ตอนที่ 1057 นั่งบนภูเขาแล้วดูเสือต่อสู้กัน
…………….
ในประเทศจีนผู้คนต่างก็ใฝ่หาศาสตร์แห่งศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงสุดตั้งแต่สมัยโบราณแต่น้อยคนนักที่จะไปถึงจุดสูงสุดได้ อย่างไรก็ตามยังมีหลายคนที่ไล่ตามทักษะและวิชาการต่อสู้จากตำราโบราณอยู่และคนเหล่านี้ถูกเรียกว่านักรบโบราณ
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์ก็ได้ทำให้ตำราและคัมภีร์ลับที่เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้หลายอย่างหายไปและนอกจากนี้นักรบโบราณจากตระกูลและสำนักต่างๆก็ระบบศักดินามาตลอดดังนั้นจึงทำให้ศิลปะการต่อสู้ที่สืบทอดต่อกันมาจำนวนมากค่อยๆหายไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีบางคนที่พยายามแสวงหาความลับต่างๆที่จางหายไปอย่างเย่เจิ้งหราน ซึ่งนั่นทำให้ความเข้าใจในศิลปะการต่อสู้ของเขานั้นเหนือกว่านักรบโบราณคนอื่นๆและท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เขาแสวงหามาได้นั้นก็ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาสูงกว่าคนอื่น
อย่างไรก็ตามอะไรคือขอบเขตสูงสุดของศิลปะการต่อสู้? เกรงว่าตอนนี้จะมีอยู่เพียงไม่กี่คนที่เข้าใจได้และในความเห็นของเย่เชียนบางทีก็มีเพียงพ่อของเขาและพระเฒ่านิรนามที่วัดหลิงหลงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้นที่รู้เรื่องเหล่านี้
ส่วนในมุมมองของหยานตงเนื่องจากเขาและเย่เจิ้งหรานเป็นเพื่อนสนิทกัน ดังนั้นเย่เจิ้งหรานจึงบอกมุมมองและประสบการณ์บางอย่างเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ให้แก่เขา ถึงแม้ว่าตอนนั้นเขาจะไม่รู้อะไรเลยก็ตามแต่ตอนนี้เขารู้แจ้งสิ่งต่างๆมากกว่าคนอื่นๆแล้ว ด้วยเหตุนี้หลังจากเห็นสถานการณ์ของเย่เชียนนั้นหยานตงจึงรู้สึกว่าเย่เชียนนั้นแตกต่างออกไปจากคนอื่นๆเพราะเขาเชื่อว่าเหตุผลที่เย่เชียนไม่สามารถเอาชนะตู้ฟู่เหว่ยได้ในตอนแรกนั้นไม่ใช่เพราะเขาขาดทักษะและความแข็งแกร่งไปแต่นั่นเป็นเพราะเขาไม่สามารถใช้พลังอันมหาศาลในร่างกายของเขาได้ ตามสถานการณ์ตอนนี้หยานตงก็รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เขาคิดอย่างมาก
ขณะที่เย่เชียนกำลังจะพูดจู่ๆโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นและเป็นสายของหลินโรวโร่ว เห็นได้ชัดว่าเธอกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของเย่เชียนในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ เรียกได้ว่าเธออ่อนโยนและอ่อนหวานอย่างมากและคำพูดของเธอก็เต็มไปด้วยความลึกซึ้งทั้งความเป็นห่วงและความกังวล แต่คำพูดของเธอนั้นฉลาดมากและเชื่อว่าถึงแม้ว่าคนที่อยู่ข้างๆเธอจะได้ยินสิ่งที่พวกเขาสนทนากันแต่พวกเขาจะไม่รู้ถึงสถานการณ์ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือเลย
