ตอนที่ 1024 เพื่อน?
……….
ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานสักเพียงใดและเหนื่อยสักแค่ไหนจินเหว่ยห่าวก็อดทนได้และเมื่อมองดูผู้เป็นที่รักตายข้างๆกายครั้งแล้วครั้งเล่าจินเหว่ยห่าวก็ไม่สามารถยับยั้งความเศร้าโศกได้อีก ความเจ็บปวดถูกจารึกเอาไว้ในหัวใจก็ระเบิดขึ้นอีกครั้งและอีกครั้งจนเขาไม่สามารถลืมมันไม่ได้เลย
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะยังมีอีกสองคนในโลกใบนี้ที่คล้ายคลึงกับเขาดังนั้นหัวใจแหลกสลายของเขาก็ถูกเปิดออกอีกครั้งและคิดว่าคราวนี้เขาจะสามารถปกป้องเธอได้และไม่ปล่อยให้เธอบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย แต่สุดท้ายเขายังรั้งเธอเอาไว้ไม่ได้และมองดูใบหน้าที่อ่อนโยนนั้นค่อยๆจางหายไปในอ้อมแขนของเขาและหัวใจของเขาก็เจ็บปวดราวกับถูกมีดแทง
คราวนี้เขาจะไม่ทนอีกต่อไปและเขาจะฆ่าปีศาจตนนี้ให้ได้
เมื่อมองดูโอ่วหยางหมิงซวนเข้าไปในโรงแรมแล้วดวงตาของจินเหว่ยห่าวก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าและเขาก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาอารมณ์ของเขาเอาไว้ให้คงที่เพราะเขารู้ว่าข้างหน้าเขาไม่ใช่คนธรรมดาๆและถ้าเขาประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อยเขาจะต้องถึงวาระและไม่ต้องพูดถึงการล้างแค้นให้ผู้หญิงของเขาเลยเพราะแม้แต่ชีวิตของเขาก็ไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้อีก เขาติดตามโอ่วหยางหมิงซวนมานานแล้วและคราวนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเขา
เย่เชียนอาบน้ำเสร็จและเดินออกจากห้องไปยังห้องนั่งเล่นและพบว่าหลี่เหว่ย,ชิงเฟิงและม่อหลงกับจือเหวินก็นั่งอยู่ที่นั่นและมีชายวัยกลางคนอายุสามสิบต้นๆอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกเขา ซึ่งเผยให้เห็นอ่อร่าอันทรงพลังรอบๆตัวเขาเพราะโอ่วหยางหมิงซวนเป็นคนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดของเหล่าลูกหลานตระกูลโอ่วหยางตระกูลใหญ่แห่งโลกศิลปะการต่อสู้จีนโบราณ ซึ่งสมควรแล้วที่เขาได้รับการยกย่องและเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเขาอย่างลับๆ
เมื่อเห็นเย่เชียนเดินออกมาทุกคนก็ยืนขึ้นทีละคนและสีหน้าของโอ่วหยางหมิงซวนก็ดูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเพราะเขาคิดว่าในฐานะลูกหลานของตระกูลเย่นั้นเย่เชียนจะต้องดูเหมือนชายหนุ่มที่สุขุมและมีรูปลักษณ์เหมือนชนชั้นสูงแต่ตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้าเขาเป็นเหมือนอันธพาลและนักเลงอย่างมาก จากนั้นเขาก็พยักหน้าให้กับเย่เชียน
“นายน้อยโอ่วหยางนี่คือบอสใหญ่ของเราเย่เชียน!” หลี่เหว่ยแนะนำ “บอสครับนี่คือนายน้อยโอ่วหยางหมิงซวนทายาทแห่งตระกูลโอ่วหยาง” ลูกหลานส่วนใหญ่ของตระกูลชนชั้นสูงมักจะมีทัศนคติแง่ลบเสมอ ดังนั้นถ้าหากเป็นไปได้ลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงเหล่านี้ก็ไม่อยากที่จะติดต่อกับพวกเขาเลย แต่โอ่วหยางหมิงซวนกลับเต็มใจที่จะคลุกคลีกับคนอย่างพวกเขาอย่างเปิดเผย
“ผมได้ยินชื่อเสียงของคุณเย่มานานแล้วและวันนี้ผมก็ได้พบกับคุณสักที..ช่างเป็นเกียรติมากที่ได้พบกับลูกชายของสุดยอดปรมาจารย์ในโลกศิลปะการต่อสู้จีนโบราณแห่งตระกูลเย่” โอ่วหยางหมิงซวนพูด
