ในด้านของการบริหารบริษัทนั้นเย่เชียนอาจเป็นคนที่ไม่เหมาะสมมากนัก เพราะเย่เชียนมีความสามารถในการเข้าหาผู้คนและใช้ประโยชน์จากพวกเขาให้เกิดประโยชน์สูงสุดเสียมากกว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นเจ้าคนนายคนคือต้องทำให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับของลูกน้องให้ได้ และเป็นเสาหลักในการวางแผนงานวางคนให้ถูกกับงาน โดยที่ตัวเองนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเก่งไปเสียทุกอย่าง
เย่เชียนกวาดสายตาเพื่อไล่ดูข้อมูลและงบการเงินที่เฉิงเหวินนำมาให้เขา จากนั้นเย่เชียนก็ส่งมันให้กับซ่งหลันและขอให้เธอช่วยดูมันให้เขาอีกที ซึ่งซ่งหลันเองก็ไม่ได้บ่นอะไรเลยสักคำ เพราะหลังจากที่เธอได้ยินเย่เชียนเรียกเธอว่านางฟ้าแล้ว เธอก็รีบมาที่เมืองหนานจิงด้วยความเต็มใจทันที
“พี่หลันหลันเป็นไงบ้าง ?” เย่เชียนถามอย่างจริงจัง
“นายนี่นะ… ขนาดบริษัทของตัวเองนายยังไม่คิดที่จะทำอะไรเลย แต่ดันรับปากจะไปช่วยคนอื่น” ซ่งหลันกระซิบและพูดว่า “สงสัยคืนนี้ฉันคงจะทำให้นายเหนื่อยสักหน่อยซะแล้ว”
คำพูดของซ่งหลันทำให้เย่เชียนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตอนนี้ตัวเองได้ก้าวเข้ามาเป็นซีอีโอของบริษัทของเฉินฟู่เฉิง ซึ่งนี่ไม่ใช่ชีวิตที่เขาต้องการเลย มิฉะนั้นป่านนี้เขาก็คงจะเป็นซีอีโอของบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปของตัวเองไปแล้ว เขาคิดเพียงแค่ว่าจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเฉินฟู่เฉิงก่อนตายเท่านั้น แต่ในเมื่อเรื่องราวมันเป็นมาถึงขั้นนี้ เย่เชียนคิดว่าเขาคงช่วยทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ มีเสถียรภาพก่อน แล้วจึงค่อยปล่อยให้คนที่เขาไว้ใจได้เข้ามาจัดการแทนเช่นเดียวกันกับบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปที่เขาได้ให้ซ่งหลันดูแลนั่นเอง
บริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปมีเบื้องหน้าเป็นบริษัทการเงินชั้นนำของโลก ในบริษัทมีทั้งนักบัญชีและนักตรวจสอบบัญชี รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญด้านงบประมาณต่าง ๆ ซึ่งทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของโลกทั้งนั้น แม้ว่าอุตสาหกรรมของเฉินฟู่เฉิงจะมีขนาดใหญ่โตและซับซ้อนก็ตาม แต่มันก็ไม่ยากเกินไปสำหรับพวกเขา
หลังจากที่เย่เชียนได้รับข้อมูลคืนมาจากซ่งหลัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น เพราะถึงแม้ว่าเฉินฟู่เฉิงจะเป็นวีรบุรุษผู้ก่อตั้งรุ่นแรก ๆ แต่ความใจดีของเขาที่ไว้ใจให้คนอื่นดูแลบริษัทนั้นมันทำให้การเข้ามารับช่วงต่อของเย่เชียนมีความยากขึ้นไปอีก ดูแล้วเฉินฟู่เฉิงน่าจะเพียงแค่ขอรายงานรายเดือนเกี่ยวกับการเงินและเงื่อนไขการดำเนินงานต่าง ๆ โดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากนั้น ทำให้หลายปีที่ผ่านมาเหล่าผู้บริหารและผู้จัดการเป็นเสมือนดั่งจักรพรรดิในพรมแดนที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้
แม้ว่าแนวทางของเย่เชียนจะคล้ายกับเฉินฟู่เฉิงมาก แต่เย่เชียนนั้นมีความรอบคอบมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเขี้ยวหมาป่าหรือบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ป เขาเองเป็นผู้แนะนำทิศทางการพัฒนาหลักทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นพวกพี่น้องในกลุ่มเขี้ยวหมาป่าและซ่งหลันยังถือได้ว่าเป็นมิตรแท้และพี่น้องที่เย่เชียนแลกมาด้วยชีวิต ซึ่งมิตรภาพแบบนั้นมันแตกต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารและผู้จัดการของเฉินฟู่เฉิงมากเลยทีเดียว
เย่เชียนครุ่นคิดขณะที่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “หวนเฟิง… นายว่าเราควรทำไงต่อไปดี ?” เย่เชียนถาม
