ตอนที่ 612 แม่น้ำนู่รำพึง
เครื่องบินบินมาถึงคุนหมิงใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมง แต่ทุกคนต้องรออยู่ในสนามบินคุนหมิงครึ่งวันถึงจะได้เปลี่ยนเครื่องแล้วจึงบินอีกหนึ่งชั่วโมง จึงมาถึงสนามบินถัวเฟิงในอำเภอเถิงชง
ระหว่างที่รอเครื่องนั้น โจวเจ๋อซบไหล่ของอิงอิงนอนหลับไปหนึ่งตื่น ทนายอันแน่นอนว่าไม่กล้าซบไหล่ของอิงอิงแต่นั่งที่นั่งถัดไปแล้วนอนหลับ และด้วยเหตุนี้ หลังจขากเครื่องบินถึงเถิงชงแล้ว ทุกคนจึงไม่ได้ไปพักผ่อนอีก ทนายอันได้จองรถล่วงหน้าเรียบร้อย ตอนที่ลงจากเครื่องบินจึงและมีคนขับรถมารอแล้ว เป็นรถจีปคันหนึ่ง ซึ่งบริษัทเช่ารถได้เรียกรถคันนี้มาจากคุนหมิงโดยเฉพาะ
ต่อจากนั้นต้องใช้เวลาขับรถอีกสองสามชั่วโมง ตอนที่ปรากฏเงาของเมืองเล็กแห่งนี้อยู่เบื้องหน้า ท้องฟ้าเริ่มสางแล้ว
ทุกคนกินขนมจีนยูนนานหนึ่งมื้อรองท้อง ทนายอันกินอย่างสบายใจเฉิบ และยังสั่งให้อิงอิงขอน้ำร้อนจากร้านมาชงกาแฟแก้วใหญ่ให้ตัวเองเป็นพิเศษ เพราะเขาขับรถและรู้ทางคนเดียวตลอด จึงเหนื่อยล้าง่าย ต้องการกาแฟเพื่อให้กระปรี้กระเปร่า
โจวเจ๋อไม่ค่อยชอบขนมจีนยูนนานเท่าไร เขาชอบกินบะหมี่มากกว่า ดังนั้นเขาจึงขอบะหมี่หนึ่งชามต่างหากจากเถ้าแก่ แต่เถ้าแก่ทำเส้นบะหมี่นิ่มเกินไปหน่อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสองปีที่ผ่านมาตัวเองมีชีวิตอยู่ดีกินดีหรือกินฝีมือการทำอาหารของสวี่ชิงหล่างจนชินปากไปเสียแล้ว โจวเจ๋อจึงกินอย่างลวกๆ สองสามคำแล้วจึงวางตะเกียบ
พวกเขาไม่รออยู่นาน หลังจากนั้นจึงไปซื้อของกินและน้ำดื่มที่ซูเปอร์มาร์เก็ตมาเพิ่ม จากนั้นทุกคนจึงออกเดินทาง
โจวเจ๋อได้ถามทนายอันถึงการจัดการวางแผนในครั้งนี้ระหว่างทางถึงสองครั้ง ทนายอันไม่ยอมบอกเขา และใช้ข้ออ้างเดียวกันกับตอนที่อยู่ในร้านหนังสือ ความหมายประมาณว่า พูดออกมาแล้วจะไม่ศักดิ์สิทธิ์
ยังดีที่ที่นี่มีทิวทัศน์สวยงาม อากาศสดชื่น หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นก็ส่องแสงสว่างเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ เถ้าแก่โจวจึงไม่คิดแล้ว นั่งเบาะหลังนอนอยู่บนตักของอิงอิงโดยไม่กลัวว่าจะสั่นโคลง จากนั้นหลับตางีบหลับต่อ
จนกระทั่งรถจอด โจวเจ๋อที่เกือบจะนอนหลับพลันลืมตา ลงจากรถ มองไปรอบๆ พบว่าเบื้องหน้าเป็นแถบภูเขาทั้งหมด ตรงกลางที่สูงที่สุดก็คือตำแหน่งที่สูงตระหง่านนูนโค้งขึ้นมาเหมือนกระดองเต่าขนาดยักษ์
