ตอนที่ 831 บ้านสุนัข
……….
บางสิ่งอยากจะลืมแต่ลืมไม่ได้ นั่นเป็นความหวาดกลัวที่สืบทอดกันทางสายเลือดจริงๆ มันถูกจารึกและสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เวลาทำให้เลือนรางได้ แต่ไม่อาจลบเลือนได้จนหมดสิ้น
ในตอนนี้
ในส่วนลึกของจิตวิญญาณนี้
ในทะเลแห่งความตายนี้
ในดินแดนแห่งกระดูกผืนนี้ในอดีต
ในตอนที่เงาของชายผู้นี้ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้ามัน
หาวจื้อหวนนึกถึงความกลัวที่บรรพบุรุษของมันถูกสังหารพร้อมปรุงสุก!
“อ๊ากกกก!!!!!!!!!”
หาวจื้ออ้าปากเริ่มคำรามร้องเสียงดังโหยหวนด้วยความหวาดกลัว คำรามร้องเสียงดังแต่ไม่น่ากลัวเลยสักนิด เพราะเสียงกรีดร้องเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ชัดเจนแจ่มแจ้งจนเกินไป ฮิสทีเรียชนิดที่เกือบจะบ้าคลั่ง
อิ๋งโกวไม่พูดอะไร เขาแค่ยืนอยู่ตรงนี้ ยืนมองเงียบๆ
หัวหมูอันน่าสะพรึงกลัวเท่าภูเขาเริ่มสลายไป มันไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า ไม่กล้ากระตุกหนวดชายตรงหน้าผู้นี้ ไม่กล้าให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่ามันมีเจตนาคุกคามล่วงเกินแม้แต่น้อย
นานแสนนาน
เซี่ยจื้อถึงจะฝืนสงบสติอารมณ์ตัวเองลงได้ แต่ก็ยังฝังหัวและหลับตาลงอยู่ดี อสูรร้ายโบราณโด่งดังเหมือนจะกลายเป็นเปปป้าพิกตัวหนึ่ง
โจวเจ๋อยกมือขึ้น “จำ…ข้า…ได้…สิ…นะ…”
อาหารถึงบ้านแล้ว ไม่รับก็แล้วไป แต่นี่ยังอุตส่าห์ให้คนส่งอาหารป้อนเข้าปากตัวเองอีก แม้แต่เถ้าแก่โจวเอนพิงอยู่ข้างหลังยังพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ช่างอวดดีและขี้เกียจเกินไปแล้ว
หาวจื้อไม่โกรธ ภายใต้สมมติฐานที่ว่าจำตัวตนของชายตรงหน้านี้ได้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะรู้สึกโกรธหรือโมโหด้วยซ้ำไป
ในสมัยนั้น ดูเหมือนบรรพบุรุษของมันจะมีชะตากรรมหนึ่งอยู่เสมอ นั่นคือการเป็นอาหารของจ้าวทะเลแห่งความตายที่สามารถเรียกกินได้ทุกเมื่อ แม้ว่าโดยปกติแล้วจะเป็นสิ่งมีชีวิตยักษ์ใหญ่ในขอบเขตอิทธิพลของตนเองก็ตาม แต่เมื่อไรที่คนผู้นั้นหิว หรืออยากลิ้มลองรสชาตินี้ ทันทีที่จิตสำนึกส่งมาถึง ผู้นำเผ่าพันธุ์จะมัดตัวเองและลงไปยังส่วนลึกของทะเลแห่งความตายก่อน แม้กระทั่งเตรียมอุปกรณ์ทำอาหารเอง และใช้ตัวเองปรุงอาหาร
นี่คือความอัปยศอดสูละมั้ง