“ฆ่า!” การแสดงออกของอู๋หวนเฟิงไม่เปลี่ยนแปลง
คิ้วที่ขมวดอยู่ของเย่เชียนค่อย ๆ คลายออกและรอยยิ้มอันชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา การใช้วิธีตรงไปตรงมาอย่างไม่อ้อมค้อมเพื่อแก้ไขปัญหาในช่วงเวลาคับขันนั้นเป็นหลักการที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตลอดทุกยุคทุกสมัย เย่เชียนไม่สนใจว่าคนอื่นจะเรียกเขาว่าอันธพาลหรืออสูรร้ายผู้หิวโหย เพราะประวัติศาสตร์มักจะถูกเขียนโดยคนที่ประสบความสำเร็จและผู้ที่ชนะเสมอ หากจะพูดว่าเฉินฟู่เฉิงให้ความสำคัญกับวิถีกษัตริย์ในการปกครองล่ะก็ เย่เชียนก็คงจะให้ความสำคัญกับการเป็นผู้ครอบครองโลกและทุกสรรพสิ่ง
“โทรหาพวกผู้จัดการทั้งหมดและนัดประชุมตอนแปดโมงเช้าของวันพรุ่งนี้” เย่เชียนกดโทรหาเฉิงเหวินและออกคำสั่ง
ขณะนั้นเป็นเวลาตีสี่ซึ่งเฉิงเหวินนั้นกำลังหลับอยู่ แต่เมื่อเขาตื่นมากดรับสายของเย่เชียน เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจากนั้นคลื่นแห่งความสุขก็ผุดขึ้นในใจของเขา เพราะเขารู้ได้ว่าเย่เชียนกำลังเรื่มที่จะกระทำการอะไรบางอย่าง หลังจากที่วางสายแล้วเฉิงเหวินก็รีบติดต่อไปยังพวกผู้จัดการเพื่อให้มาประชุมกันที่บริษัทในเช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อเหล่าบรรดาผู้บริหารและผู้จัดการได้รับโทรศัพท์จากเฉิงเหวิน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะทุกคนรู้ดีว่าทันทีที่เฉินฟู่เฉิงล่วงลับไป บริษัทก็จะต้องเลือกผู้สืบทอดคนใหม่และใคร ๆ ก็แอบเฝ้าฝันถึงบัลลังก์นี้กันทั้งนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาได้ยินเฉิงเหวินพูดว่าบริษัทมีซีอีโอคนใหม่แล้ว พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสูญเสียและขุ่นเคืองใจกันเป็นอย่างมาก คนพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นจิ้งจอกเฒ่าที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ทางธุรกิจ ซึ่งเฉินฟู่เฉิงนั้นไม่เคยรั้งพวกเขาไว้ได้เลยในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ แล้วนับประสาอะไรกับผู้สืบทอดคนใหม่ ? หลังจากนั้นพวกเขาก็หายง่วงในทันทีและเริ่มโทรศัพท์เพื่อหารือเกี่ยวกับการประชุมในวันพรุ่งนี้
“หวนเฟิง… นายเองก็เตรียมตัวไปประชุมด้วยนะ พรุ่งนี้จะเป็นวันสำคัญของเรา” เย่เชียนพูดขณะที่เหลือบมองไปยังอู๋หวนเฟิง
เย่เชียนรู้ดีว่าหากตัวเองต้องการที่จะสร้างเสถียรภาพให้กับบริษัทของเฉินฟู่เฉิง เขาจะยังคงต้องการแรงสนับสนุนจากพวกผู้บริหารและผู้จัดการเหล่านั้นอยู่ และเย่เชียนไม่สามารถกวาดล้างคนเก่า ๆ ทั้งหมดได้ในทันทีที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธาน ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือ เขาต้องรอจนกว่าจะได้พบกับคนเหล่านี้อย่างเป็นทางการและคอยสังเกตพฤติกรรมของพวกเขา เมื่อใดก็ตามที่เย่เชียนเข้าใจพวกเขาแล้ว เขาถึงจะสามารถดำเนินการสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมและได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่า
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
หลังจากอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ เย่เชียนก็เปลี่ยนชุดและไปที่ห้องประชุมของสโมสรในอุตสาหกรรมการผลิตของเฉินฟู่เฉิง แม้ว่าเขาจะนัดการประชุมตอนแปดโมงเช้า แต่กว่าที่เย่เชียนจะมาถึงนั้นก็เป็นเวลาแปดโมงครึ่งแล้ว ทว่านั่นเป็นเพราะเขาจงใจสร้างความรู้สึกบีบคั้นและกดดันให้กับผู้เข้าร่วมประชุม
เฉิงเหวินกำลังยืนรอเย่เชียนอยู่ที่ประตู เมื่อเขาเห็นรถที่เคยเป็นรถประจำตำแหน่งของเฉินฟู่เฉิงขับเข้ามา เขาก็รีบทักทายเย่เชียนในทันที “ท่านประธาน!”
เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เรียกผมว่าเย่เชียนเถอะครับ… ทุกคนมากันแล้วใช่มั้ย ?”
“มากันเกือบครบแล้วครับ เหลือแค่อีกคนเดียวที่ยังมาไม่ถึง” เฉิงเหวินตอบ
เฉิงเหวินรู้ดีว่าสาเหตุที่เย่เชียนถ่อมตัวลงก็เพื่อที่จะเอาชนะใจเขา ทว่าสำหรับเฉิงเหวินแล้ว ตราบใดที่เย่เชียนสามารถทำให้ผู้จัดการตกตะลึงกันได้ เขาก็จะยอมรับตัวตนของเย่เชียนและเต็มใจที่จะทำงานให้กับเขาอย่างสุดความสามารถ
เย่เชียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามว่า “คุณไม่ได้แจ้งเขาเหรอ ?”
“แจ้งไปแล้วครับเมื่อคืนนี้… แต่อาจมีบางอย่างที่ทำให้เขามาช้า” เฉิงเหวินพูด
เย่เชียนยิ้มมุมปากและจับไหล่ของเฉิงเหวินเบา ๆ “เขาอยากที่จะหักหน้าผมใช่มั้ย… งั้นดีเลย!”
คำพูดของเย่เชียนนั้นครุมเครือมาก เฉิงเหวินจึงได้แต่เหลือบมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจ
เย่เชียนยิ้มจาง ๆ และพูดว่า “ไปกันเถอะ ทุกคนน่าจะรอกันอย่างใจจดใจจ่อแล้ว”
พูดจบเย่เชียนก็เดินเข้าไปข้างใน ส่วนอู๋หวนเฟิงก็เดินตามไปอย่างใกล้ชิดโดยไม่มีการแสดงออกทางสีหน้าใด ๆ เลย เฉิงเหวินจึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อนำทางเย่เชียน
ถึงแม้ว่าเจมส์จะเป็นชายหนุ่มที่สูงเกือบสองเมตร แต่เขาก็มีนิสัยที่ค่อนข้างเหมือนเด็กเล็ก เขาชอบกินอาหารฟาสต์ฟู้ดและนั่งรถไฟเหาะในสวนสนุก อีกทั้งในกลุ่มเขี้ยวหมาป่านั้นเจมส์มักจะถูกเรียกว่าพ่อหนุ่มหน้าใสไร้เดียงสาอยู่ตลอด
เย่เชียนมองเจมส์อย่างหมดหนทางและพูดว่า “ไม่มีปัญหา… ทางเราจะจ่ายค่าว่าจ้างให้นายล่วงหน้าจากบัญชีธนาคารขององค์กร และจะหักออกจากค่าตอบแทนของภารกิจในครั้งต่อไป”
“โอ้มายก้อด…!” เจมส์อุทาน เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เย่เชียนไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่เขาเดินทางออกมาจากจีนเพียงไม่กี่วันแต่เขากลับคิดถึงหลินโรโร่วมากขึ้นเรื่อย ๆ บางทีมันอาจจะเป็นพลังแห่งความรักก็ได้ เย่เชียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกเหนือไปจากเชื่อในคำพูดที่ว่า วีรบุรุษผู้แข็งแกร่งนั้นมีจุดอ่อนคือหญิงสาวคนรักของพวกเขา
หลังจากที่อธิบายเพิ่มเติมสั้น ๆ แล้ว เย่เชียนและคนอื่น ๆ ก็เดินทางไปที่จุดท่องเที่ยวในบริเวณใกล้เคียง พวกเขาเลือกซื้อของที่ระลึกจากร้านค้าในละแวกนั้น แน่นอนว่าเย่เชียนจะต้องเลือกของที่ต้องให้กับหลินโรโร่ว ฉินหยู และคนอื่น ๆ ด้วย
การเลือกของขวัญเหล่านี้มันทำให้เย่เชียนต้องใช้สมองและความคิดจนชักจะปวดหัว เพราะบุคลิกของผู้หญิงแต่ละคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เขาจำเป็นที่จะต้องหาของขวัญที่เหมาะกับบุคลิกของพวกเธอแต่ละคนให้ได้ ซึ่งบางทีมันก็เป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่งเช่นกัน
