ตอนที่ 1022 ความลับสุดยอด
……….
โอ่วหยางหมิงซวนผู้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่ลูกหลานของตระกูลโอ่วหยางทั้งหมดและได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนายน้อยแห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนือที่รับหน้าที่ดูแลอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของตระกูลโอ่วหยาง ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่คนโง่? แน่นอนว่าไม่มีตระกูลไหนที่กล้าทายทายตระกูลโอ่วหยางและโอ่วหยางหมิงซวนก็ไม่ใช่ชายหนุ่มที่ธรรมดาเพราะไม่ว่าจะเป็นความฉลาดหรือไหวพริบก็ค่อนข้างที่จะยอดเยี่ยม ดังนั้นการใช้วิธีสกปรกกับเขาจะไม่ง่ายอย่างนั้นแน่นอน
เขาจะโง่เขลาโดยไม่เปลี่ยนที่อยู่ของเขาและปล่อยให้หวังหว่านยู่ส่งคนไปฆ่าเขาอย่างงั้นเหรอ? เพราะเมื่อเขารู้ว่าหวังหว่านยู่คิดที่จะทรยศเขาเช่นนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะเลี้ยงสุนัขตัวตี้อีกต่อไป หากไม่จำเป็นโอ่วหยางหมิงซวนก็ไม่อยากที่จะฆ่าเขาแต่เนื่องจากหวังหว่านยู่ไม่สำนึกผิดใดๆเขาก็ต้องกำจัดสุนัขที่ไม่ซื่อสัตย์ทิ้ง หลายปีที่ผ่านมาถ้าหากเขาไม่เคยส่งคนมาตรวจสอบสิ่งต่างๆที่หวังหว่านยู่ทำเขาก็คงจะไม่ใช่ทายาทผู้สง่าผ่าเผยของตระกูลโอ่วหยางอย่างแน่นอน
คำพูดของหวังฉิงเซิงก็ทำให้โอ่วหยางหมิงซวนมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับความทะเยอทะยานของหวังหว่านยู่และเขาก็ไม่เคยคิดที่จะปล่อยให้หวังฉิงเซิงเข้ารับตำแหน่งราชาแห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนือคนต่อไปแก่เขา เพราะใครที่สามารถทรยศได้ครั้งหนึ่งมันก็ต้องมีอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แบบนั้นเขาจะไว้วางใจหวังฉิงเซิงได้อย่างไร? คนที่ระมัดระวังและมีไหวพริบอย่างเขาจะไม่รู้ว่าคนเจ้าเล่ห์อย่างหวังหว่านยู่จะใช้วิธีสกปรกและดักฟังก็คงจะเป็นไปไมได้
การหักเหลี่ยมเฉือนคมครั้งนี้นั้นเป็นเพราะโอ่วหยางหมิงซวนต้องการล้มล้างระบบการปกครองทั้งหมดโดยการกำจัดหวังฉิงเซิงและหวังหว่านยู่ไปพร้อมๆกัน ซึ่งแน่นอนว่าหวังฉิงเซิงนั้นคิดว่าเขาจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างแต่ไมได้ตระหนักเลยว่าเขาเป็นหนึ่งในตัวหมากรุกของโอ่วหยางหมิงซวนแบบนี้
โอ่วหยางหมิงซวนก็เดินเข้ามาจากด้านนอกและเหลือบมองไปที่ร่างอันไร้วิญญาณของหวังหว่านยู่ที่นอนอยู่บนพื้นและเยาะเย้ยว่า “แกยังอ่อนหัดเกินไปที่จะมาเล่นกับฉัน!..แต่แกก็สามารถทำหลายๆสิ่งหลายๆอย่างได้มากมายแต่มันน่าเสียดายที่แกเลือกคู่ต่อสู้ผิดเท่านั้นเอง”
จากนั้นโอ่วหยางหมิงซวนก็เหลือบมองลูกน้องแล้วพูดว่า “พวกแกรู้ไหมว่าขี้เถ้าและอัฐิของหยางเทียนอยู่ที่ไหน?..ไปนำสิ่งนั้นมาแล้วคืนให้แม่ม่ายดำจือเหวินซะ..และบอกเธอว่าฉันจัดการหวังหว่านยู่เรียบร้อยแล้ว” หลังจากพูดจบโอ่วหยางหมิงซวนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและคิดกับตัวเองว่า ‘เย่เชียน..ถ้ามีโอกาสฉันก็อยากจะสู้กับนายจริงๆ’
สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในเมืองซีหนิงนั้นโอ่วหยางหมิงซวนรับรู้ทั้งหมดเพราะถ้าหากโอ่วหยางหมิงซวนไม่สามารถรู้ได้ล่ะก็นั่นแสดงว่าทายาทตระกูลโอ่วหยางในอนาคตคงจะเป็นพวกไร้ประโยชน์และนอกจากนี้เขายังได้ตรวจสอบความขัดแย้งระหว่างหวังหว่านยู่และเย่เชียนอย่างรอบคอบ อีกทั้งยังตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลของเย่เชียนอีกด้วยและผลที่ได้ก็ทำให้เขาต้องประหลาดใจอย่างมากเพราะเย่เชียนนั้นทรงพลังมาก ซึ่งโอ่วหยางหมิงซวนก็รู้วิธีเลือกเพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นเพื่อนกับเย่เชียนแต่ก็ไม่คิดที่จะเป็นศัตรูได้ ดังนั้นการแสดงความดีโดยเจตนาของเขาอาจทำให้เย่เชียนพึงพอใจจนบรรลุความสัมพันธ์ที่ดีก็เป็นได้
ในโรงน้ำชากลางเมืองซีหนิงนั้นหยานตง,เย่เชียนและม่อหลงนั่งอยู่ริมหน้าต่างบนชั้นสองพร้อมกับชาร้อนอยู่ตรงหน้าพวกเขา
เย่เชียนก็จ้องมองหยานตงแล้วพูดว่า “อาจารย์หยานผมขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือเมื่อครู่นี้ด้วย..ถ้าไม่มีคุณผมเกรงว่าเรื่องของวันนี้คงยากที่จะแก้ไขได้”
หยานตงก็ยิ้มอย่างแผ่วเบาและพูดว่า “ไอ้หนูเอ็งรู้ไหมว่าอะไรที่ทำให้ฉันชื่นชมในตัวของเอ็งมากที่สุด?”
เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างว่างเปล่าและสงสัยจริงๆว่าทำไมหยานตงถึงให้ความสำคัญกับเขามาก จากนั้นหยานตงก็พูดว่า “เอ็งเหมือนฉันตอนที่ฉันยังเด็กมากจริงๆ..เอ็งมีเสน่ห์ที่ไม่อาจต้านทานได้และมีความสามารถมากมายตั้งแต่ยังเด็ก..ฉันรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไป๋ฮวยเสนอให้จัดการประลองระหว่างเอ็งกับเขาก็เพื่อช่วยเอ็งแก้ไขความขัดแย้งในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณแต่ฉันก็ยังตกลงกับเขาแล้วเอ็งรู้ไหมว่าทำไม?”
เย่เชียนก็ส่ายหัวแล้วถามด้วยความสงสัย “นั่นเป็นเรื่องที่ผมอยากรู้มากจริงๆ”
“ที่จริงแล้วเหตุผลมันก็ง่ายมากเพราะเอ็งสองคนทำให้ฉันประทับใจจริงๆและฉันก็รู้เกี่ยวกับสิ่งที่เอ็งทำมาตลอดด้วย..ถึงแม้จะไม่มากแต่ฉันก็ประทับใจความเป็นพี่น้องระหว่างพวกเอ็งทุกคนจริงๆ..ในฐานะลูกผู้ชายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรับผิดชอบและความสัมพันธ์ของพวกเอ็งก็เหมือนศัตรูกันแต่ก็ไม่ใช่ศัตรูแต่ก็ยังไม่ใช่เพื่อนและมันสะท้อนกับความรับผิดชอบของเอ็งมาก..นอกจากนี้ฉันก็ไม่สนใจเรื่องครอบครองโลกแห่งศิลปะการต่อสู้โบราณอะไรนั่นเลยเพราะฉันเองก็เป็นคนที่ก้าวเท้าเข้าไปในวังของเทพแห่งความตายด้วยเท้าข้างเดียวเหมือนกัน..เพราะงั้นฉันจะไคว่คว้าหรือไล่ตามความฝันอะไรนั่นไปทำไมอีก?..ฉันก็เลยยอมเดิมพันด้วยความรู้สึกของตัวเองและสุดท้ายฉันก็พ่ายแพ้” หยานตงพูดต่อ “เมื่อตอนที่ฉันอายุเท่าเอ็งฉันก็เข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าผลประโยชน์คืออะไร..อำนาจคืออะไร..บ้านเมืองประชาชนและประเทศชาติคืออะไร..ความทะเยอทะยานคืออะไร..คนรอบตัวนั้นคืออะไร..เอ็งรู้หรือเปล่าว่ามันคืออะไร?”