เย่เชียนนั้นไม่ได้สนใจเกี่ยวกับฉากตรงหน้าที่เขาเห็นมากนัก อย่างไรก็ตามมีบางอย่างที่อธิบายไม่ได้เกี่ยวกับการมาเยี่ยมของโอ่วหยางหมิงซวนเพราะสำนักม่อจื๊อนั้นอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือดังนั้นพวกเขาก็ต้องมีความสัมพันธ์กับตระกูลโอ่วหยางไม่ใช่เหรอ? ซึ่งการมาถึงของโอ่วหยางหมิงซวนในครั้งนี้อาจเป็นเรื่องการประลองศึกตัดสินระหว่างเขากับตู้ฟู่เหว่ยในอีกสามวันข้างหน้าหรือเปล่า? หากเป็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ต้องระวังให้ดี เมื่อได้ยินแบบนั้นเย่เชียนก็พูดว่า “นายน้อยโอ่วหยางก็ชื่นชมผมเกินไป..คนอย่างผมเทียบกับคนที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นลูกรุ่นหลานของตระกูลโอ่วหยางอย่างคุณไม่ได้หรอกครับ..คุณสามารถดูแลจัดการสิ่งต่างๆของตระกูลโอ่วหยางได้เป็นอย่างดีและเรียกได้ว่าคุณเป็นจักรพรรดิแห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนืออย่างแท้จริง”
เพื่อจัดการกับหวังหว่านยู่นั้นเย่เชียนก็ได้ศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจในพลังของตระกูลโอ่วหยางเอาไว้บ้างแล้ว แต่เย่เชียนก็ไม่ได้รู้จักโอ่วหยางหมิงซวนมากแต่ชื่อนี้ก็เป็นที่รู้จักกันดีในตระกูลโอ่วหยาง ดังนั้นหากมีอะไรเกิดขึ้นกับทายาทของตระกูลโอ่วหยางล่ะก็ตระกูลโอ่วหยางก็คงจะไม่ยอมปล่อยไปอย่างแน่นอน
เย่เชียนก็ยิ้มทักทายทุกคนและพูดว่า “ผมมาที่เมืองซีหนิงได้สักพักแล้วแต่ไม่เคยไปเยี่ยมตระกูลโอ่วหยางเลย..ผมต้องขอโทษจริงๆ..พอผมคิดจะไปเยี่ยมแต่ก็น่าเสียดายที่ต้องวุ่นๆกับเรื่องไร้สาระจนไม่มีเวลาไปเยี่ยม..ผมหวังว่านายน้อยโอ่วหยางจะไม่ขุ่นเคืองนะครับ”
“คุณเย่ก็จริงจังเกินไป” ทัศนคติของโอ่วหยางหมิงซวนนั้นดีมาก “ผมรู้มานิดหน่อยเกี่ยวกับการมาเยือนเมืองซีหนิงของคุณเย่ในครั้งนี้และที่ผมมาวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้เช่นกัน..เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้วผมสิควรจะขอโทษคุณเย่เพราะมันเป็นความประมาทของตระกูลโอ่วหยางของผมเอง”
“นายน้อยโอ่วหยางหมายความว่าไงครับ?” เย่เชียนพูด
“คุณเย่ก็น่าจะรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลโอ่วหยางกับหวังหว่านยู่ใช่มั้ย?” โอ่วหยางหมิงซวนพูด
“ใช่ครับ” เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “แต่ผมก็รู้แค่นิดเดียว” เย่เชียนแอบคิดเกี่ยวกับจุดประสงค์ของโอ่วหยางหมิงซวนเพราะดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่เรื่องของตู้ฟู่เหว่ยแต่เป็นหวังหว่านยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุผลที่โอ่วหยางหมิงซวนมาที่นี่เพื่อประกาศสงครามหรือเพื่อไกล่เกลี่ยกันแน่
“หวังหว่านยู่ราชาแห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนือนั้นแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นแค่สุนัขรับใช้ของตระกูลโอ่วหยางเท่านั้นตอนนี้เมื่อเขาเติบโตขึ้นเขากลับแว้งกัดเจ้านาย..ที่สำคัญกว่านั้นเขาได้ทำให้คุณเย่ขุ่นเคืองใจและนี่คือสิ่งที่ตระกูลโอ่วหยางของผมทนไม่ได้จริงๆ” โอ่วหยางหมิงซวนพูดต่อ “ผมรู้ว่าคุณเย่มาที่นี่เพราะเรื่องของคุณผู้หญิงจือเหวินและนี่คือเรื่องที่ตระกูลโอ่วหยางของผมฝากมาขอโทษพวกคุณอย่างใจจริง”