เมื่อหลินโรวโร่วออกจากภาคตะวันตกเฉียงเหนือเย่เชียนก็อธิบายกับเธอว่าเธอไม่ควรบอกฉินหยูและคนอื่นๆเกี่ยวกับสถานการณ์ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือและโดยธรรมชาติแล้วจุดประสงค์ก็คือเย่เชียนไม่ต้องการให้พวกเธอกังวล ดังนั้นวิธีการซักถามของหลินโรวโร่วจึงฉลาดมากและนอกจากนี้เธอยังรับปากว่าจะบอกแต่ข่าวดีไม่ใช่ข่าวร้าย ซึ่งไม่ว่าเบื้องหน้าจะอันตรายแค่ไหนแต่เย่เชียนก็จะไม่ปล่อยให้พวกเธอมาคอยกังวลเกี่ยวกับเขาอย่างแน่นอน ต่อให้มีหน้าผาอยู่ข้างหน้าเขาก็ตามแต่เขาก็ยังคงยิ้มและพูดคุยอย่างเป็นปกติอยู่ดี
ทั้งสองคุยกันอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็สลับเป็นฉินหยูและหูวเค่อที่มาคุยกับเย่เชียน ส่วนใหญ่ก็เป็นคำพูดที่ห่วงใยและถึงแม้ว่าพวกเธอจะดูสงบแต่น้ำเสียงก็ดูคิดถึงและห่วงใย เย่เชียนสัมผัสได้ถึงความรักอย่างชัดเจนจากนั้นเธอก็ส่งโทรศัพท์ให้ถังซูหยานและเย่เชียนก็รู้สึกได้ถึงความสุขในคำพูดของเธอ ผู้หญิงมักจะเป็นคนที่แปลกมากเพราะพวกเธอไม่อนุญาตให้สามีของเธอมีผู้หญิงคนอื่นแต่ฉันมักจะต้องการให้ลูกชายของเธอมีแฟนหลายคนเพราะด้วยวิธีนี้คนเป็นแม่จะได้มีหลานหลายคน
ทั้งหมดมีแค่คำพูดง่ายๆที่ดูเป็นห่วง หลังจากหยุดไปชั่วขณะถังซูหยานก็พูดต่อ “เสี่ยวเชียนลูกอยู่ในเมืองซีหนิงงั้นเหรอ..ถ้าทำธุระเสร็จแล้วก็แวะมาที่บ้านของคุณตากับคุณยายสิมันอยู่ไม่ไกลจากเมืองซีหนิงมาก..ตากับยายของลูกจะได้รู้จักลูกเพราะงั้นลูกควรจะไปพบพวกท่านบ้าง”
“ได้ครับแม่” เย่เชียนพยักหน้าตอบแล้วพูดว่า “ผมจะไปเยี่ยมพวกท่านเมื่อทุกอย่างที่นี่สงบลง”
“จำเอาไว้ล่ะว่าต้องนำของขวัญไปด้วย..อย่าไปมือเปล่าเมื่อพบพวกท่านครั้งแรก” ถังซูหยานพูดด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข “อย่างน้อยๆลูกต้องทำให้ญาติพี่น้องและลูกพี่ลูกน้องของลูกอิจฉาลูกนะ” ถังชูหยานที่แต่งงานกับเย่เจิ้งหรานนั้นเหล่าพี่น้องของเธอไม่เห็นด้วยและคัดค้านอย่างยิ่งและพวกเขาทั้งหมดต่างก็พูดว่าลูกของเธอจะต้องอนาถและไร้อนาคตอย่างแน่นอน นั่นเป็นเพราะเย่เจิ้งหรานเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับศิลปะการต่อสู้มากเกินไปและจะไม่ประสบความสำเร็จใดๆทั้งสิ้น แต่ถังซูหยานก็ไม่สนใจและไม่ลังเลที่จะแต่งงานกับเย่เจิ้งหรานเลยเพราะในความเห็นของเธอสิ่งที่เย่เจิ้งหรานมีนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ ถังซูหยานยังคงจำได้อย่างชัดเจนว่าน้องสาวของเธอขับรถรถสปอร์ตสุดหรูมูลค่าหลายสิบล้านและจงใจโอ้อวดต่อหน้าเธอ ซึ่งตอนนี้ลูกชายของเธอมีทุกสิ่งทุกอย่างและเธอก็อยากเห็นเช่นกันว่าพี่น้องเหล่านั้นจะทำตัวอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าเธอจะต้องมีความสุขมากอย่างแน่นอน?