ใช่แล้ว
ความอัปยศอดสู
แต่อัปยศมาเป็นเวลานาน ก็ไม่รู้สึกอัปยศอดสูอีกต่อไป สิ่งนี้เหมือนได้กลายเป็นพิธีกรรมไปแล้ว ความรู้สึกของพิธีกรรมทำให้ความโศกเศร้าเจือจางลง ความรู้สึกพิธีกรรมนำมาซึ่งความรุ่งเรืองอันน่าหลงใหล ราวกับว่าการกลายเป็นอาหารของคนผู้นั้นจะเป็นที่พึงปรารถนาของกลุ่มรุ่นเยาว์มากกว่าการเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์เสียอีก
เพียงแต่น่าเสียดายมาก ถึงแม้คนผู้นั้นจะชอบกินหาวจื้อ ทว่าแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเอากระดูกของพวกมันไปไว้ใต้บัลลังก์กระดูกของเขาเลย เหตุผลง่ายๆ คือไม่ผ่านเกณฑ์
“ท่านเองหรือ…”
หาวจื้อเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวัง รวบรวมความระมัดระวังอย่างถึงที่สุด การคิดอย่างมีเหตุผลเอาแต่คอยบอกมันว่าคนตรงหน้านี้ล้มลงแล้วและต่อให้ไม่ตายสนิท แต่ก็ไม่ใช่คนผู้นั้นที่น่าสะพรึงกลัวเหมือนในสมัยนั้นอีกต่อไป
มันไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่จำเป็นต้องกลัวจริงๆ กระทั่งอีกฝ่ายต้องกลัวมันด้วยซ้ำ!
แต่ทว่า โดยส่วนใหญ่ ข้อดีของการสัมผัสผ่านการรับรู้ยังสามารถบดขยี้สิ่งที่เรียกว่าเหตุผลให้แตกเป็นชิ้นๆ ได้
โดยเฉพาะเมื่ออิ๋งโกวเอ่ยประโยคถัดไป “ละ…จิต…สำ…นึก…เจ้า…ไว้…หนึ่ง…ส่วน…”
มันไม่ง่ายเลยที่เจ้าหลุดพ้นผนึกและแอบย่องเข้าสู่แดนมนุษย์ ทิ้งจิตสำนึกไว้ให้ส่วนหนึ่งของเจ้านับว่าเป็นกำลังใจแล้ว ที่เหลือก็ให้ข้าแล้วกัน
ประโยคนี้อุกอาจยิ่งกว่า ‘ตบรางวัลให้เจ้าด้วยศพทั้งตัว’ แต่กลับทำให้หาวจื้อรู้สึกตื่นเต้นมากเสียจนแทบจะน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง
นี่มันเป็นเกียรติ เป็นเกียรติ เป็นเกียรติ!
มันเป็นหมูยักษ์หาวจื้อที่สามารถทำให้คนตรงหน้ายอมถอยให้เป็นตัวแรก!
“มีเรื่องหนึ่งอยากบอกท่าน”
อิ๋งโกวพยักหน้าเงียบๆ และส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายพูดต่อ
“ครั้งนี้ที่ขึ้นมาไม่ได้มีแค่ข้าผู้เดียวเท่านั้น ยังมีจิตสำนึกต้นกำเนิดของอีกสองดวงด้วย”
“เป็น…ผู้…ใด…” จากนั้น อิ๋งโกวก็เอ่ยถามอีก “อร่อย…หรือ…ไม่…”
หาวจื้อก้มหน้าลงด้วยความน้อยใจและพูด “ข้าไม่ทราบ”
แววตาอิ๋งโกวขรึมลงเล็กน้อยครู่หนึ่ง
