ตอนที่ 618 กลับบ้าน!
ถ้าหากบอกว่าตอนแรกโจวเจ๋อจงใจยับยั้งสัญชาตญาณของตัวเองไม่ไปทำลายแดนมายานี้ อย่างนั้นตอนนี้เขาก็ลืมไปแล้วจริงๆ
ดินแดนมายาที่ทนายอันสร้างขึ้นมา บวกกับความทรงจำของวิญญาณทหารที่เป็น ‘หัวหน้า’ ที่เข้าสิงร่างของเขา เริ่มตอบสนองและหลอมรวมกันอย่างต่อเนื่อง หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือเมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกที่ใส่ลงไปจึงชัดเจนและแข็งแกร่งมากขึ้น โจวเจ๋อเริ่มแยกไม่ออกว่าตัวเองเป็นใครกันแน่ ราวกับว่ากำลังดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่งอย่างตั้งใจ การกระทำทุกอย่างของตัวละครในภาพยนตร์ สามารถสะกิดหัวใจของคุณได้ทั้งหมด ความสุขและความเศร้าของเขาเหมือนความสุขและความเศร้าของตัวเองเช่นกัน มองสิ่งที่เขาเห็น ได้ยินสิ่งที่เขาได้ยิน
ฝนเฮงซวยนี่ตกที่น่าเบื่อ มันเป็นฝนตกที่เฮงซวยน่าเบื่อจริงๆ โจวเจ๋อไม่เคยรำคาญหน้าวันที่ฝนตกเหมือนอย่างตอนนี้เลย ดินโคลนบนพื้น ความชื้นและความหนาวเย็นที่อยู่บนร่างกาย ทุกก้าวที่เดินออกไปต้องใช้พลังอย่างสุดชีวิต หากประมาท ก็อาจจะล้มร่วงลงไปได้ และถ้าอยากจะลุกขึ้นมาก็จะยิ่งลำบาก มันไม่เหมือนการเดินทัพของทหาร แต่เหมือนกำลังได้รับการลงโทษ
โจวเจ๋อมีมีผู้ส่งคำสั่งทหารคนหนึ่ง พูดภาษาเสฉวน อายุไม่เยอะ น่าจะอายุสิบหกสิบเจ็ดปี ถึงแม้โจวเจ๋อจะรู้สึกว่ามาเป็นทหารตั้งแต่อายุเท่านี้จะเร็วเกินไปหน่อย แต่เขาก็รู้สึกว่าถ้าอายุเท่านี้ไม่เป็นทหารแล้วจะเป็นอะไร
บางครั้งเขาก็มีความขัดแย้งในตัวเอง มักจะรู้สึกว่าความคิดของตัวเองมีความสับสน และสิ่งที่มากับความสับสนวุ่นวายทุกครั้ง ก็คือความเจ็บปวดที่ยากจะทนไหว สายตาพร่าเลือน เสียงรบกวนในเยื่อแก้วหู
ผู้ส่งคำสั่งทหารบอกว่าหัวหน้าไม่สบาย ร้องเรียกอยากไปหาหมอทหาร แต่เข้ามาในภูเขาห้าวันแล้ว กองทัพขาดความเป็นระเบียบไปนานแล้ว ถ้าจะถามว่าหมอทหารอยู่ไหน ไม่สามารถหาเจอได้อย่างสิ้นเชิง ต่อให้หาเจอ แต่ดูจากสภาพในตอนนี้ ก็ไม่น่าจะมียาเหลือเก็บ คนที่ไม่สบายมีเยอะมากจริงๆ
โจวเจ๋อรู้ว่าตัวเองเป็นกองกำลังทหารที่เข้าภูเขาเป็นกลุ่มสุดท้าย ก่อนหน้านั้นมีกองกำลังทหารเดินเข้าไปก่อนหน้าเขาแล้ว ตลอดทางที่เดินมาทาง เขาเห็นศพนอนล้มอยู่บนพื้นเยอะแยะมากมาย