เย่เชียนจะรู้ได้อย่างไรว่าถังซูหยานจะหมายถึงแบบนั้น? เพราะเย่เชียนคิดว่าถังซูหยานกังวลเกี่ยวกับการขาดมารยาทของเขา ดังนั้นเย่เชียนจึงตอบไปว่า “ไม่ต้องกังวลครับแม่..ผมรู้ว่าต้องทำยังไง” เย่เชียนตอบแล้วหยุดและหลังจากหยุดไปครู่หนึ่งเย่เชียน ก็พูดว่า “แม่ครับ..ตอนนี้ผมยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องทำอยู่ที่นี่..แต่แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะผมจะไปเยี่ยมพวกท่านเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย”
ถังซูหยานไม่ได้พูดอะไรมากเพราะคิดเย่เชียนว่านี่คือสิ่งที่แม่ของเขาหมายถึงและหลังจากบอกลาถังซูหยานแล้วเย่เชียนก็วางสายไป
เมื่อหันไปมองที่หยานตงแล้วเย่เชียนก็พูดว่า “ผู้อาวุโสหยานคุณพูดถูก..ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกว่าร่างกายมีพลังมากมายมหาศาลแต่ก็ไม่มีทางที่จะรวมพลังทั้งหมดไปยังจุดหนึ่งได้..พูดง่ายๆว่าพลังในร่างกายของผมเปรียบเสมือนเครื่องจักรและทุกๆครั้งที่ผมต้องการใช้มันพลังเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะต่อต้าน..ซึ่งต่อให้ผมเผชิญอันตรายมากแค่ไหนมันก็ไม่สามารถเอาออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่เลย..ถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ความสามารถของผมเพิ่มขึ้นแต่ในกรณีฉุกเฉินมันก็ไม่สามารถใช้ได้เลยสักครั้ง..ผู้อาวุโสหยานคุณมีวิธีแก้ปัญหาดีๆบ้างหรือเปล่าครับ?”
“ฉันแค่รู้สึกถึงบางอย่างแต่ไม่คิดว่าจะเดาถูก..ตอนที่เอ็งอยู่ในอาการโคม่าฉันเอื้อมมือไปสัมผัสมือของเอ็งแต่พลังนั้นก็โต้กลับอย่างดุเดือดซึ่งเพียงพอที่จะแสดงว่าพลังในร่างกายของเอ็งมีความแข็งแกร่งอย่างมาก..อันที่จริงแล้วเอ็งสามารถเอาชนะตู้ฟู่เหว่ยได้โดยไม่ต้องใช้วิชาลับประตูแปดด่านเลยก็ได้..แต่เอ็งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากตู้ฟู่เหว่ยแต่กลับสามารถใช้วิชาลับประตูแปดด่านได้แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าฉันเดาไม่ผิด..เอ็งแค่ยังไม่สามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่” หยานตงพูดและหลังจากหยุดไปชั่วขณะหยานตงก็ถอนหายใจอย่างเงียบๆแล้วพูดว่า “แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย..ถ้าพ่อของเอ็งอยู่ที่นี่ด้วยเขาต้องรู้แน่ๆว่ามันคืออะไร..เฮ้อ..ฉันอุทิศตัวเองเพื่อการฝึกฝนมายี่สิบปีแล้วและช่องว่างความสามารถของฉันกับพ่อของเอ็งก็ยังห่างไกลกันมากอยู่ดี”
เย่เชียนสับสนอย่างมากเพราะเขาคิดว่าหยานตงจะสามารถมองเห็นปัญหาของเขาได้อย่างรวดเร็วและน่าจะมีทางแก้ไขได้แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย อย่างไรก็ตามคำพูดของหยานตงดูเหมือนจะมีบางอย่างอยู่ในนั้นซึ่ง ทำให้เย่เชียนรู้สึกสับสนอย่างมากและเขาก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความประหลาดใจว่า “ผู้อาวุโสหมายความว่ายังไง?..ทำไมคุณพูดเหมือนกับว่าพ่อของผมยังไม่ตายล่ะ?”
หยานตงก็ตกตะลึงและพูดว่า “จริงๆแล้วฉันรู้สึกแบบนี้มาโดยตลอดเพราะด้วยความสำเร็จและความสามารถของพ่อเอ็งในด้านศิลปะการต่อสู้นั้นถือได้ว่าก้าวข้ามมนุษย์คนอื่นๆไปอย่างมากเพราะงั้นต่อให้เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสและไปสู้กับฟู่จื้อซานจนถึงแก่ความตายก็ตามแต่ฉันคิดอยู่เสมอว่าพ่อของเอ็งยังไม่ตาย..แต่คนในตระกูลเย่กลับหมดศรัทธา..ถึงฉันจะไม่เชื่อแบบนั้นแต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้..บางทีอาจเป็นเพราะฉันยังหวังว่าเขายังมีชีวิตอยู่ก็ได้”