เย่เชียนก็โบกมือแล้วพูดว่า “นายน้อยโอ่วหยางไม่ต้องทำแบบนี้หรอกครับ..พูดตามตรงผมสับสนกับการกระทำของคุณมากเลยตอนนี้”
“มันเป็นแบบนี้จริงๆ” โอ่วหยางหมิงซวนพูด “การที่หวังหว่านยู่คุกคามคุณผู้หญิงจือเหวินแล้วข่มขู่คุณเย่แบบนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง..ผมหวังว่าคุณเย่จะไม่ขุ่นเคืองและอีกอย่างหวังหว่านยู่ราชาแห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนือก็ถูกผมกำจัดไปเรียบร้อยแล้วและนี่ถือได้ว่าแทนคำขอโทษสำหรับคุณ..ส่วนขี้เถ้าและอัฐิของหยางเทียนนั้นผมก็นำมาที่นี่ด้วยเพื่อคืนให้แก่พวกคุณ”
ขณะที่โอ่วหยางหมิงซวนพูดอย่างนั้นเขาก็เปิดหีบห่อที่เขาถืออยู่แล้วหยิบอัฐิของหยางเทียนออกมาแล้วยื่นให้แม่ม่ายดำจือเหวิน เมื่อเห็นแบบนั้นจือเหวินก็ยื่นมือออกไปรับเอาไว้ด้วยความตื่นเต้นและมือของเธอก็สั่นเล็กน้อยเพราะผู้ชายคนนี้ผู้ที่เปลี่ยนชีวิตของเธอจากหน้ามือเป็นหลังมือและยังเป็นผู้ชายที่รักเธอและห่วงใยเธอในแบบที่พิเศษมากสำหรับเธอคนนี้ที่เต็มไปด้วยความนับถือและชื่นชม
เมื่อเห็นการกระทำของจือเหวินแล้วเย่เชียนก็ไม่ได้พูดอะไรมากเพราะเขารู้ดีว่าหยางเทียนคืออะไรสำหรับจือเหวินและเขาก็ไม่จำเป็นต้องอิจฉาคนตายแต่อย่างใด “คุณเย่ครับตระกูลโอ่วหยางของผมเสียใจมากกับเหตุการณ์ในครั้งนี้..หากคุณเย่ขุ่นเคืองพวกเราตระกูลโอ่วหยางก็พร้อมที่จะให้คำอธิบายที่ดีและยอมรับความผิดที่พวกเราละเลยสิ่งต่างๆไป” โอ่วหยางหมิงซวนพูดอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายน้อยโอ่วหยางครับอันที่จริงผมควรจะขอบคุณคุณมากกว่าและผมรู้ดีถึงความลำบากใจของคุณเพราะมันไม่ง่ายเลยที่จะหาลูกน้องที่จริงใจและซื่อสัตย์ได้ในยุคนี้..แน่นอนว่าสิ่งที่หวังหว่านยู่ทำนั้นตระกูลโอ่วหยางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลยเพราะงั้นผมก็ต้องขอบคุณนายน้อยโอ่วหยางและตระกูลโอ่วหยางที่ส่งมอบอัฐิของหยางเทียนให้กับเรา..ผมรู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆครับ” หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดต่อ “นายน้อยโอ่วหยางเป็นคนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดของตระกูลโอ่วหยางในรุ่นลูกรุ่นหลาน..ซึ่งคุณมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่มากที่ลงโทษหวังหว่านยู่ที่ทำผิดและฝ่าฝืนกฎ”
“คุณเย่ชื่นชมผมมากเกินไปแล้วเพราะอันที่จริงมันไม่มีอะไรเลย..ก็แค่หวังหว่านยู่อวดดีเกินไปเท่านั้นเอง” โอ่วหยางหมิงซวนพูดต่อ “คราวนี้ผมมาที่นี่ก็เพื่อส่งมอบอัฐิของหยางเทียนคืนและขอโทษคุณเย่เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น..พูดตามตรงผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณเย่จริงๆเพราะผมชื่นชมคุณเย่มานานแล้ว..แต่ผมไม่รู้ว่าคุณเย่จะเต็มใจหรือเปล่า”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เพื่อนมักจะกระทำมากกว่าพูดและแน่นอนว่าผมยินดีอย่างมากที่ได้มีเพื่อยอย่างนายน้อยโอ่วหยาง..แต่มันก็ไม่มีประโยชน์หากเราพูดอะไรในตอนนี้เพราะสิ่งทรี่เราทำได้ก็คือค่อยๆพิสูจน์ด้วยความจริงใจและการกระทำสำหรับมิตรภาพของพวกเรา..ดังนั้นครั้งนี้ผมก็รู้สึกขอบคุณมากที่คุณส่งมอบอัฐิของหยางเทียนให้กับพวกเรา..หากนายน้อยโอ่วหยางต้องการอะไรในอนาคตก็บอกผมมาได้เลย..ถ้าเรื่องไหนผมช่วยได้ผมก็จะช่วยอย่างเต็มที่!”