ไข้มาลาเรียและโรคอื่นๆ เริ่มแพร่ระบาดไปในกองทัพอย่างรวดเร็ว ราวกับเครื่องตัดเนื้อมนุษย์ หั่นชีวิตของผู้ที่เดินผ่านมาอย่างบ้าคลั่ง เขาตะโกนเรียกผู้ส่งคำสั่งทหารไว้ไม่ต้องไปหาแล้ว ถ้าหากเขาเดินหายไปแล้วจะทำอย่างไร แต่เด็กชาวเสฉวนยังคงยืนกรานที่จะไปตามหา เขาเดินไปแล้ว จากนั้นน้ำป่าก็ไหลหลาก โจวเจ๋อนั่งพิงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ลืมตามองเนินเขาที่อยู่ด้านล่างของตัวเองถูกน้ำป่าพัดไปตลอดทาง มีทหารหลายคนถูกน้ำพัดหายไป และในนั้นก็มีเด็กคนเสฉวนอยู่ด้วย
โจวเจ๋อเบิกตาโต ใช้มือทุบดินเลนด้วยความโกรธ ดินเลนกระเด็นขึ้นมาเป็นสาย เขาแค้น เขาไม่ยอม ถึงแม้ต้องรบจนตัวตาย ถึงแม้ต้องตายตอนที่ปะทะกับทหารญี่ปุ่นอย่างสุดชีวิต เขาจะไม่รู้สึกอึดอัดแบบนี้เลย!
ทหารมีความตื่นตัวในแบบทหาร และมีการเตรียมตัวในแบบทหาร หนังม้าห่อศพ ไม่ใช่จุดจบที่ดีอะไร แต่กลับเป็นที่พักพิงสุดท้ายที่ทุกคนรับได้
ทว่าตอนนี้ บนเส้นทางนี้ เขามองเห็นทหารที่บาดเจ็บที่ไม่อยากเป็นตัวถ่วงของกองทัพและไม่อยากเป็นเชลยศึกจึงใช้น้ำมันเผาตัวเองโดยตรง เขาเห็นศพที่นอนบนทางเดินแต่ละศพ เขาเห็นใบหน้าของคนวัยหนุ่มสาวนั่งร้องครวญด้วยความเศร้าโศกเพราะความป่วยและหิวโหยอยู่ตรงนั้น และยังมองเห็นโคลนหนาเตอะที่เหลือทิ้งไว้จากน้ำป่าที่ไหลเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ต่อให้ต้องตาย ทำไมต้องมาตายที่นี่! ทำไม! ดูเหมือนเขาจะถูกแปดเปื้อนด้วยอารมณ์โกรธ เริ่มอินกับทุกอย่างโดยสมบูรณ์ อาการปวดศีรษะที่เป็นอยู่ตลอดกลับอ่อนแรงลง
โจวเจ๋อลุกขึ้นมาอีกครั้ง มองหาท่อนไม้และเดินต่อไปข้างหน้า ความไม่ยอมและความโกรธเคืองมีอยู่เต็มอก แต่ในฐานะทหาร เขาไม่อนุญาตตัวเองนั่งรอความตายแบบนี้ ถึงแม้บนเส้นทางนี้ เขาจะเห็นทหารจำนวนไม่น้อยที่เสียสติยิงตัวเองตาย แต่เขาจะไม่ทำแบบนี้ ไอรีนโนเวล
คำสั่งทหารคือเดินผ่านภูเขาคะฉิ่นกลับเข้าประเทศ เช่นนั้นเขาก็ต้องกลับประเทศ! เขาเดินโซซัดโซเซไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ทางเดินที่ลำบากกับฝนเฮงซวยที่น่ารำคาญนี้ ไม่ได้ทำให้เขาหยุดพักแม้แต่นิดเดียว
จนกระทั่งฟ้ามืด โจวเจ๋อจึงเห็นกระท่อมอยู่ข้างหน้าหลังหนึ่ง แนวเทือกเขาของภูเขาคะฉิ่นถูกชาวพม่าท้องถิ่นเรียกว่า ‘ดินแดนต้องห้ามของปีศาจ’ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีหมู่บ้านกระท่อมหรือบ้านเรือน แต่เนื่องจากการเดินเท้าของกองกำลังทหาร จึงเห็นของจำพวกกระโจมหรือสิ่งเหล่านี้อยู่ไม่น้อย
