายังไง” ลู่เซิ่งมองอีกฝ่าย
หมีก่วงอิงกวาดตามองเก๋อซาที่เหลือและขยับริมฝีปากเล็กน้อย เสียงกลับส่งเข้าหูลู่เซิ่งเพียงคนเดียว
“แกนหลักแห่งเก๋อซาเดิมทีเป็นสมบัติที่สั่งสมหมุนเวียนพลังของเก๋อซาจำนวนมากไว้ แหล่งทรัพยากรที่แลกเปลี่ยนคืออายุขัย หากเจ้าอยากจะปลดขีดจำกัดทางอายุขัยของเก๋อซาในตอนนี้เพื่อเพิ่มอายุขัยให้แก่พวกเขา วิธีการเพียงหนึ่งเดียวก็คือ…”
“ไม่ ผมแค่อยากจะเพิ่มอายุขัยให้เก๋อซาไม่กี่คนเท่านั้น” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “จำนวน เอาสักราวๆ ร้อยคนก็แล้วกัน”
หมีก่วงอิงงุนงง จากนั้นดวงตาก็ฉายแววชื่นชม
“งั้นก็ง่ายแล้ว เจ้าแค่หลอมรวมจิตวิญญาณเข้ากับแกนหลักแห่งเก๋อซาก็พอ จากนั้นให้ดึงพลังแห่งเก๋อซาออกจากตัวคนที่เจ้าอยากจะเพิ่มอายุขัยให้ ระวังให้เคลื่อนไหวช้าๆ หน่อย จากนั้น…ให้ใช้วิชาอ่างหยกดำกินพลังสองเท่าของคนที่เจ้าต้องการช่วยเหลือขณะถือแกนหลักแห่งเก๋อซา จากนั้นก็กินอายุขัยของพวกเขาให้หมดเพื่อให้พวกเขากลายเป็นเก๋อซาคนใหม่ก็พอ”
เธออธิบายวิธีการควบคุมจิตวิญญาณอย่างละเอียดอ่อนให้ลู่เซิ่งฟังรอบหนึ่ง
ลู่เซิ่งที่เข้าใจคร่าวๆ แล้ว และทราบถึงความสำคัญด้านในอย่างรวดเร็ว
“จริงสิ เจ้าสมควรเป็นมารสวรรค์กระมัง เหตุใดจึงไม่โยนคนเข้าไปจัดการในโลกรูปจิตของเจ้าเล่า โลกมายามารสวรรค์ ข้าได้ยินมาว่าถ้าหากมีสิ่งมีชีวิตจริงๆ จะให้กำเนิดชีวิตด้านในนั้นได้ มันจะมีส่วนช่วยต่อเจ้าอย่างใหญ่หลวงทีเดียว” หมีก่วงอิงถามอย่างสงสัย
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้รับการสืบทอดมารสวรรค์ที่สมบูรณ์ เพียงรู้จักจุติเพื่อสั่งสมพลังจิตวิญญาณเท่านั้น…คงเป็นเพราะจำนวนครั้งที่เจ้าจุติยังน้อยอยู่ หนำซ้ำยังเสียเวลาอยู่ในโลกแต่ละใบนานมากใช่หรือไม่” หมีก่วงอิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มราบเรียบ “กายเนื้อของเจ้ามีศักยภาพแข็งแกร่งมาก สนใจเข้าร่วมองค์กรที่ข้าอยู่ไหม”
“ขนาดคุณยังถูกผนึกจนเป็นแบบนี้ ผมเข้าไปแล้วมีจะประโยชน์อะไรล่ะ” ลู่เซิ่งนึกขำ สภาพน่าสังเวชขนาดนี้ ยังไม่ลืมพาคนเข้ากลุ่มตัวเองอีก
“ข้าถูกน้องชายของตัวเองขาย ข้อมูลโดนปิดกั้น ตอนนี้สมาชิกคนอื่นๆ ในองค์กรไม่รู้ว่าข้าอยู่ไหน เลยช่วยเหลืออะไรไม่ได้ เรื่องนี้จนปัญญาจริงๆ” หมีก่วงอิงไม่โกรธ หากอธิบายอย่างสงบ
“ถ้าผมเข้าไปแล้วจะได้อะไร พวกคุณแข็งแกร่งขนาดไหน คุ้มครองผมได้ถึงขนาดไหน” ลู่เซิ่งถามถึงผลประโยชน์ที่จะได้
ถ้าหากอีกฝ่ายมีความสามารถจริงๆ เขาก็ยินดีเข้าร่วมด้วย ที่เขายอมรั้งอยู่ในนครตราชั่ง เป็นเพราะหวังจะได้วิชาการฝึกฝนในภายหลัง หลังจากเข้าร่วมสังกัดเท่านั้น