ขณะที่พวกเขาอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยว เย่เชียนก็ได้ถ่ายภาพทิวทัศน์อันงดงามของจุดชมวิวด้วยโทรศัพท์มือถือของเขาเอง โดยเขาถือว่าภาพถ่ายเหล่านี้เป็นของที่ระลึกสำหรับตัวเอง การมาเยือนเมียนมาร์ในครั้งนี้ เย่เชียนไม่ได้ถ่ายรูปเซลฟี่ตัวเขาเองแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าตัวตนของเขาจะไม่ได้เป็นความลับสำหรับรัฐบาลระดับสูงอีกต่อไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงใช้มาตรการป้องกันเผื่อเอาไว้ก่อนจะเป็นการดีกว่า ไหน ๆ ที่ผ่านมาตัวเขาเองก็แทบจะไม่เคยถ่ายรูปเซลฟี่เลย เช่นนั้นมาที่เมียนมาร์แล้วไม่ได้ถ่ายก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร
คืนนั้น ทุกคนไปที่ร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่งและนั่งกินอาหารท้องถิ่นกันอย่างเอร็ดอร่อย แน่นอนว่าสถานที่ที่ดีที่สุดในการลิ้มลองอาหารท้องถิ่นจริง ๆ ก็คือแผงขายอาหารริมถนน ถึงแม้ว่ามันจะดูไม่ดีนักแต่มันก็มีรสชาติแบบท้องถิ่นแท้ ๆ ซึ่งแตกต่างกันมากเมื่อเทียบกับร้านอาหารที่ใหญ่โต
เช้าวันรุ่งขึ้น เย่เชียนรีบขับรถไปยังเมืองหลวงของเมียนมาร์แต่เช้าตรู่ จากนั้นเขาก็นั่งเครื่องบินกลับเซี่ยงไฮ้ ซึ่งก่อนออกเดินทาง เย่เชียนได้โทรศัพท์หาหลินโรโร่วและบอกเธอว่าเขากำลังจะบินกลับแล้ว
หลินโรโร่วได้ยินดังนั้นก็มีความสุขมาก เธอถามเย่เชียนว่าเที่ยวบินของเขาจะออกกี่โมงและจะมาถึงเมื่อไหร่ เพราะเธออยากจะไปรับเขาที่สนามบิน
แม้เย่เชียนไม่ต้องการให้หลินโรโร่วเสียเวลาเดินทางไป ๆ มา ๆ แต่เขาก็อดไม่ได้ เพราะใจจริงแล้วตัวเขาเองก็ต้องการเจอเธอโดยเร็วที่สุดเช่นกันจึงบอกรายละเอียดเธอไป
…
เวลาประมาณสี่ทุ่ม เย่เชียนและม่อหลงก็เดินทางมาถึงสนามบินเซี่ยงไฮ้ผู่ตง ม่อหลงไม่ได้พูดอะไรมากตลอดการเดินทางทั้งหมด เขาตอบคำถามเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเวลาที่เย่เชียนถามเขาเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ บรรยากาศโดยรวมมันจึงค่อนข้างน่าเบื่อ
แต่ก็เอาเถอะ ยังไงเย่เชียนก็รู้ดีอยู่แล้วว่าม่อหลงเป็นคนมีนิสัยแบบนี้ เพียงแค่เขาไม่ชอบพูดมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาหยิ่งยโสหรือเกลียดชังเย่เชียน นี่อาจเป็นไปได้ว่ามันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ม่อหลงเก่งในการพรางตัวและการซุ่มยิง คนประเภทนี้มักจะมีจิตใจอันเงียบสงบ สุขุม และมั่นคงดั่งภูผา
เมื่อออกจากเทอมินอลของสนามบินแล้ว เย่เชียนก็มองเห็นหลินโรโร่วยืนรอเขาอยู่ไกล ๆ ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความคาดหวัง เธอมองไปรอบ ๆ ทั่วบริเวณไม่หยุดยั้ง ในที่สุดหลังจากที่เธอเห็นเย่เชียน เธอก็รีบวิ่งเข้าไปหาเขาอย่างสุขใจ
เมื่อเห็นหลินโรโร่วที่กำลังวิ่งเข้ามาข้างหน้าเขา เย่เชียนก็อุ้มเธอขึ้นมาอยู่ในอ้อมกอดและหมุนไปรอบ ๆ อยู่สองสามรอบ จากนั้นก็วางร่างเธอลง เขามองไปที่เธอพลางกระซิบเบา ๆ ข้างหูของเธอว่า “คุณรู้มั้ยว่าผมคิดถึงคุณมากขนาดไหน…”
รอยยิ้มที่มีความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินโรโร่ว เธอลูบไล้ใบหน้าของเย่เชียนเบา ๆ และพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ฉันก็คิดถึงคุณเหมือนกัน คนขี้โกง… คุณหายไปนานมากเลยนะ! แถมคุณยังไม่โทรหาฉันเลยด้วย!”