เขาเหนื่อยมากจริงๆ และก็หนาวจนทนไม่ไหวแล้ว โจวเจ๋อเดินเข้าไปในกระท่อมตัวสั่นหงึกๆ พบว่าด้านในมีทหารหลายนายอยู่ในนั้นแล้ว เขาไม่ได้รายงานว่าเป็นทหารยศอะไร เวลาแบบนี้ยศทหารและฐานะล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ จะสามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ไหมก็ไม่มีใครรู้ หากยังวางมาดเวลานี้ สมองน่าจะมีปัญหา
โจวเจ๋อมองหามุมว่างที่เหลือแล้วจึงนอนลงไป พอนอนหลับก็นอนหลับอย่างสบายใจ ไม่มีน้ำฝนตกใส่ร่างของเขาอย่างกำเริบเสิบสาน ความเหน็ดเหนื่อยทั้งทางของร่างกายและจิตใจจู่โจมเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายถูกความง่วงปกคลุมอย่างสิ้นเชิง
รอจนกระทั่งตื่นนอน จู่ๆ โจวเจ๋อก็รู้สึกว่าขาข้างขวาของตัวเองปวดทรมานเป็นอย่างมาก เขายกขาของตัวเองขึ้นมา พบว่าขาข้างนั้นแช่น้ำจนบวม เพราะว่าเขานอนหลับอยู่รอบนอกของกระท่อม ดังนั้นเมื่อคืนตอนที่นอนหลับขาของเขาตัวเองจึงโผล่ออกไปข้างนอก ตกลงไปในแอ่งน้ำที่อยู่ข้างๆ แต่เนื่องจากเหนื่อยและหลับลึกเกินไป ตัวเขาเองเลยไม่รู้สึกตัว
“โอ๊ย…” โจวเจ๋อพยายามใช้ท่อนไม้ค้ำยันลุกขึ้นมา ตอนที่หันกลับไปมอง ร่างกายของเขากลับสั่นสะท้าน เพราะในนี้นอกจากตัวเขาเองแล้ว ยังมีทหารสี่นายที่นอนอยู่ แต่ตอนนี้กลับไม่ขยับตัว ตอนฟ้ามืดมองไม่ชัดเห็นทั้งหมด ตอนที่เขาเดินเข้ามา คิดว่าพวกเขานอนหลับไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับพบความผิดปกติ
โจวเจ๋อก้มตัวทันที พลิกตัวทหารสองนายที่อยู่บนพื้น พบว่าพวกเขาตายแล้ว และใต้ร่างของพวกเขายังมีแมลงมากมายกำลังคืบคลานอยู่
‘โอ้ก!’ ความเปรี้ยวกระทุ้งขึ้นมาที่หน้าอกเป็นระยะ อยากจะอาเจียนแต่ก็ไม่มีอะไรอาเจียนออกมา เพราะขาดอาหารมานานแล้ว และกินเปลือกไม้มาตลอดจนไส้บิด เช่นนั้นยังจะมีอะไรให้อาเจียนออกมาได้ เขาไม่มีแรงขุดหลุมฝังพวกเขา ตลอดเส้นทางนี้มีคนตายมากมาย อยากจะขุดก็ขุดไม่ไหว
โจวเจ๋อเดินเข้าไปทำวันทยาวุธให้เหล่า ‘สหาย’ ของตัวเองที่เจอเมื่อคืนอย่างเงียบๆ ก่อนจะถือท่อนไม้เดินออกจากกระท่อม