ต้นไม้เขียวชอุ่มพืชพรรณเจริญงอกงาม แต่ยังพอมองเห็นทางเดินหินที่สร้างโดยมนุษย์รวมไปถึงศิลาจารึกที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขา คาดว่าน่าจะมาเช้าเกินไป ถึงแม้บริเวณนี้จะมีคนไม่น้อย แต่ยังดูเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด
“ที่นี่คือที่ไหน” โจวเจ๋อถาม ไอรีนโนเวล
“ภูเขาซงซาน”
ทนายอันจุดบุหรี่ ขยี้ตา เขาเหนื่อยล้าอยู่บ้าง จึงได้แต่ทอดถอนใจจากชีวิตที่สุขสบายต้องตกต่ำลำบากแบบนี้ช่างยากจริง ก่อนหน้านั้นเมื่อครึ่งปีก่อนไม่เคยนอนกหลับก็ยังผ่านมาได้ หลังจากที่มีเด็กผู้ชายนอนเป็นเพื่อน การตอบสนองของร่างกายจึงดูสำออยมากขึ้น
“ขึ้นไปกันเถอะ ขึ้นไปทำความเคารพกราบไหว้เสียหน่อย หลังจากลงมาแล้ว พวกเรายังต้องรีบเดินทาง ถึงตอนนั้นก็ต้องลักลอบข้ามแดน เหอะๆ”
“ต้องออกไปชายแดนเหรอ” สวี่ชิงหล่างแปลกใจอยู่บ้าง
“ใช่ ผมไม่ได้จัดการเรื่องนี้ แต่ด้วยความสามารถของพวกเรา ไม่จำเป็นต้องจัดการ” ทนายอันถือขวดน้ำแล้วดื่มสองสามที จากนั้นจึงโยนขวดน้ำเข้าไปในรถ แล้วเรียกทุกคนขึ้นภูเขา
ที่นี่น่าจะเป็นโบราณรสถานที่เคยเป็นสมรภูมิรบของสงคราม หลังจากขึ้นบันไดแล้วได้เจอศิลาจารึกอันหนึ่ง บนนั้นบันทึกเกี่ยวกับสงครามที่เคยเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้
สมรภูมิซงซาน
ตอนนั้นกองทัพชาติได้จัดกองกำลังต่อต้านญี่ปุ่นที่นี่ พอนับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของสมรภูมิพม่า กองทัพญี่ปุ่นเคยสร้างป้อมสังเกตการณ์ที่แข็งแกร่งที่สุดไว้ที่นี่ ดังนั้นสมรภูมิรบนี้ได้ต่อสู้กันอย่างโหดเหี้ยมรุนแรง สิ่งที่บันทึกไว้บนนั้นบอกว่ากองทัพญี่ปุ่นเสียชีวิตในสนามรบสามพันกว่านาย แต่กองทัพของจีนต้องแลกกับความตายของทหารเจ็ดพันกว่านาย
ถึงแม้ว่ากองทัพอเมริกาและกองทัพสหภาพโซเวียตจะโจมตีป้อมสังเกตการณ์ของกองทัพญี่ปุ่นในตอนนั้น แต่ก็ต้องสูญเสียอย่างหนักหน่วง ความยืนหยัดของกองทัพญี่ปุ่นรวมทั้งความรู้อย่างแตกฉานในงานก่อสร้างด้านนี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในตอนนั้น
ขณะที่เดินไปเรื่อยๆ โจวเจ๋อเหมือนนึกอะไรออก จึงมองไปทางทนายอันแล้วถามว่า “เหมือนละครที่ผมเคยดูเรื่องหนึ่ง”
ทนายอันหัวเราะพลางพยักหน้า เพื่อบอกว่าโจวเจ๋อเดาถูกแล้ว มันคือละครที่โจวเจ๋อเคยดูเมื่อชาติที่แล้ว ตอนนั้นดังมาก โจวเจ๋อหลังจากเลิกงานจากโรงพยาบาลกลับมาที่บ้านก็จะดูอยู่บ้าง ชื่อละครคือ ‘หัวหน้าและกองทหารของฉัน’ เป็นละครในยุค 90 เผลอแป๊บเดียวผ่านไปเกือบสิบปีแล้ว