หัวหมูยักษ์ของหาวจื้อเริ่มสั่นสะท้านและรีบพูดทันที “ข้าไม่ทราบจริงๆ ตอนนั้น เมื่อต้นกำเนิดของข้าถูกแบ่งแยก ข้าเพียงแค่สัมผัสได้ถึงต้นกำเนิดที่แบ่งแยกของข้าถูกแทนที่ด้วยใครบางคนในเวลานั้น ถูกสับเปลี่ยนด้วยจิตสำนึกสองดวงเท่านั้น ข้าไม่ทราบว่าผู้ใดลงมือและไม่กล้าทดสอบและถามไถ่”
พอเถ้าแก่โจวฟังถึงตรงนี้ก็นั่งไม่ติดเล็กน้อย
เห็นหาวจื้อหวาดกลัวอิ๋งโกวตรงหน้าจนเหมือนกับชิ้นเนื้อหัวหมูอย่างนี้ แต่เมื่ออยู่ด้านนอกหรืออยู่ในนรกก็เป็นยักษ์ที่รู้จักกันดี ไม่เช่นนั้นในปีนั้นมันคงไม่โดนไท่ซานฝู่จวินรุ่นแรกปราบมันหรอก
สิ่งมีชีวิตที่สามารถเล่นกลใต้จมูกของหาวจื้อได้ มันน่ากลัวแค่ไหนกันนะ
โจวเจ๋อรู้ดียิ่งกว่าว่าหาวจื้อในตอนนี้โดนคนอื่นๆ ในร้านหนังสือตีเปลือกเดิมจนแตกก็เท่ากับโดนมัดแล้วส่งมาตรงหน้าอิ๋งโกว
ในความเป็นจริง อิ๋งโกวก็พอจะระมัดระวังตัวสำหรับเรื่องนี้อยู่บ้าง บางทีในความเห็นของเขา การจะกินหมูสักคำถึงกับต้องเปิดเผยตัวตน มันดูขายหน้าเกินไป
แผนเดิมของร้านหนังสือคือการติดตามค้นหาทีละขั้นตอนและจับรวบรวมต้นกำเนิดแยกจากกันของหาวจื้อทีละส่วน มื้อนี้เป็นหัวหมู มื้อต่อไปเป็นกีบหมู จากนั้นก็ซี่โครง เนื้อหมูสามชั้นบลาๆ จัดงานฉลองหมูทั้งตัวให้อิ๋งโกว
เพียงแต่ตอนนี้ ดูเหมือนในพวกมันจะมีส่วนที่ไม่ใช่หมูผสมอยู่ด้วย หากล่าต่อไปตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้คงยากที่จะบอกได้ว่าใครที่เป็นนักล่าและใครเป็นเหยื่อกันแน่
อิ๋งโกวพยักหน้าช้าๆ หัวหมูตัวใหญ่ก็เริ่มค่อยๆ หายไปกลายเป็นรัศมีสีเขียว จากนั้นแยกออกเป็นควันสีฟ้าค่อยๆ เข้าไปใกล้อิ๋งโกวอย่างกังวลมาก
อิ๋งโกวเริ่มหายใจเข้าอย่างช้าๆ ควันสีเขียวก็เริ่มฉีดเข้าไปในจมูกของเขาอย่างช้าๆ เสียงที่ประจบประแจงก็ดังขึ้น
“นายท่าน ต้องโทษไท่ซานฝู่จวินรุ่นแรกทำลายร่างกายของข้าจนสิ้นซาก เป็นผลให้ท่านไม่สามารถลิ้มรสเลือดเนื้อแท้จริงของข้าได้ในวันนี้ ช่างน่าเสียใจและเสียดายอย่างยิ่ง”
โจวเจ๋อเลียริมฝีปาก มองเจ้านี่พูดจา ช่างรู้ความขนาดไหน
ระหว่างความงุนงง โจวเจ๋อสับสนเล็กน้อยว่าใครคือสุนัขเฝ้าบ้านที่แท้จริง
หลังจากอิ๋งโกวดูดกลืนแสงสีเขียวไปจนหมดสิ้น การดำรงอยู่ของหาวจื้อถูกลบออกไปอย่างสมบูรณ์ อิ๋งโกวหันกลับมามองโจวเจ๋อ