“ชีวิต” เย่เชียนพูด
“ใช่แล้วมันคือชีวิต..หากเราไม่มีแม้แต่ชีวิตของตัวเองเราจะไล่ตามความฝันพวกนั้นไปเพื่ออะไร?..ไม่ว่าเราจะพิชิตประเทศได้หรือแม้แต่พิชิตโลกได้มันก็ไร้ประโยชน์เพราะสิ่งที่เราจะได้มันก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของดินและน้ำ..ชีวิตคนเรามันสั้นและแทนที่จะต่อสู้จนเสียเวลาชีวิตเราควรจะจดจ่อกับการกลายเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลและทุกสรรพสิ่งจะไม่ดีกว่าเหรอ?..แล้วเอ็งรู้หรือเปล่าว่าใครเป็นคนบอกเรื่องพวกนี้กับฉัน?” หยานตงพูดแล้วถาม
เย่เชียนกำลังงุนงงและส่ายหัวแล้วถามว่า “ใคร?”
ดวงตาของหยานตงก็ดูเศร้าเล็กน้อยและเขาก็เหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัวราวกับว่าเขากำลังนึกถึงเรื่องราวอะไรบางอย่าง ซึ่งหลังจากเวลาผ่านไปสักพักหยานตงก็หันกลับมาอย่างช้าๆแล้วพูดว่า “คนคนนี้คือพ่อของเอ็ง..เย่เจิ้งหราน!” หยานตงพูด เมื่อได้ยินแบบนั้นเย่เชียนก็ได้แต่มองดูหยานตงด้วยความประหลาดใจเพราะเขาไม่รู้ว่าทำไมหยานตงถึงเป็นแบบนั้น ซึ่งหยานตงก็พูดต่อ “จริงๆแล้วฉันรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมาเสมอเพราะถ้าฉันรู้ว่าจุดจบมันจะเป็นแบบนี้ฉันก็จะไม่ยอมปล่อยให้น้องชายของฉันฟู่จื้อซานไปต่อสู้กับพ่อของเอ็งอย่างเด็ดขาด..เพราะฉันไม่ได้คาดคิดว่าพ่อของเอ็งจะตายไปในการประลองครั้งนั้น..เท่าที่ฉันรู้พ่อของเอ็งมีศิลปะการต่อสู้ที่สูงกว่าพวกเราทุกๆคนในสมัยนั้นและฉันคิดว่าฟู่จื้อซานนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย”
“ในตอนนั้นพ่อของผมได้รับบาดเจ็บสาหัสมากก่อนที่เขาจะเริ่มต่อสู้” เย่เชียนพูด “นั่นเป็นเพราะพ่อของผมแข็งแกร่งเกินไปและต้องการทักษะใหม่ๆจนเป็นผลให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส”
“นั่นก็ไม่แปลกหรอก” หยานตงพูดด้วยความโล่งใจ “จริงๆแล้วจนถึงวันนี้ก็ไม่มีใครเชื่อว่าพ่อของเอ็งกับฉันจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจริงๆเพราะทักษะและความสามารถของเขานั้นน่าตกใจมากและฉันก็สนใจในสิ่งที่พ่อของเอ็งมี” หยานตงพูดต่อ “พ่อของเอ็งบอกกับฉันว่าศักยภาพของร่างกายมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุดและตราบใดที่เราสามารถพัฒนาและก้าวข้ามขีดจำกัดได้อย่างสมบูรณ์ล่ะก็เราจะมีพลังที่ยิ่งใหญ่มากและเราจะอยู่ระหว่างสวรรค์กับนรก..เอ็งอาจคิดว่ามันเกินจริงไปหน่อยแต่ฉันบอกได้เลยว่าฉันเองก็รู้สึกแบบเดียวกันกับเขาในตอนนั้น..เอ็งรู้หรือเปล่าว่าพ่อของเอ็งเคยต่อสู้กับฉันและมันถูกบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์ลับของลัทธิมารด้วย..ที่จริงศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงจำนวนมากได้สูญหายไปตามกาลเวลาและสิ่งที่สืบทอดมานั้นเป็นเพียงเปลือกบางๆของสิ่งที่แท้จริงเท่านั้น..แต่สิ่งที่พ่อของเอ็งฝึกฝนและไคว่คว้ามาได้นั้นคือศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงแต่มันก็ยังไม่สมบูรณ์อย่างแท้จริงอยู่ดี”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะหยานตงก็พูดต่อ “พ่อของเอ็งอาจดูเป็นคนงี่เง่าในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณเพราะถึงแม้ว่าเขาจะเดินทางไปทั่วทุกสารทิศเพื่อท้าทายปรมาจารย์ทุกคนในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณแต่เขาก็ไม่เคยทำร้ายใครหรือฆ่าใครเลยสักคน..