เย่เชียนยิ้มด้วยความรู้สึกผิดและพูดว่า “มันเป็นแถบภูเขาที่กันดารมากน่ะ โทรศัพท์ผมไม่มีสัญญาณเลย… ไหนบอกความจริงผมมาซิคนดี ว่าคุณคิดถึงผมมากแค่ไหนกัน”
“มาก… มากที่สุดเลย” หลินโรโร่วพูดเสียงอ้อน
“คุณคิดถึงผมที่ไหนบ้างล่ะ ?” เย่เชียนถามด้วยรอยยิ้มที่ซุกซน
ใบหน้าของหลินโรโร่วเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอเอาแต่มองใบหน้าเย่เชียนอย่างสุขใจ จากนั้นก็พูดว่า “ฉันก็คิดถึงคุณทุกหนทุกแห่งนั่นแหละ”
เย่เชียนยิ้มจาง ๆ และยื่นหน้าเข้าไปใกล้หูของหลินโรโร่ว เขากระซิบบางอย่างอยู่สองสามคำและทันใดนั้น ใบหน้าของหลินโรโร่วก็เริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ
เธอพูดอย่างน่ารักว่า “ฉันเกลียดคุณที่สุดเลย!”
ม่อหลงนั้นเป็นเหมือนดั่งมนุษย์ล่องหน ในตอนนี้เขายืนอยู่กับที่นิ่ง ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ เขามองไปที่หลินโรโร่วเพียงครั้งเดียวในตอนแรก จากนั้นเขาก็เบนสายตาไปที่อื่นอย่างมีมารยาท
แต่อย่าคิดนะว่าพี่ชายคนนี้จะไม่อยากรบกวนพวกเขาทั้งสองจริง ๆ เพราะตั้งแต่แรกเริ่ม เขาก็แอบฟังสิ่งที่เย่เชียนกับหลินโรโร่วคุยกันแล้วยังสามารถจดจำได้ทุกคำพูด นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งความสามารถของเขาก็ได้ เพราะม่อหลงนั้นชอบสังเกตมากแต่พูดน้อย และเขานั้นก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน ขนลุกซู่ไปกับคำพูดอันสุดแสนจะหวานแหววของเย่เชียนพลางแอบคิดกับตัวเองในใจ ‘บอสของเรานี่น่าอายจริง ๆ’
เมื่อหลินโรโร่วเห็นว่าเย่เชียนพาคนแปลกหน้ากลับมาด้วย เธอก็จ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้นเย่เชียนก็รีบแนะนำอย่างรวดเร็ว “อ๋อ… เขาชื่อม่อหลงน่ะ เป็นพี่ชายอีกคนหนึ่งของผมเอง”
“สวัสดีน้องสะใภ้” ม่อหลงหันไปมองหลินโรโร่วและทักทายเธอ
หลินโรโร่วเข้าใจได้อย่างเป็นธรรมชาติว่าเย่เชียนหมายถึงอะไร ในขณะที่เขาแนะนำว่าคนคนนี้เป็นพี่ชาย เธอก็เข้าใจว่าเขาคงเป็นพี่น้องของกลุ่มเขี้ยวหมาป่าอย่างแน่นอน และเมื่อเธอได้ยินคำพูดของม่อหลง มันก็ยากมากที่เธอจะไม่รู้สึกเขินอาย เธอจึงยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วพูดว่า “สวัสดีค่ะ…”
เย่เชียนดึงหลินโรโร่วเข้ามาโอบและพูดว่า “ไปกันเถอะ… กลับบ้านกัน”
หลินโรโร่วแสดงสีหน้าอ่อนโยนและปล่อยให้เย่เชียนโอบเธอออกไปจากสนามบิน ส่วนม่อหลงก็เดินตามมาจากทางด้านหลังอย่างเงียบ ๆ ดวงตาของเขาสงบนิ่งยากที่จะอ่านออก ราวกับว่าในโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่เขาคิดว่าน่าสนใจสำหรับเขาเลยสักอย่าง