“พวกเราจะลงชื่อในสนธิสัญญาช่วยเหลือกันให้แก่สมาชิกทุกคนอยู่แล้ว เกิดว่าใครเจอปัญหา ก็จะจัดส่งขุมกำลังช่วยเหลือตามค่าความดีความชอบไปให้ ยิ่งมีค่าความดีความชอบสูงเท่าไหร่ ช่วยเหลือองค์กรมากเท่าไหร่ การรับประกันความปลอดภัยรวมถึงผลประโยชน์และทรัพยากรที่จะได้รับก็จะมากขึ้นเท่านั้น ค่ายกลยักษ์ค่ายกลนี้เป็นต้นกำเนิดของพลังแห่งเก๋อซา เป็นแค่ทรัพยากรส่วนหนึ่งที่องค์กรเคยมอบให้ข้าเท่านั้น” หมีก่วงอิงแนะนำอย่างสบายๆ
ลู่เซิ่งเริ่มหวั่นไหวแล้ว แต่หากยังไม่รู้ว่าองค์กรนี้แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ เขาก็เข้าร่วมไม่ได้ อย่างไรปัญหาที่เขาสร้างขึ้นก็ใหญ่โตเกินไป เผ่าอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรไม่ใช่เผ่าที่ขุมกำลังใดๆ จะต้านทานได้ง่ายๆ
ต่อให้เป็นนครตราชั่ง ก็เพียงแค่พอฟัดพอเหวี่ยงกับเผ่าเผ่านี้ในเขตดวงดาวใกล้ๆ เท่านั้น แถมยังทำได้แค่ป้องกันตัวด้วย
“เจ้าจัดการเรื่องราวบนโลกใบนี้ก่อนก็ได้ มีปัญหาอะไรมาถามข้าได้ทุกเวลา ตราบใดที่โอสถวิญญาณหงส์นภามารไม่ถูกทำลาย นาฬิกาเทพจะคงอยู่ต่อไปอีกหนึ่งเดือน หนึ่งเดือนนี้มากพอให้เจ้าตัดสินใจแล้ว” หมีก่วงอิงเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
ลู่เซิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะพาแกนหลักแห่งเก๋อซาและพวกตู้เซี่ยถอยออกจากถ้ำแห่งนี้ไปอย่างช้าๆ
“จริงสิ ถือโอกาสบอกเจ้าไปด้วยเลยก็แล้วกัน องค์กรที่ข้าสังกัดมีชื่อว่าสมาคมธวัชเหล็ก” ตอนที่เดินตามช่องแตกจนใกล้ออกจากนาฬิกาเทพ เสียงของหมีก่วงอิงก็ลอยเข้าหูลู่เซิ่งอีกครั้ง
‘สมาคมธวัชเหล็ก…’ เขาแอบจำชื่อนี้เอาไว้
“พี่คะ พวกเราถือว่าจัดการเรียบร้อยแล้วเหรอคะ” ตู้เซี่ยโพล่งถามมาจากด้านหลัง
“ยังหรอก ใกล้แล้ว อีกไม่นานแล้วล่ะ” ลู่เซิ่งได้สติกลับมาพร้อมกับตอบเบาๆ
“มีเรื่องอะไรที่พวกผมช่วยได้ไหม นายท่านชี้แนะได้เลยครับ!” เซียนร้อยบุปผากับจอมเผด็จการจันทราน้ำแข็งต่างได้เห็นพลังอันเหี้ยมหาญที่หลุดจากหลักเหตุผลโดยสิ้นเชิงของลู่เซิ่งแล้ว เงามารสี่แขนขนาดยักษ์ที่ลู่เซิ่งปล่อยออกไปจากใต้ฝ่าเท้าเป็นสิ่งที่เก๋อซาทั้งหมดเห็นได้อย่างชัดเจน
พลังแบบนี้ทำให้คนไม่อาจกระตุ้นความคิดต่อต้าน ยิ่งอย่าว่าแต่ตอนนี้แกนหลักแห่งเก๋อซายังอยู่ในมือลู่เซิ่งอีกต่างหาก
แกนหลักแห่งเก๋อซาถูกควบคุม ทุกๆ คนซึ่งรวมถึงตู้เซี่ยต่างสัมผัสได้ว่า เหมือนกับหัวใจของตัวเองถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งบีบไว้อย่างแน่นหนา
“สิ่งที่พวกเธอต้องทำนั้นง่ายมาก นั่นคือกลับไปรอฟังข่าวดี” ลู่เซิ่งมีขุมกำลังที่ภักดีกับตนถึงที่สุดเพิ่มมาอีกกลุ่มหนึ่ง หนำซ้ำเที่ยวนี้เขายังได้รู้ด้วยว่าจะใช้จิตโน้มน้าวพวกเก๋อซาระดับแม่มดอย่างไรดี
……………………………………….