‘ฉานต๋า’ ที่อยู่ในละครโทรทัศน์เรื่องนี้ เป็นเมืองสมมติแห่งหนึ่ง แต่โบราณสถานที่ดั้งเดิมของสนามรบนั้นน่าจะเป็นที่นี่
ระหว่างทาง ทุกคนได้เดินชมรูปปั้นแกะสลักของกองกำลังทหารเดินทัพ นี่คือผลงานและการบริจาคของหลี่ชุนหวาประติมากรชาวจีนชื่อดัง หลังจากขึ้นไปบนยอดเขาและทอดมองลงมา แม่น้ำนู่คูน้ำธรรมชาติที่กั้นทางคมนาคมอันมีชื่อเสียงได้นอนขวางอยู่ตรงหน้า
สงครามในตอนนั้นได้สิ้นสุดลงเจ็ดสิบกว่าปีมาแล้ว แต่ดูเหมือนตอนที่เดินผ่านอนุสรณ์สถานและศิลาจารึกทีละก้าว แล้วมองแม่น้ำนู่อีกครั้ง ข้างหูเหมือนจะได้ยินเสียงดังอึกทึกของการฆ่าฟันและเสียงระเบิดดังตูมอยู่เนืองๆ
ส่วนสถานที่อย่าง ‘เทียนเหมินกวน’ ที่พูดถึงในละครนั้น ดูเหมือนว่าที่นี่ก็จะมีเหมือนกัน แต่ชื่อสถานที่ ‘เทียนเหมินกวน’ นี้แทบจะมีเกือบทุกพื้นที่ และที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ก็คือบนภูเขาไท่ซานนั่น
เมื่อเดินมาถึงตรงนี้ โจวเจ๋อเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างอยู่ในใจจึงถามว่า “ต่อไปต้องไปพม่าเหรอ”
ทนายอันหัวเราะ ไม่ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ เขารู้ว่าโจวเจ๋อทายถูกกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว แต่คำพูดเหล่านี้ไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้
สวี่ชิงหล่างพกกล้องถ่ายรูปมาด้วย เวลานี้กำลังถือกล้องถ่ายรูปอยู่ เขาเตรียมของมาพร้อมทุกอย่าง
“ถ่ายรูปเป็นเหรอ เหล่าสวี่” โจวเจ๋อถาม
สวี่ชิงหล่างส่ายหน้าด้วยความจริงใจ ชี้ไปที่กล้องแล้วเอ่ยว่า “หลังจากรู้ว่าต้องมา เมื่อวานผมเลยตั้งใจไปซื้อ เอามาฝึกมือเท่านั้น”
โจวเจ๋อเหลือบมองยี่ห้อกล้องถ่ายรูปของเหล่าสวี่หนึ่งที ฮัสเซลบลัด ผู้ชายที่มีห้องชุดยี่สิบกว่าห้องมักแตกต่างเสมอ ซื้อกล้องตัวเป็นแสนมาฝึกถ่ายรูป โจวเจ๋อรู้สึกเป็นห่วงว่าเหล่าสวี่หมดหวังกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศหรือเปล่า รู้สึกว่าฟองสบู่ของอสังหาริมทรัพย์กำลังมาเยือน จึงใช้เงินเป็นเบี้ยปล่อยไปตามยถากรรม
ตอนที่ลงจากภูเขาได้เปลี่ยนเส้นทางเพื่อเดินทางบนภูเขานั้น ยังมองเห็นซากหลุม หากมุดออกมาจากหลุม ด้านหน้าก็คือหลุมที่ฝังคนทั้งเป็น ได้ยินว่าตอนนั้นขุดเจอศพของคนงานก่อสร้างชาวจีนนับพันศพจากในนี้