เย่เชียนนั้นไม่รู้ประวัติของม่อหลงมากนัก เขารู้แค่ว่าม่อหลงเป็นสาวกของ สำนักม่อจื๊อ ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปในอดีตอันไกลโพ้นช่วงสงครามของจีน ในสมัยนั้นมักจะมีความสับสนวุ่นวายของสงคราม และในแต่ละประเทศก็เริ่มออกทำสงครามยึดดินแดนกัน สำนักม่อจื๊อจึงลุกขึ้นอย่างสง่าในช่วงเวลานั้น และสาวกคนแรกก็คือ ม่อตี๋ ผู้ก่อตั้งสำนักม่อจื๊อ เขายืนหยัดเพื่อรักษาความสงบโดยการเดินทางไปตามแคว้นต่าง ๆ เพื่อช่วยให้มณฑลและเมืองที่อ่อนแอกว่าสามารถต่อต้านการข่มเหงของแคว้นใหญ่ ๆ ได้
เย่เชียนไม่เห็นด้วยกับหลักคำสอนของลัทธิม่อจื๊อมากนัก แต่ก็ยังมีบางส่วนที่เขาเคารพในปรัชญาของพวกเขา เพราะท้ายที่สุดแล้วสำนักม่อจื๊อก็เป็นตัวแทนของประชาชนธรรมดาที่ไม่ใช่ผู้มีอำนาจจากเบื้องบน
สำนักม่อจื๊อเริ่มจางหายไปในยุคของราชวงศ์ฮั่น อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่ถอยกลับไปและอาศัยอยู่บนภูเขาจะลงมาเป็นครั้งคราวและเดินทางผ่านแคว้นต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่หลักคำสอนและปรัชญาของพวกเขา
ก่อนหน้านี้สำนักม่อจื๊อเป็นสำนักทางทหารที่เข้มงวดมาก อาจกล่าวได้ว่าผู้ติดตามและสาวกของสำนักม่อจื๊อแต่ละคนเป็นดั่งมีดคมในกองทัพ
สำหรับม่อหลงเอง ในฐานะสาวกของสำนักม่อจื๊อในยุคนี้ เขาก็เป็นดั่งม่อตี๋ของยุคนี้เช่นกัน ชื่อนี้ได้รับการถ่ายทอดมาแล้วหลายชั่วอายุคน แต่ก็ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่ายังมีอยู่อีกกี่คนที่ยังคงเชื่อในอุดมการณ์และปรัญชาเช่นนี้ของพวกเขาอยู่ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
เมื่อย้อนกลับไปตอนที่เทียนเฉินพาม่อหลงมาที่กลุ่มเขี้ยวหมาป่า เขาบอกเย่เชียนเพียงแค่ตัวตนคร่าว ๆ ของม่อหลงและสั่งให้เย่เชียนปฏิบัติดีต่อม่อหลงด้วยหัวใจเหมือนกับเป็นคนในครอบครัวคนหนึ่ง เพราะเขาเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นั้นม่อหลงจะช่วยเหลือเย่เชียนได้อย่างมาก
ในตอนนั้นเย่เชียนยังเป็นเด็กอยู่ เขาไม่รู้ว่าลัทธิม่อจื๊อคืออะไร จนกระทั่งเขาได้อ่านหนังสือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับหัวข้อนี้ เขาถึงได้เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ และในสายตาของเย่เชียนนั้น ม่อหลงไม่ได้เพียงแค่เป็นม่อตี๋ของยุคนี้เท่านั้น แต่เขาเป็นดั่งพี่ชายคนหนึ่งซึ่งเย่เชียนถือว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ที่มีชีวิตและความตายไปพร้อม ๆ กันกับเขา