เอ็งก็เป็นนักรบและนักสู้เหมือนๆกันเพราะงั้นเอ็งก็น่าจะรู้ดีว่าบางครั้งการฆ่าใครนั้นง่ายกว่าการต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรีเสมอ..พ่อของเอ็งมักจะบอกฉันเกี่ยวกับความเข้าใจในศิลปะการต่อสู้ของเขาและสอนฉันเกี่ยวกับการฝึกฝนของเขาเสมอ..ถ้าหากเอ็งไม่เชื่อเอ็งก็ตัดสินจากความสามารถของฉันและสิ่งที่ฉันมีอยู่ทุกวันนี้ก็ได้เพราะนั่นมันมาจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเย่เจิ้งหรานพ่อของเอ็ง!..และไม่มีใครในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณที่เป็นคู่ต่อสู้ของฉันได้อีกจนถึงทุกวันนี้..ซึ่งต้องขอบคุณพ่อของเอ็งที่มอบมันให้กับฉัน!”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงและรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของหยานตงเพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าพ่อของเขาจะมีมิตรภาพที่ลึกซึ้งกับหยานตงถึงขนาดนี้เพราะในสมัยนั้นลัทธิมารควรจะกำลังเผชิญหน้ากับเหล่าสำนักและตระกูลใหญ่ต่างๆในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณ แต่ทว่าพ่อของกลับถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้โบราณให้กับหยานตงและความไว้วางใจนี้ก็ไม่สามารถจินตนาการได้เลย ในตอนนี้ดูเหมือนเย่เชียนจะค่อยๆเข้าใจว่าทำไมหยานตงถึงได้อยากเห็นเขาต่อสู้กับไป๋ฮวยแล้ว
“ถ้ามีโอกาสเอาไว้เรามาคุยเรื่องพ่อของเอ็งกันเถอะ..พ่อของเอ็งจากโลกนี้ไปเร็วเกินไปและไม่เหลืออะไรให้เอ็งเลยสักอย่าง..แต่ฉันสามารถสอนเอ็งเกี่ยวกับประสบการณ์และความรู้ความสามารถทั้งหมดที่เขาได้ทิ้งเอาไว้ให้กับฉันได้..บางทีมันอาจจะช่วยเอ็งได้มากในอนาคต!” หยานตงพูด
“ที่จริงแล้วพ่อของผมได้ทิ้งสิ่งที่มีค่าที่สุดเอาไว้ให้ผมแล้ว” เย่เชียนพูด “ครั้งหนึ่งเขาเคยผนึกพลังบางอย่างเอาไว้ในร่างกายของผมซึ่งมีพลังมาก..ไม่งั้นผมคงจะไม่สามารถแข็งแกร่งได้ไวถึงขนาดนี้ในระยะเวลาสั้นๆอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหยานตงก็ถึงกับตกใจและพูดว่า “เขาเป็นผู้บุกเบิกศาสตร์การต่อสู้ต่างๆและความเข้าใจในศิลปะการต่อสู้ของเขานั้นก็เกินกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้” ด้วยน้ำเสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม ซึ่งเย่เจิ้งหรานถึงกับทำให้ผู้นำลัทธิมารชื่นชมจากใจและนับถือขนาดนี้บางทีเย่เจิ้งหรานอาจเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกก็เป็นได้
หลังจากหยุดไปชั่วขณะหยานตงก็พูดต่อ “ฉันคิดว่าความสำเร็จในอนาคตของเอ็งอาจจะมากกว่าของพ่อเอ็งเลยด้วยซ้ำ..แต่เอ็งมีเรื่องต่างๆที่ต้องทำมากเกินไปจนไม่มีเวลาฝึกฝนเหมือนพ่อของเอ็งที่มุ่งเน้นไปที่ศิลปะการต่อสู้อย่างเดียวไปที่ศิลปะการต่อสู้..ดังนั้นหากเอ็งตั้งใจฝึกฝนล่ะก็เอ็งอาจจะได้เป็นสุดยอดปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้โบราณคนต่อไปเพราะเอ็งมีรากฐานที่พ่อของเอ็งทิ้งเอาไว้ให้..เมื่อฉันบอกเอ็งเกี่ยวกับสิ่งที่พ่อของเอ็งสอนเอ็งจะต้องค่อยๆคิดตามอย่างช้าๆเพราะถ้าหากเอ็งเข้าใจได้มากเท่าไหร่มันก็ยิ่งดี” จากนั้นหยานตงก็ หันมาและพูดว่า “มาคุยกันเรื่องการต่อสู้ระหว่างเอ็งกับตู้ฟู่เหว่ยก่อน..เอ็งคิดว่าเอ็งมีโอกาสชนะมากแค่ไหน?”
เย่เชียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “เมื่อกี้นี้ผมกับม่อหลงแทบจะไม่สามารถทำอะไรตู้ฟู่เหว่ยได้เลย..สิ่งที่เราทำได้ก็แค่ยื้อเวลาให้ได้มากที่สุดเท่านั้นเอง”
.
.
.
.