หลังจากที่ทาสของกองทัพญี่ปุ่นก่อสร้างป้อมสังเกตการณ์เสร็จแล้ว และกลัวว่าความลับจะถูกแพร่งพราย จึงใช้ข้ออ้างว่าจะตรวจสุขภาพเรียกทุกคนมารวมตัวกันแล้วขุดหลุมฝัง
ตอนที่ใกล้จะถึงเวลาบ่ายสองโมง ทุกคนได้ลงจากภูเขากลับไปขึ้นรถ ทนายอันขับรถต่อไป สวี่ชิงหล่างจับกล้องเล่นไปมา โจวเจ๋อตนอนบนตักของอิงอิงนอนอาบแดดต่อ จนกระทั่งเวลาโพล้เพล้ บรรยากาศภายในรถเปลี่ยนจากความขึงขังกลายเป็นความผ่อนคลาย จากนั้นตอนที่เที่ยงคืนใกล้จะเช้าตรู่ ความสบายแปรเปลี่ยนเป็นความรำคาญ
เพราะทนายอันขับรถอ้อมไปอ้อมมา อ้อมไปอ้อมมาจนถึงป่านนี้ โจวเจ๋อทนดูต่อไปไม่ไหวจึงพูดตามตรงว่า “เหล่าอัน พวกเราเป็นมืออาชีพหน่อยได้ไหม ผมเคยได้ยินว่ามีคนลักลอบข้ามแดน แต่ไม่มีใครใช้ไป่ตู้แมพเพื่อลักลอบข้ามแดนกันหรอก”
ทนายอันยักไหล่แล้วถามว่า “อย่างนั้นผมเปลี่ยนเป็นเกาเต๋อดีไหม”
ต่อจากนั้นก็มีเสียงดังขึ้น “เกาเต๋อแมพ ช่วยนำทางให้คุณต่อ…”
“…” โจวเจ๋อ
“จริงๆ แล้วผมรู้สึกว่าพวกเขาสามารถสร้างบริการสำหรับวีไอพีได้ สร้างช่องทางและเส้นทางสำหรับลักลอบเข้าเมืองโดยเฉพาะ หลีกเลี่ยงการสกัดกั้นและตรวจสอบ ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ไร้คุณธรรมจนชินแล้ว”
สวี่ชิงหล่างฟังคำพูดของทนายอันแล้วจึงหัวเราะและเอ่ยว่า “ใครจะมาเปิดโรงพยาบาลแถวนี้”
จากนั้นจึงขับวนอีกครึ่งชั่วโมง ในที่สุดทนายอันจึงจอดรถ ต่อไปทุกคนต้องทิ้งรถแล้วเดินเท้า เตรียมตัวเดินข้ามพรมแดน
“ขอโทษด้วยนะทุกคน ผมเคยแอบลักลอบเข้าเมืองก็จริง แต่นั่นคือลักลอบเข้าเมืองจากนรกเข้ามาที่โลกมนุษย์แต่การลักลอบระดับต่ำแบบนี้ ผมเพิ่งทำเป็นครั้งแรก เพิ่งทำครั้งแรกจึงไม่มีนประสบการณ์ ทุกคนโปรดให้อภัย แม่งเอ๊ย ยุงเยอะจริง ผมไม่อยากทำเป็นครั้งที่สองอีก”
ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในป่าทึบ เดินผ่านแม่น้ำสองสามสาย อันที่จริงทนายอันพูดถูกนิดหน่อย เขาไม่ใช่มืออาชีพ และจริงๆ แล้วก็ไม่ต้องแคร์ แค่รู้ทิศทางคร่าวๆ ก็พอ
ทีมลักลอบข้ามแดนนี้ ทั้งสี่คนล้วนไม่ใช่คนธรรมดา ลำพังแค่ผีดิบก็มีถึงสองตัว! ถึงแม้ว่าคนทั่วจะยากที่จะแอบข้ามพรมแดนธรรมชาติ แต่สำหรับพวกเขาแล้วไม่ใช่ปัญหาอะไร
รอจนฟ้าใกล้สาง ทุกคนถึงหยุดเตรียมตัวพักผ่อน ตอนนี้น่าจะอยู่ในเขตของพม่าแล้ว โจวเจ๋อสังเกตอย่างตั้งใจ แต่มองไม่เห็นหลักเขตแดน เดิมทีเพราะเขาอยากจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกเสียหน่อย