“โอ๊ยๆๆๆ!!!!” เขาเดินได้สองสามก้าว ข้างหน้ามีทหารสองนายกำลังเอามือกุมท้องร้องด้วยความเจ็บปวด ข้างกายของพวกเขายังมีเห็ดมากมายร่วงอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งโจวเจ๋อเดินเข้าไป สองสามคนนั้นก็ไม่ตะโกนออกมาอีก น้ำลายฟูมปากล้นออกมาไม่หยุด สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง ข้างๆ ดูเหมือนจะมีสหายอีกสองคนทำสีหน้านิ่ง สุดท้ายทนเห็นสหายต้องทนทุกข์ทรมานแบบนี้ไม่ไหว จึงหยิบมีดขึ้นมาแล้วแทงไปที่หน้าอกของพวกเขา เพื่อให้พวกเขาไปสบาย พวกเขาไม่สามารถใช้ปืนได้ เพราะการไล่ตามของกองทัพญี่ปุ่นที่ไล่ตามโจมตีอาจจะอยู่แถวนี้ หากใช้ปืนจะทำให้รู้ตำแหน่งได้ง่าย
ทหารสองนายที่โดนพิษตายไปด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลาย ประหนึ่งเหมือนได้รับการหลุดพ้น ใช่แล้ว ตายแล้วก็ไม่รู้สึกหิว ตายแล้วก็ไม่ต้องเดินอีก ในสถานที่แห่งนี้ ความตายเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด กระทั่งเป็นเรื่องที่สวยงามเรื่องหนึ่ง
โจวเจ๋อเดินไปข้างหน้าต่อ เขาไม่รู้ว่าต้องเดินอีกไกลแค่ไหนถึงจะออกไปได้ เขาเดินไปข้างหน้าทีละก้าวด้วยความเหน็บชา ที่นี่คือแดนชำระ และเหล่าทหารที่เดินผ่านที่นี่ เหมือนโครงกระดูกที่กำลังเดินอยู่ในแดนชำระ
เขาเดินจนรองเท้าพังจึงต้องทิ้ง จากนั้นเดินเท้าเปล่าไปข้างหน้าต่อไป เท้าโดนเสียดสีจนเท้าแตก ตอนแรกรู้สึกเจ็บมาก แต่ตอนหลังกลับเป็นความชินชา
ศพแล้วก็ศพๆ ทุกที่ล้วนมีแต่ศพ และข้างๆ ศพมักจะมีฝูงปลิงกับหนอนและแมลงชนิดอื่นอยู่เสมอ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่น่ากลัวในป่าฝนเขตร้อนเหล่านี้ สามารถทำให้คนเป็นๆ ค่อยๆ กลายเป็นโครงกระดูกในเวลาสั้นๆ สองสามชั่วโมง กัดกินจนสะอาดหมดจด
โจวเจ๋อเห็นทหารสามนายนั่งอยู่ริมทาง ตอนที่โจวเจ๋อเดินเข้าไป พวกเขามองโจวเจ๋อ และหนึ่งคนในนั้นเหมือนจะเห็นว่าโจวเจ๋อใส่ชุดทหารที่แตกต่างออกไป จึงทำวันทยาวุธให้เขา โจวเจ๋อพยักหน้าไม่ได้ทำความเคารพกลับ ไม่ใช่ไม่อยากแต่แขนข้างซ้ายของเขาถูกปลิงกัดหลายจุด ตอนแรกก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอหยุดเดินกลับมีปลิงที่ดูดเลือดจนตัวบวมเท่าข้อนิ้วสองนิ้วร่วงลงมาหลายตัว
แขนข้างซ้ายของเขายังเจ็บอยู่ มือขวาก็ถือไม้เท้า เขากลัวว่าถ้ายกมือทำความเคารพกลับ ตัวเองจะล้มลง พอล้มลงก็จะลุกไม่ไหว ตอนที่เขาเดินไปข้างหน้าต่อ เสียงปืนดังขึ้นตามหลังเขาติดกันสามครั้ง ทหารที่เดินทัพอยู่ข้างๆ หันกลับไปมองพร้อมกัน นั่นคือทหารสามนายใช้ปืนจบชีวิตตัวเอง