เถ้าแก่โจวสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากลิ่นอายของเจ้าซื่อบื้อแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก กะไว้แล้วว่าเนื้อหมูเป็นยาชูกำลังชั้นยอด การกินหมูอาจจะช่วยบำรุงได้มากกว่าการกินยาบำรุงเออเจียวด้วยซ้ำ
“ข้างนอกยังมีกีบหมูอยู่ อีกเดี๋ยวแกก็กลืนไปพร้อมกันเลยสิ หรือจะให้พวกเราลงมือเอง”
เดาว่าเหล่าจางยังไม่หายดี เด็กชายก็ได้รับบาดเจ็บ จะให้พวกเขาออกโรงล่ากีบหมูบนตัวเกิงเฉินภายในระยะเวลาสั้นๆ อีกคงเป็นเรื่องยากเอาการ
“ขึ้น…อยู่…กับ…เจ้า…”
ดูเหมือนว่าเพิ่งกินอาหารเพื่อสนองความหิว หรืออาจจะเป็นเพราะเขาเห็นด้วยกับความกังวลลึกซึ้งในคำพูดของโจวเจ๋อ นั่นก็คือเรื่องนี้จะจบลงด้วยกีบเท้าหมูตัวต่อไป
หากยังล่าสัตว์ต่อไป อาจจะเกิดปัญหาขึ้นก็ได้
มีบางอย่างน่ากลัวยิ่งกว่าหาวจื้อที่ดูเหมือนอยู่เบื้องหลังวางแผนเหตุการณ์การแปรพักตร์ ก่อนที่อิ๋งโกวจะฟื้นตัวถึงระดับที่เพียงพอจะโผล่พรวดไปอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้ทรงพลังนั้นมันไม่ฉลาดเอาเสียเลยจริงๆ
อิ๋งโกวเดินผ่านโจวเจ๋อ ยกเท้าก้าวขึ้นเหยียบบันไดกระดูก เดินทีละก้าวไปยังบัลลังก์สูงชะลูดของเขา
โจวเจ๋อแหงนหน้ามองบันไดสูงชะลูดด้านบนและบ่นว่า “สมัยก่อนตอนขึ้นลงเตียงแก ในทุกวันต้องวิ่งขึ้นๆ ลงๆ บันไดเป็นเวลานานๆ เหมือนปีนเขาเปี๊ยบ เหนื่อยไหมเนี่ย”
อิ๋งโกวไม่สนใจเขา
“นี่ ฉันว่านะ ฉันเคยนั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น มันแข็งเกินไปอะ บอกตามตรง สู้แกวางเตียงโซฟาไว้บนเก้าอี้ดีกว่า”
กลางทะเลแห่งความตายอันกว้างใหญ่ บนผืนแผ่นดินมีกระดูกกองอยู่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตำแหน่งสูงสุดของนรกยุคนั้นอย่างแท้จริง จะให้วางเตียงโซฟาได้หรือ
ฝีก้าวอิ๋งโกวสั่นไหวล็กน้อย แต่ก็ยังเดินขึ้นต่อไป ดูเหมือนว่าเขากำลังสูดหายใจเข้าลึกๆ
โจวเจ๋อยิ้ม กะไว้แล้วว่าเป็นหนี้บุญคุณ ไม่โกรธเลยนะเนี่ย
“เฮอะ ฉันบอกว่า ทำไมถึงได้มีหลุมอยู่ใต้นี้ด้วย” โจวเจ๋อชี้ตำแหน่งที่ตัวเองเพิ่งนั่งและพูดขึ้น ข้างในมีเบาะสีทองหนึ่งชั้น แถมมีพื้นที่เว้าลงไปอีกด้วย
แกก็ไม่ต้องขึ้นๆ ลงๆ ทุกวัน นอนที่นี่ไปเลยก็ดีนะ”
อิ๋งโกวหยุดฝีเท้า เผยรอยยิ้มมีเลศนัยที่มุมปากและพูด “เจ้า…ชอบ…มาก…หรือ…”
โจวเจ๋อยักไหล่ “เทียบกับการปีนไกลขนาดนี้ ฉันก็ยังชอบตรงนี้มากกว่า”
“ตรง…นั้น…เป็น…บ้าน…สุนัข…”
“…” โจวเจ๋อ
………………………………………………………..