ไม่ว่าอย่างไรกล้องถ่ายรูปของเหล่าสวี่ก็แพงขนาดนี้ ไม่ถ่ายสักสองสามรูปคงน่าเสียดายจริงๆ ตอนที่ทุกคนดื่มน้ำกินข้าว ทนายอันหยิบโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมออกมาจากในปกระเป๋า และที่ร้านหนังสือก็มีอีกหนึ่งเครื่อง ซึ่งจัดการเรียบร้อยก่อนที่จะออกมา
ทนายอันกดเบอร์โทรออก ไม่ช้าทางนั้นก็รับสาย ทนายอันยื่นโทรศัพท์ให้โจวเจ๋อ ส่วนตัวเองกัดคุกกี้แล้วพูดว่าจะไปสำรวจทางข้างหน้า ในป่าใหญ่แห่งนี้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเดินหลงทางเสียเวลาเดินวกไปวนมา
โจวเจ๋อหยิบมาแล้วเอาแนบหู จึงได้ยินเสียงของนักพรตเฒ่า “เถ้าแก่ เมื่อวานมีลูกค้ามาสี่คน หนึ่งในนั้นบอกให้ข้าไปหาบัตรของเขา แล้วกดเงินออกมา วันพรุ่งนี้ข้าจะนำเงินไปบริจาคให้โครงการสังคมสงเคราะห์ด้านการศึกษา หลินเข่อเมื่อวานก็มา ส่งสี่คนนั้นเดินทางแล้ว ตอนเย็นยังมีลูกค้าอีกสองสามคน หลินเข่อได้ส่งไปแล้วเหมือนกัน”
“อืม ดี”
หลินเข่อยังอาศัยอยู่ที่บ้านของหวังเคอ แต่ไม่ว่าอย่างไรร้านหนังสือก็ไม่ไกลมาก เวลามีงานที่ร้านเธอก็ ปิ้ว!มาแล้ว หลังจากส่งคนลงนรกแล้วเธอก็ ปิ้ว! กลับไปทำการบ้านของเด็กนักเรียนต่อ สะดวกสบายเป็นอย่างมาก
“เถ้าแก่ พวกเจ้าข้ามออกจากชายแดนแล้วใช่ไหมหรือยัง” ในเมื่อติดต่อโดยโทรศัพท์ดาวเทียม นักพรตเฒ่าจึงพอเดาออกอยู่บ้าง
“อืม”
“น่าสนุกจัง รู้อย่างนี้ข้าก็จะไปด้วย”
“เจี๊ยกๆๆ!” เจ้าลิงผสมโรง!
“โดนยุงกัด ไม่สนุก” โจวเจ๋อไม่กล้าพานักพรตเฒ่ามาด้วย ในสถานที่รกร้างห่างไกลผู้คนเช่นนี้ ไม่แน่ว่านักพรตเฒ่าออกไปฉี่แล้วอาจจะไปโดนหลุมฝังศพของวัตถุอัปมงคลก็เป็นได้
“จะทำยังไงได้ ในบรรดาพนักงานทั้งหมด ผมให้ความสำคัญที่สุดก็คือคุณ เรื่องการตกแต่งห้อง มีคุณดูแลผมจึงวางใจ”
“ฮิๆๆ” นักพรตเฒ่าดีใจมาก จากนั้นจึงไม่ลืมที่จะเตือนว่า “เถ้าแก่ ข้าได้ยินว่าที่นั่นมีอาชญากรเยอะ แล้วก็พวกค้ายาก็เยอะ พวกเจ้าต้องระตัวหน่อย เอ๊ะ ไม่ถูกสิ คนที่ต้องระวังคือพวกเขาต่างหาก”
“ได้เลย หากมีธุระค่อยโทรมานะ คุณช่วยจับตามองทางนั้นด้วย”
“ได้เลย เถ้าแก่”
พอตัดสาย โจวเจ๋อจึงบิดขี้เกียจ เวลานี้ทนายอันเดินเข้ามาถามบอกว่า “ข้างหน้ามีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาทางนี้”
“ใคร” โจวเจ๋อถามพลางรับกระติกน้ำจากมือของอิงอิงมาดื่ม
“ผมเดาว่า น่าจะเป็นพวกขนของเถื่อนหรือไม่ก็พวกค้ายา”
‘พรวด!’
……………………………………………………………………….