ทุกคนเริ่มตระหนักได้จึงรีบเดินให้ไวขึ้น ถึงแม้จะยังเดินช้าเหมือนเดิม แต่กลับเร็วขึ้นกว่าตอนก่อนหน้าเพราะคนที่ยังมีชีวิตอยู่รู้ดีว่า เสียงปืนอาจจะดึงดูดการไล่ดตามโจมตีของทหารญี่ปุ่น
จริงๆ แล้ว ตอนแรกคนญี่ปุ่นไล่ตามมาจริงๆ เหมือนตอนที่พวกเขาวิ่งไล่ตามตูดคนอังกฤษตอนที่อยู่ในพม่า แต่ภูเขาคะฉิ่นนั้นมีความยุติธรรม ตามเวลาที่ผันผ่านไปและความลึกที่ทุกคนเดินเข้าไป ทำให้คนญี่ปุ่นที่ไล่ตามโจมตีเข้ามายิ่งลดน้อยลง ไม่รู้ว่าเดินมากี่วันแล้ว และไม่รู้ว่าต้องเดินไปข้างหน้าอีกไกลแค่ไหน ศักยภาพแฝงของคนเราสามารถยิ่งใหญ่ แต่คนจะเอาชนะฟ้าดินได้กลับอย่าได้คิดจริงจัง
โจวเจ๋อรู้ว่า ตัวเองตัวร้อน และอาจจะเป็นไข้มาลาเรีย เขาฝืนทนได้อีกหนึ่งวัน แต่สุดท้ายเขาก็เดินไม่ไหวอีก เขาพิงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแล้วนั่งลงไป เขารู้ดีถ้านั่งลงไปแล้วจะลุกขึ้นไม่ได้อีก เขาเงยหน้า เขาในตอนนี้สงบนิ่งเป็นอย่างมากไม่มีความหวาดกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับความตาย กระทั่งในใจยังปรารถนาขอให้ความตายมาเยือน จบสิ้นความทรมานทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเอง แต่ข้างๆ กลับมีเสียงแหบแห้งของทหารที่พูดสำเนียงหูหนานคนหนึ่งตะโกนใส่ทหารอีกคนที่ไม่ไหวติง “ลุกขึ้นมา…ลุกขึ้นมา…อย่าทำให้ฉันตกใจแบบนี้ ไหนตกลงกันแล้วว่าจะกลับบ้านด้วยกัน กลับบ้าน กลับบ้านไง…”
กลับบ้าน…กลับไปบ้าน…
ภาพของทงเฉิงผุดขึ้นมาในหัวของโจวเจ๋อ ร้านหนังสือ ถนนหนานต้า โซฟา แต่ไม่ช้าได้กลายเป็นหมู่บ้านที่มีทิวทัศน์สวยงามที่คุ้นเคยแต่ก็และแปลกตาอย่างมาก อันไหนคือบ้านกันแน่
“ผมไม่ไหวแล้ว”
โจวเจ๋อตกตะลึงเล็กน้อย ถามด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งและหมดแรงว่า “คุณเป็นใคร”
“ผมไม่ไหวแล้ว ผมเดินออกไปไม่ไหวแล้ว มีหลายคนที่มีเดินออกไปไม่ไหว”
“คุณเป็นใครกันแน่ ใครกำลังพูดกับผม”
“พวกเราหนาวมาก หนาวมาก…”
“ผมปวดหัว…” โจวเจ๋อเจ็บปวดทรมานและปวดศีรษะเป็นอย่างมาก
“พวกเราอยากกลับบ้าน กลับบ้าน…”
“โอ๊ยๆๆๆ!!!!” โจวเจ๋อร้องอย่างน่าสงสาร
“ได้โปรด พาผม พาพวกเรา พาทุกคน กลับบ้านเถอะ”
……………………………………………………………………….