เย่เชียนไม่ได้พูดอะไรมากและถึงแม้ว่าเขาจะหวังว่าพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่เหมือนกับหยานตงก็ตามแต่เขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเย่เชียนก็พูดว่า “ผู้อาวุโสหยานงั้นผมขอตัวก่อนนะ” การต่อสู้กับตู้ฟูเหว่ยนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งต่างๆเพราะสิ่งที่รุนแรงมากจะเกิดขึ้นหลังจากนี้และนี่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ที่แท้จริงเท่านั้น แน่นอนว่าเย่เชียนไม่ต้องการเสียเวลาอยู่ที่นี่
เพราะตอนนี้เขายังคิดไม่ออกเขาก็เลยไม่สนใจปัญหาของตัวเองเพราะเรื่องแบบนี้มีแต่จะทำให้ปวดหัวเพราะงั้นก็อย่าคิดเลยจะดีกว่า มันคงไม่มีอะไรอย่างแน่นอนเพราะพ่อของเขาเย่เจิ้งหรานเป็นเพียงคนเดียวที่คุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นเย่เจิ้งหรานยังเสียชีวิตไปตั้งแต่เนิ่นๆและไม่ได้ทิ้งบันทึกใดๆเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาเอาไว้เลย ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่มีทางรู้ได้เลย
หยานตงก็พยักหน้าเล็กน้อยและไม่พูดอะไรอีกเพราะเขารู้ความคิดของเย่เชียนเป็นอย่างดี ซึ่งหลังจากขึ้นรถเย่เชียนก็รีบโทรหาชาฮัวเอียนและบอกผลการต่อสู้ให้เขาฟัง ซึ่งน้ำเสียงของชาฮัวเอียนนั้นดูน่าตื่นเต้นมากเพราะถ้าตู้ฟู่เหว่ยไม่ตายล่ะก็เขาจะต้องเป็นฝ่ายที่ตายเองโดยไม่ต้องหวังตำแหน่งเจ้าสำนักเลย เมื่อได้ยินแบบนั้นเขาก็ไม่มีอารมณ์ที่จะคุยกับเย่เชียนอีกต่อไปและชาฮัวเอียนก็วางสายไปหลังจากพูดอีกไม่กี่คำ
การตายของตู้ฟู่เหว่ยถือได้ว่าเป็นข่าวดีสำหรับชาฮัวเอียนอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะทุกๆสิ่งที่เขาเตรียมเอาไว้สามารถดำเนินการได้ทันที หลังจากวางสายโทรศัพท์ของเย่เชียนไปแล้วชาฮัวเอียนก็เริ่มดำเนินการทันที จากนั้นเขาก็กดเบอร์โทรศัพท์ของลูกน้องและสั่งการทีละคนเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการทำให้สถานการณ์ของสำนักม่อจื๊อมีเสถียรภาพโดยเร็วที่สุดและกำจัดสาวกที่ขึ้นตรงต่อตู้ฟู่เหว่ยและหยานซื่อฉุยโดยเร็วที่สุด ดังนั้นเมื่อสิ่งต่างๆดำเนินมาถึงจุดนี้แล้วชาฮัวเอียนจึงไม่ลังเลใด
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเพราะถึงแม้ว่าเขาจะคาดหวังให้ชาฮัวเอียนมีพฤติกรรมแบบนี้จริงๆแต่มันก็เกินคาดสำหรับเขาที่ชาฮัวเอียนจะฆ่าหยานซื่อฉุย ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะไม่พอใจเล็กน้อยแต่เย่เชียนก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากวางสายแล้วเย่เชียนก็หยิบบุหรี่ออกมาแล้วจุดไฟจากนั้นก็สูบแล้วปล่อยควันออกมาอย่างช้าๆ
“บอส..เราควรทำยังไงดี?” ม่อหลงถาม
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ไม่ต้องทำอะไรตอนนี้เราแค่รอชาฮัวเอียนกับหยานซื่อฉุยต่อสู้กันเอง..ผมคิดว่าด้วยความสามารถของหยานซื่อฉุยนั้นเธอคงไม่สามารถกำจัดชาฮัวเอียนได้หรอก..เพราะงั้นเราก็แค่รอเพราะเรายังมีโอ่วหยางหมิงซวนที่เป็นหุ้นส่วนและร่วมมือกันอยู่เพราะงั้นเราสามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ได้..หลังจากที่สาวกอันม่ออ่อนแอลงเราก็สามารถโจมตีชาฮัวเอียนตรงๆได้..เพราะเขาคือคนที่พยายามแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักเพราะงั้นผมคิดว่าแผนการของเราจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”
ม่อหลงก็ถอนหายใจอย่างเงียบๆเพราะเขารู้ว่าหยานซื่อฉุยจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่ถึงแม้ว่าเขาจะยอมรับไม่ได้แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่ดี แต่ถึงยังไงสิ่งที่เย่เชียนพูดนั้นก็สมเหตุสมผลและเย่เชียนก็ตั้งใจที่จะช่วยเขาอย่างใจจริง
.
.
.
.
.
.