เมื่อได้ยินแบบนั้นโอ่วหยางหมิงซวนก็อดไม่ได้ที่จะแสดงรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาและพูดว่า “ตระกูลโอ่วหยางของผมนั้นมีรากฐานอยู่แต่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือมาโดยตลอดซึ่งผมเองก็สนใจพื้นที่แถบชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้อย่างมากและผมก็ได้ยินมาว่าอิทธิพลของคุณเย่ในเมืองเซี่ยงไฮ้นั้นยิ่งใหญ่มาก..เพราะงั้นถ้าเป็นไปได้ในอนาคตผมก็หวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันสักครั้ง..แต่ว่าคุณเย่ไม่ควรเพิกเฉยพื้นที่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือนะเพราะถึงแม้ว่ามันจะดูว่างเปล่าแต่มันเป็นแหล่งทำเงินที่ดีมากเลยทีเดียว”
“นายน้อยโอ่วหยางมีวิสัยทัศน์กว้างไกลที่ไม่เหมือนใครจริงๆ” เย่เชียนพูดแล้วหัวเราะจากนั้นก็พูดว่า “ตามที่นายน้อยโอ่วหยางพูดมานั้นทางผมเองก็สนใจอุตสาหกรรมห้างสรรพสินค้าอยู่เหมือนกันและผมก็ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะทำธุรกิจร่วมกับตระกูลโอ่วหยางมานานแล้วเหมือนกัน..แต่ผมได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลโอ่วหยางกับสำนักม่อจื๊อนั้นแน่นแฟ้นมาก..ไม่ทราบว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่าครับ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นโอ่วหยางหมิงซวนก็ตกตะลึงอยู่พักหนึ่งและงุนงงเล็กน้อยกับความหมายของเย่เชียนและถามอย่างว่างเปล่าว่า “คุณเย่กับสำนักม่อจื๊อมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ?..ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆผมก็ยินดีที่จะช่วยไกล่เกลี่ยให้เพราะสำนักม่อจื๊อกับตระกูลโอ่วหยางนั้นเป็นตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณที่มีรากฐานอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือเหมือนกันและความสัมพันธ์ของเราก็ค่อนข้างแน่นแฟ้น..แต่ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์จะไม่ลึกซึ้งมากก็ตามแต่เจ้าสำนักแห่งสำนักม่อจื๊อก็เคารพตระกูลโอ่วหยางอยู่เหมือนกัน..ถ้าหากคุณเย่มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกมาได้เลย..ถ้ามันเป็นการต่อสู้ที่ไม่จำเป็นล่ะก็ผมจะช่วยพูดกับผู้อาวุโสของตระกูลโอ่วหยางให้เพราะถ้ามันสามารถหลีกเลี่ยงได้เราก็ควรจะหลีกเลี่ยง”
“ใช่..ผมกับสำนักม่อจื๊อเรามีปัญหากันนิดหน่อย” เย่เชียนพูด “ผมได้ยินมาว่าพลังของสำนักม่อจื๊อในภาคตะวันตกเฉียงเหนือนั้นไม่ธรรมดาเพราะงั้นหากผมเข้ามาลงทุนที่นี่ในอนาคตแล้วสำนักม่อจื๊อจะสร้างปัญหาให้กับผม..เพราะงั้นผมอยากให้นายน้อยโอ่วหยางช่วยเรื่องนี้หน่อย..ผมขอขอบคุณนายน้อยโอ่วหยางล่วงหน้าจริงๆ”
“อย่ากังวลไปเลยคุณเย่..ถึงแม้ว่าตู้ฟูเหว่ยเจ้าสำนักม่อจื๊อจะค่อนข้างมีทัศนคติด้านลบก็ตามแต่เขาก็ต้องไว้หน้าตระกูลโอ่วหยางของผมเหมือนกัน” โอ่วหยางหมิงซวนพูด “นอกจากนี้ตู้ฟู่เหว่ยก็แก่มากแล้วและกำลังจะส่งต่อตำแหน่งเจ้าสำนักในเร็วๆนี้และคนที่จะมารับช่วงต่อก็คือเพื่อนรักของผมเอง..เพราะงั้นคุณเย่ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ”
.
.
.